Film 101 : เสาะหาตัวเองให้เจอ ว่าชอบกล้องฟิล์มแบบไหน?

KrishDP
135.film
Published in
5 min readNov 16, 2018

กล้องฟิล์มแบบไหนจะเหมาะกับคนอย่างเราหว่า แล้วแต่ละแบบมันต่างกันยังไงนะ?

สวัสดีครับเพื่อนๆ

วันนี้พวกเราชาว 135.film จะมาแชร์เรื่องเกี่ยวกับกล้องฟิล์มแต่ละประเภท ว่าที่เค้าเล่นๆกันเนี่ย จริงๆแล้วมันมีแบบไหนอะไรยังไงบ้าง และแบบไหนกันน้าที่จะเหมาะกับเรา ลุยไปกับเราได้ทุกสถานการณ์ เอาล่ะ มาดูกัน!

จริงๆแล้ววว เจ้ากล้องฟิล์มเนี่ยมีหลากหลายประเภท ทั้งแตกต่างกันที่ขนาด วัสดุที่ใช้ ความสามารถในการพกพา กล้องใหญ่มั้ย หนักมั้ย ต้องการความง่ายในการถ่ายขนาดไหน มีทั้งแบบยกขึ้นมาแล้วกดถ่ายได้เลย(เราเรียกว่า Point&Shoot) ยันไปจนปรับโฟกัสเอง ปรับค่ารูรับแสงเอง(f) ปรับค่าความเร็วชัตเตอร์ (Shutter Speed) เอง เอาง่ายๆคือปรับทุกอย่างเองมาแนวสายโหด

โดยกล้องฟิล์มที่จะพูดถึงในวันนี้นั้นจะเป็นกล้องที่ใช้ฟิล์มขนาด Small Format ใช้ฟิล์ม 35mm หรือที่เรียกว่า 135 เป็นหลักนะครับ ซึ่งจะเป็นกล้องฟิล์มที่คนส่วนใหญ่เล่นกันนั่นแหละ เอาล่ะมาเริ่มกันเลย!

อันดับแรกเลย เพื่อนๆต้องรู้ว่าตนเองต้องการที่จะควบคุมกล้องได้มากแค่ไหน อยากถ่ายง่ายๆ ให้กล้องจัดการให้ทั้งหมด หรือว่าอยากจัดการด้วยตนเอง ถ้าอยากต้องการให้กล้องจัดการให้ทั้งหมด เรามีหน้าที่จัดองค์ประกอบภาพอย่างเดียว ก็แนะนำไปเล่นกล้องที่เป็นประเภท Compact แบบอัตโนมัติเลยครับ หรือถ้าอยากควบคุมเองบ้างหรือควบคุมเองทั้งหมด ก็ไปเล่นกล้องที่สามารถปรับ ความไวชัตเตอร์ ช่องรับแสง หรือ การปรับความชัดเองได้ มีทั้งแบบควบคุมเองทั้งหมด หรือ กึ่งอัตโนมัติ(กล้องควบคุมให้บางส่วน)ก็มีนะ

และหากเราอยากลองถ่ายฟิล์มดูเฉยๆ ยังไม่ลงทุนอะไรมาก ก็มีกล้องทอย ที่ราคาไม่สูงมากให้ลองใช้กันหลายแบบด้วยนะ หรือถ้าไม่อยากจะซื้อตัวกล้องก็ยังมีกล้องประเภทใช้แล้วทิ้งด้วยนะ

กล้องใช้แล้วทิ้ง

หน้าตาของเจ้ากล้องใช้แล้วทิ้ง เจ้าตัวนี้คือ Fuji Simple Ace 400

กล้องพวกนี้จะมีฟิล์มติดมาพร้อมกับกล้องเลย การทำงานของกล้องจะค่อนข้างตายตัว เพื่อให้ใช้งานง่าย อย่างเจ้าตัว Fuji Simple Ace นี้ มีค่า ISO 400 ช่องรับแสงจะอยู่ที่ F/10 ส่วน Shutter Speed จะอยู่ที่ 1/140 ระยะทำการของแฟลชไกลสุดที่ 3 เมตร ระยะการโฟกัสจะอยู่ที่ 1 เมตรถึง Infinity หรือก็คือ 1 เมตรขึ้นไปชัดหมด ซึ่งจะให้พูดก็คือเจ้ากล้องตัวนี้ถ่ายกลางวันได้ดี แต่ถ้าช่วงเย็นๆนี่จะเริ่มมืดละครับทำให้อันเดอร์ได้ จึงมีแฟลชมาช่วยเหลือในกรณีแสงน้อยครับผม

ตัวอย่างภาพจากเจ้า Fuji Simple Ace 400

ถ้าแสงน้อยไปหน่อยก็จะเริ่มอันเดอร์แบบนี้ครับ

หากวัตถุที่ถ่ายใกล้เกินไปก็จะเป็นแบบนี้ ข้างหลังนี่ชัดเชียว!!

ถ้าแสงไม่พอก็ยิงแฟลช จะได้ภาพประมาณนี้ครับ

เอาล่ะ สำหรับคนที่อยากมีกล้องฟิล์มแบบจริงๆจังๆแล้วล่ะก็ผมจะแยกประเภทตามนี้ครับ!!

รูปแบบการทำงานของกล้องฟิล์ม มีอยู่ประมาณ 2 แบบ

1. กล้องระบบกลไก (Mechanic)

คือ กล้องฟิล์มประเภทนี้ เป็นกล้องที่มีกลไกการทำงานผ่านระบบฟันเฟือง อาจจะมีวัดแสงเสริมเข้ามาเป็นระบบไฟฟ้าในบางส่วน

จุดเด่น

  • ไม่มีถ่านก็สามารถถ่ายรูปได้
  • ในสมัยปัจจุบันถ้าเทียบเรื่องความทนทานและการดูแลจะง่ายกว่าระบบไฟฟ้า
  • ซ่อมง่าย หากเสีย อาจจะยังหาอะไหล่บางตัวมาซ่อมได้

จุดด้อย

  • ฟังค์ชั่นการทำงานน้อยกว่าระบบไฟฟ้า

2. กล้องระบบไฟฟ้า (Electronic)

คือ กล้องที่มีกลไกการทำงานผ่านระบบไฟฟ้า โดยส่วนใหญ่แล้วฟังค์ชั่นการทำงานจะมีให้เล่นมากกว่าตัวกลไก เช่น ระบบชดเชยแสง(EV), การตั้ง Timer ที่แม่นยำกว่า, ระบบบันทึกวันที่ลงบนรูปภาพ, โหมดAuto เป็นต้น

จุดเด่น

  • ลูกเล่นเยอะกว่าระบบกลไล
  • ระบบเที่ยงตรงกว่า

จุดด้อย

  • ต้องใส่ถ่านในการใช้งาน
  • หากไม่มีถ่านอาจถ่ายได้ที่ความเร็วชัตเตอร์ speed เดียว หรือถ่ายไม่ได้เลย
  • ในสมัยปัจจุบัน หากกล้องเสีย อาจไม่มีทางซ่อมได้เนื่องจากชิ้นส่วนเลิกผลิตไปแล้ว(ก็กล้องฟิล์มมันนานละนิเนอะ)

ต่อมา…

ถ้าหากแบ่งตามระบบการโฟกัสผมจะขอแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ

1. กล้องฟิล์ม Rangefinder แบบกะระยะ

Concept ของกล้องประเภทนี้ จะเป็นแนว Point&Shoot (ยกขึ้นมาถ่ายแชะ ถ่ายแชะ) เน้นว่องไว เน้นพกพาสะดวก เพราะกล้องประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักเบา โดยช่องมองถ่ายจะเป็นเพียงกระจกไว้มองภาพ การทำงานนั้นจะแยกกับตัวเลนส์อย่างสิ้นเชิง ก็คือมีไว้เล็งภาพเฉยๆนั่นแหละ ส่วนในการโฟกัสผู้ถ่ายจะต้องกะระยะโฟกัส ระหว่างวัตถุที่เราจะถ่าย กับระยะของตัวกล้อง จะมีระยะโฟกัส 1เมตร, 1.5เมตร, 3 เมตร และไปจนถึง infinity คือวิวไกลๆชัดหมด ซึ่งเวลากะโฟกัสนี่แหละ ที่เราจะต้องคาดเดาว่าโฟกัสเข้าแล้วหรือยัง กล้องประเภทนี้ส่วนใหญ่มากับเลนส์ที่โคตรคมเพื่อลดความผิดพลาดในการโฟกัส โดยการบอกระยะห่างโฟกัสบางตัวจะบอกระยะโฟกัสเป็นเลขระยะ หรือ บางตัวจะเป็นสัญลักษณ์ตามระยะของกล้อง

ยกตัวอย่างเช่น เจ้ากล้องชื่อดังอย่าง Olympus Trip 35 จะมีลักษณะบอกระยะโฟกัสเป็นสัญลักษณ์ ประมาณนี้

สัญลักษณ์ระยะโฟกัส ของ Olympus Trip 35 cr. http://www.photographyattic.com

รูปคนครึ่งตัว = 1 เมตร

รูปคนสองคน = 1.5 เมตร

รูปคนสามคน = 3 เมตร

ภูเขา = infinity

ซึ่งกล้องที่โฟกัสแบบกะระยะนี้ดูเผินๆอาจใช้ยาก แต่หากใช้จนชำนาญแล้วล่ะก็ เป็นตัวที่มีความรวดเร็วในการถ่ายและใช้งานได้ง่ายตัวนึงเลยแหละครับ

ตัวอย่างช่องภาพ ของกล้องกะระยะ Cr.www.35mmc.com

จะสังเกตเห็นว่า ช่องมองภาพจะเป็นแค่ ช่องกระจกธรรมดาๆ เท่านั้นเองครับ

ในรูปภาพตัวอย่างนั้นเป็นช่องมองภาพของกล้อง Olympus Trip 35 จะมีช่องด้านล่าง เพื่อให้ดูระยะโฟกัสด้วยว่าปรับอยู่ที่ระยะโฟกัสเท่าไหร่

สรุปข้อดีของ กล้องแบบกะระยะ

  • กล้องประเภทนี้ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา เหมาะแก่การพกพา
  • หากโฟกัสจนคล่องมือแล้ว สามารถถ่าย Snap ได้อย่างรวดเร็ว
  • ราคาไม่สูงมากนัก

สรุปข้อเสียของ กล้องแบบกะระยะ

  • ต้องฝึกฝนการโฟกัสและการควบคุม F ในระดับนึง(หากไม่มีโหมดAP)
  • การวางองค์ประกอบของภาพจะไม่ตรงกับช่องมองภาพ จะต้องใช้จนเคยชินสักพักถึงจะกะถูก

2. กล้องฟิล์ม Rangefinder แบบภาพซ้อน

เป็นกล้องที่เหมาะสำหรับมือใหม่ที่จะเริ่มเล่นกล้องฟิล์มนะครับเนื่องด้วยตัวของกล้องชนิดนี้เป็นกล้องที่ไม่ใหญ่มากนัก(สำหรับบางตัว) หรือไปจนถึง เล็กๆเลยก็มี และด้วยระบบในการโฟกัสของเจ้าตัวนี้นั้นเหมาะสำหรับมือใหม่มาก ซึ่งโดยพื้นฐานจริงๆแล้วเจ้ากล้องตัวนี้นี่รูปแบบการเล็งภาพจะคล้ายคลึงกับเจ้าตัวกะระยะครับ ก็คือกระจกมองภาพจะแยกกับเลนส์โดยสิ้นเชิง แต่มีการบอกจุดโฟกัสเข้ามาให้ด้วยนั่นเอง ทำให้การโฟกัสนั้นแม่นยำยิ่งขึ้น

ส่วนสีเหลืองตรงกลางคือจุดการปรับโฟกัส Cr.https://schneidan.com

โดยถ้าหากเรามองเข้าไปในช่องมองภาพ จะมีจุดโฟกัสสีเหลืองตรงกลาง ช่องมองครับดังภาพด้านบนครับ

และเจ้าสีเหลืองตรงกลางนั่นแหละคือการโฟกัสภาพครับ โดยตอนที่โฟกัส ในบริเวณส่วนโฟกัสจะมีภาพที่ทับซ้อนกันอยู่ครับ ยกตัวอย่างตามภาพด้านล่าง

การโฟกัสแบบ Rangefinder Cr.https://www.raylarose.com

จากด้านบนส่วนวงกลมตรงกลางเปรียบเทียบเสมือนจุดโฟกัสแบบช่องเหลืองของภาพก่อนหน้านี้นะครับ จะสังเกตได้ว่าภาพซ้ายส่วนโฟกัสจะมีภาพซ้อนกันอยู่ ซึ่งหมายความว่าโฟกัสยังไม่เข้านั่นเอง ถัดมาคือภาพขวาที่ภาพซ้อนกันโดยสมบูรณ์แล้ว อันนี้คือการโฟกัสเข้าของระบบกล้อชนิดนี้ครับ ซึ่งช่องมองภาพของกล้องแต่ละตัว หากเป็นกล้องตัวที่ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ ตัวช่องมองภาพจะ Fix กับระยะเลนส์ที่ติดมากับกล้องเลย

ซึ่งต่อเนื่องมาถึงคำถามที่ว่า และถ้าหากเป็นตัวที่เปลี่ยนเลนส์ได้ล่ะ จะทำยังไง?

ในกรณีนี้หากเลนส์เป็นระยะอื่นเค้าจะมีสิ่งที่เรียกว่า Viewfinder (แปลตรงๆตัวก็ช่องมองภาพนั่นแหละ) มาให้พร้อมกับเลนส์ เพื่อให้ใช้ควบคู่กับเลนส์นั้นๆ นั่นเอง โดยอาจจะติดที่ Hot shoe ของกล้องหรือว่าซ้อนด้านหน้าของ ช่องมองภาพอีกทีครับ

มาพูดถึงกล้องชนิดนี้ที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้กัน ซึ่งส่วนใหญ่จะค่อนข้างมีราคาครับ ยกตัวอย่างกล้องชื่อดังอย่าง Leica นี่แหละ ที่การันตีคุณภาพแน่นอน อื่นๆอาจจะมีหลายยี่ห้อ หากอยากรู้เพิ่มลองหาข้อมูลดูนะครับ

Leica M6 หล่อตามระเบียบ Cr.www.pinterest.com

สรุปข้อดีของ กล้องRangefinderแบบภาพซ้อน

  • โฟกัสง่ายเหมาะกับมือใหม่หรือผู้มีปัญหาทางด้านค่าสายตา แต่กล่าวถึงตัวที่ช่องมองภาพ ที่มองยากก็มีนะต้องดูดีๆ
  • ราคาไม่สูง บางตัวเริ่มต้นประมาณ 1,000 ปลายๆ แล้วแต่สภาพ แต่หากกล่าวถึงตัวแพงก็แพงลิบลิ่วเหมือนกัน
  • กล้องส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กถึงกลางๆ พกพาสะดวก
  • ชัตเตอร์เบามาก ทำให้เราสามารถถ่ายในที่แสงน้อยได้มากขึ้น

สรุปข้อเสียของ กล้องRangefinderแบบภาพซ้อน

  • โฟกัสใกล้สุดส่วนใหญ่จะอยู่ระยะ 0.9–1 เมตร ก็คือจะถ่ายมาโครไม่ได้นั่นแหละ ฮือออ
  • กล้องชนิดที่เปลี่ยนเลนส์ได้ส่วนมากจะมีราคาค่อนข้างสูง
  • ถ้าหากจุดโฟกัสภาพซ้อนไม่ชัด จะโฟกัสยากมากเวลาจะซื้อต้องดูดีๆครับ
  • หากจุดโฟกัสภาพซ้อนหายไป จะเปรียบเสมือนกล้องกะระยะไปในทันที
  • การวาง Composition ของภาพที่ถ่ายออกมาจะไม่ตรงกับช่องมองภาพ จะต้องใช้จนเคยชินนิดนึงถึงจะกะถูก
  • หากเปลี่ยนเลนส์ได้ ระยะเลนส์มีให้เลือกน้อยกว่า SLR เยอะ

3. กล้องฟิล์ม Single-Lens Reflex(SLR)

กล้องชนิดนี้ผมคิดว่าเพื่อนๆคงได้ยินคำว่า DSLR มาไม่มากก็น้อยใช่มั้ยครับ ซึ่งจริงๆเจ้า DSLR นี่ก็ย่อมาจาก Digital Single-Lens Reflex นั่นแหละ เอาง่ายๆคือแค่เติม Digital ไปข้างหน้าเท่านั้นเอง ซึ่งข้อดีของกล้องชนิดนี้คือเราสามารถหาจุดโฟกัสผ่าน Viewfinder ได้เลยครับ ช่วงเวลาที่เราจัดวางองค์ประกอบของภาพ ภาพมองกับภาพที่ถ่ายออกมาก็จะเหมือนกันเป๊ะๆ

หลักการทำงานของเจ้าตัวนี้คือ

ตัวภาพจะทอดแสงผ่านเข้ามาทางเลนส์กล้อง กระทบกับกระจกสะท้อนภาพ ผ่านไปยังปริซึ่ม และตัวปริซึ่มจะสะท้อนมาทางช่องมองภาพ ที่เรามองเห็นตอนเล็งถ่ายรูปนั่นเอง

หลักการทำงานของกล้อง DSLR และ SLR Cr.https://www.dpreview.com

การกดชัตเตอร์ ก็คือการที่กระจกสะท้อนภาพจะยกขึ้นมา แล้วตัวม่านชัตเตอร์ระหว่างกระจกและตัวรับภาพก็จะเปิดออกเพื่อให้ภาพถูกบันทึกลงไปบนแผ่นฟิล์มนั่นเอง หลักการทำงานของกล้อง SLR เหมือนกล้อง DSLR นี่แหละครับ แค่เปลี่ยนจากตัว Sensor รับภาพเป็นเนื้อฟิล์มเท่านั้นเอง

ตัวอย่างช่องมองภาพ SLR Cr.wikimedia.org

สรุปข้อดีของ กล้องSingle-Lens Reflex(SLR)

  • ภาพที่เราจัดวางองค์ประกอบจาก Viewfinder จะตรงกับภาพที่ถูกถ่าย
  • ตัวเลนส์สามารถเปลี่ยนได้หลากหลายมีหลายระยะ รวมไปถึงสามารถใช้เลนส์ค่ายอื่นได้(ต้องมี Adapter)
  • ตัวกล้องกับตัวเลนส์สามารถซื้อแยกกันได้
  • เสียงชัตเตอร์ลั่นสะใจ! (มันดีต่อใจจริงๆนะ ฮ่าๆๆ)
  • ราคามีตั้งแต่ถูกไปจนแพงหูฉี่

สรุปข้อเสียของ กล้องSingle-Lens Reflex(SLR)

  • เวลาถ่าย ความเร็วชัตเตอร์(Shutter Speed)ต่ำมีโอกาสที่ภาพจะเบลอกว่ากล้องแบบกะระยะ และ Rangefinder นะครับ เพราะกระจกมันจะดีดขึ้นมาเวลากดชัตเตอร์
  • มีน้ำหนักที่ค่อนข้างหนักมากกว่ากล้อง Rangefinder เนื่องจากมีกระจกและปริซึ่มเพิ่มเข้ามาในตัวกล้อง รวมไปถึงน้ำหนักเลนส์บางตัวมีค่อนข้างมาก
  • หน้าตากล้องอาจจะดูจริงจังไปซักนิดเวลาถ่ายสตรีท และอาจจะทำให้ Subject ตื่นตัวได้ง่าย
  • หากกระจกสะท้อนภาพเบี้ยว หรือมีการตั้งค่าที่ไม่ดี ภาพที่เราเห็น กับภาพที่ถูกบันทึก จะไม่ตรงกัน เช่น อาจจะโฟกัสไม่เข้า หรือ องค์ประกอบภาพเปลี่ยนไปจากที่คำนวนไว้

จบไปแล้วกับกล้อง 3 ประเภทหลักๆของกล้องฟิล์ม ซึ่งแต่ละรุ่นนั้นก็จะมีโหมดในการถ่ายที่ไม่เหมือนกันอีก โดยผมจะแยกออกเป็น 2 ประเภทนะครับ

กล้องฟิล์มแบบ Manual

คือกล้องฟิล์มที่สามารถปรับการใช้งานได้อย่าง Flexible หรือเอาง่ายๆ ปรับค่าตามที่เราต้องการนั่นแหละ ไม่ว่าจะค่ารูรับแสง(F) หรือค่าความเร็วชัตเตอร์(Shutter Speed)เราสามารถปรับได้อย่างอิสระ ซึ่งกล้องประเภทนี้ ราคาจะสูงกว่าแบบอื่นนิดนึงครับ (บางตัวอาจจะแถมโหมดออโต้มาให้ในตัวด้วย เรียกได้ว่าใช้ได้ตั้งแต่มือใหม่ยันมือโปรเลยทีเดียว)

กล้องฟิล์มแบบ Auto

หากแปลตรงตัวก็คือกล้องที่ปรับค่าต่างๆให้อัตโนมัตินั่นแหละ แต่หากจำแนกออกมาแล้วเจ้าโหมด Auto นี้สามารถแยกออกมาได้หลายแบบเลยทีเดียว

  • Program AE หรือ Program Auto Exposure หรือที่บางคนอาจจะเคยได้ยินว่าโหมด AE นั่นแหละครับ มันคือ โหมดที่กล้องจะคำนวณรูรับแสงให้และความเร็วชัตเตอร์ให้อัตโนมัติ โดยเรามีหน้าที่โฟกัสอย่างเดียวครับ
  • Aperture Priority หรือ AP เป็นโหมดกึ่งอัตโนมัติครับ โดยกล้องจะคำนวณค่าความเร็วชัตเตอร์ให้ แล้วผู้ถ่ายตั้งค่ารูรับแสงและโฟกัสเอง ข้อดีของโหมดนี้ก็คือเราจะสามารถเลือกระยะชัดตื้นชัดลึกที่ต้องการได้ หรือง่ายๆคือ สามารถเลือกให้เป็นรูปหน้าชัดหลังเบลอได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
  • Shutter Priority หรือ Tv (ไอที่ไว้ใช้ดูหนังอ่ะครับ ผ่าม!! ไม่ใช่แล้ววว) เป็นอีกหนึ่งโหมดกึ่งอัตโนมัติ ก็คือเราเลือกค่าความเร็วชัตเตอร์เอง กล้องจะคำนวณรูรับแสงให้ ข้อดีก็คือเราสามารถเลือกที่จะถ่ายภาพนิ่งหรือไหวได้ง่ายกว่านั่นเอง

การโฟกัสของกล้องฟิล์ม

กล้องฟิล์มรุ่นเก่าๆส่วนใหญ่จะเป็นการโฟกัสด้วยมือ(Manual Focus)ซะส่วนใหญ่นะครับ ด้วยการหมุนเลนส์เพื่อหาจุดโฟกัสหรือที่เค้าเรียกกันว่ามือหมุนนั่นแหละ แต่รุ่นที่เป็น Auto โฟกัสก็มีนะครับ แต่จะเป็นรุ่นหลังๆมาแล้ว แต่สำหรับแอดแล้ว หมุนหาโฟกัสเองนี่แหละ มันส์สุด!

ช่วงแนะนำกล้องฟิล์มแต่ละประเภท

1.กล้องกะระยะ

ตัวที่แนะนำก็จะเป็นเจ้าตัว Olympus Trip 35 นี่เลย

หน้าตาของเจ้า Olympus Trip 35 สวยป่ะล่าาา ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก www.siamklongfilm.com

โดยหลักการใช้งานของกล้อง Olympus Trip 35 ตัวนี้นั้น ไม่ใช้ถ่าน(แต่บางตัวก็ใช้ถ่านนะครับ แล้วแต่ตัวกล้อง) สังเกตได้ว่า บริเวณหน้าเลนส์จะมีเหมือนหลอดไฟเล็กๆอยู่ เจ้าสิ่งนั้นคือหลอดเซเลเนียม (selenium) มีไว้เพื่อวัดแสงโดยถ้าหากเลือกรูรับแสงเป็นโหมดออโต้นั้น กล้องจะวัดแสง และเลือกรูรับแสง(f) ที่แคบที่สุดสำหรับแสงนั้นให้เพื่อความคมชัดที่สุด และเลือกความเร็วชัตเตอร์ให้อัตโนมัติ ส่วนอีกโหมดคือโหมด Aperture Priority(AP) คือเราเลือกรูรับแสง(f) ตัวกล้องจะเลือกความเร็วชัตเตอร์ให้เองครับ สะดวกฝุดๆ

2.กล้อง Rangefinder

หากจะให้แนะนำกล้อง Rangefinder ในงบที่เหมาะกับมือใหม่ ก็เจ้านี่เลย Yashica Electro 35 เป็นกล้องRF ที่ทำงานเป็นระบบ Aperture Priority(AP) ซึ่งก็คือเราเลือกรูรับแสง(f)เอง แล้วตัวกล้องจะเลือกความเร็วชัตเตอร์ให้เองอัตโนมัติ (เจ้ากล้องตัวนี้ Peter Parker ใช้ในการถ่ายรูป ในหนังเรื่อง Amazing Spider-man ด้วยนะเอ้อ)

กล้อง Yashica Electro 35 ใน Amazing Spider-man เท่ป่ะล่าา Cr.www.rangefinderforum.com

ซึ่งเจ้าตัวนี้มีหลายรุ่นมากกกก นับตั้งแต่รุ่นแรกคือ Yashica Electro 35 เฉยๆ รุ่นต่อมาจะลงท้ายด้วย G, GS, GSN, GL, GX, CC, CCn ซึ่งแต่ละตัวก็จะความสามารถต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นระยะเลนส์ , ไม่มี hot shoe(ที่ต่อแฟลชแยกได้), บางรุ่นมี Shutter B (คือระบบที่ม่านชัตเตอร์จะเปิดตามเวลาที่เรากดชัตเตอร์) หรือว่ารองรับการปรับ ISO ไม่เท่ากัน ถ้าเราจะซื้อรุ่นไหนต้องดูความสามารถของมันดีๆนะครับ แต่ละตัวไม่เหมือนกัน

โดยข้อเสียของเจ้า Yashica Electro 35 นี่ก็คือมันหนักใช่ย่อยเลย (แต่บางรุ่นก็เบาลงมาหน่อย พวก GX, GL, CC, CCn จะตัวเล็กลงมาหน่อย)แต่แลกมาด้วยเลนส์ที่คมกริบ สมกับฉายา ไลก้า(Leica)คนจน และด้วยราคาของมันไม่สูงมาก มีตั้งแต่หลัก1,000 ปลายๆ ไปจนถึงประมาณ 4,500 แล้วแต่สภาพกล้องครับ ทำให้เป็นที่น่าสนใจแก่ชาวเราทั้งหลาย ฮ่าๆๆๆๆ

ซึ่งถ้าใครจะซื้อนี่ดูดีๆนะครับ ว่าระบบวัดแสงของกล้องไม่เสีย เนื่องจากกล้องทำงานด้วยระบบ Aperture Priority(AP) จึงต้องพึ่งวัดแสงในการถ่ายครับ

Yashica Electro 35 GL Cr.https://www.lomography.com

นี่! หน้าตาเท่ป่ะล่าาา แอดเห็นครั้งแรกแล้วหลงรักเลยครับ โดยเจ้ารุ่นGLนี้ไม่ค่อยหนักเท่าไหร่

ส่วนตัวแอดบีมก็เคยใช้รุ่นนี้แหละครับ เลนส์คมสมชื่อ เคยใช้ตัวนี้ถ่ายลงเพจอยู่ด้วยครับตามลิงค์ด้านล่างเลย

https://www.facebook.com/pg/135.film/photos/?tab=album&album_id=368611850256902

Olympus 35DC

อีกตัวนึงที่เคยใช้คือเจ้านี่ครับ Olympus 35DC เจ้าตัวนี้ใช้ง่ายมากกกก ยกขึ้นเล็งโฟกัสอย่างเดียว ไ่ม่ต้องปรับอะไรเลย กล้องออโต้ให้เองหมด เวลาแสงไม่พอชัตเตอร์จะกดไม่ลง ง่ายไปอี๊กกกกก

CANON CANONET QL17 GIII Cr.www.siamklongfilm.com

มีกึ่งออโต้ไปแล้ว Full Auto ไปแล้ว ทีนี้มาถึงเจ้านี่มั่ง CANON CANONET QL17 GIII ที่สามารถเป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ทั้ง Manual และ Auto เลยทีเดียว พร้อมทั้งมีฟังค์ชั่น Quick Load ที่ช่วยให้การโหลดฟิล์ม นั้นทำได้ง่าย และไม่สิ้นเปลืองฟิล์มในชั้นตอนการใส่อีกด้วย ฟิล์มที่ถ่ายได้36รูป อาจจะถ่ายได้38รูปเลยแหนะ

.

.

และต่อไปมาพูดถึงกล้อง Rangefinder ที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้(ส่วนใหญ่จะค่อนข้างมีราคาครับ) ก็มีกล้องชื่อดังอย่าง Leica นี่แหละ ที่การันตีคุณภาพแน่นอน อื่นๆอาจจะมีหลายยี่ห้อ หากอยากรู้เพิ่มลองหาข้อมูลดูนะครับ ณ ตรงนี้แอดไม่เซียนเหมือนกัน แหะๆ (ใครที่รู้ทักมาบอกเราได้เลยครับ เราจะยินดีมากๆ)

Leica M6 หล่อตามระเบียบ Cr.www.pinterest.com

3.กล้อง Single-Lens Reflex(SLR)

ส่วนกล้องฟิล์ม SLR ที่ผมแนะนำก็คงจะเป็นกล้องที่ทำงานด้วยระบบกลไกล้วน ก็จะมีเจ้าชื่อดังอย่าง Nikon FM2 ซึ่งก่อนหน้านี้แอดก็ใช้เจ้าตัวนี้อยู่นี่แหละ แล้วค่อยอัพไป FM3a หุหุ

Nikon FM2 ของแอดเอง อิอิ

เป็นกล้องยอดนิยมในหมู่คนเล่นกล้องฟิล์ม(แต่ก็แล้วแต่คนนะ) ที่มันมีชื่อเสียงก็เพราะว่ามันเป็นระบบ Full Mechanic หรือว่าเป็นระบบกลไกล้วน ซึ่งจะทำงานผ่านระบบฟันเฟืองอย่างเดียว มีระบบไฟฟ้ามาแค่ตัววัดแสงเท่านั้น ซึ่งให้เทียบกับอายุของกล้องและความคงทน ถ้าวัดกันในเรื่องการดูแลในสมัยนี้ ระบบกลไกก็ดูจะพึ่งพาและไว้ใจได้กว่าไฟฟ้าอยู่ครับ

และเป็นรุ่นที่สามารถทำความเร็วชัตเตอร์ (Shutter Speed) ได้ถึง 1/4000 s ซึ่งในสมัยนั้นกล้องกลไกตัวอื่นๆยังไม่มีใครทำได้ แต่ก็เพราะว่าระบบชัตเตอร์อันว่องไวของมันทำให้ตัวม่านชัตเตอร์มีปัญหา จึงต้องออกตัวแก้ไขมาเป็นรุ่น Fm2n ในเวลาต่อมาแต่ถึงกระนั้น Fm2n ยังแบ่งเป็นรุ่นที่เป็นม่านรังผึ้ง และ ม่านเรียบอีกด้วย ซึ่งถ้าเป็นม่านรังผึ้งก็อาจจะยังมีปัญหาอยู่ จึงออกรุ่นม่านเรียบมาเพื่อแก้ไข

Fm2n Cr.https://www.facebook.com/The70camera/

วิธีดูว่าเป็นรุ่น Fm2n รึเปล่า ก็คือให้ดูที่ด้านหลังของตัวกล้องครับ จะมีตัว N อยู่ที่หน้า Serial No. ของกล้อง แบบในรูปด้านบนโลด ซึ่ง FM2n ที่เป็นม่านเรียบแน่ๆ หลังจากตัว N แล้ว ตัวเลขตัวแรกจะเป็นเลข 8 ขึ้นไปครับ

ซึ่งจริงๆแล้วก็มีกล้องอีกมากมายครับที่เป็น กลไกล้วน ไม่ว่าจะเป็น Olympus Om-1, Pentax K1000,Km,Kx หรือจะเป็นตัวรุ่นพี่ของFm2 อย่าง Nikon Fm อันนี้แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลเลยครับ และตามงบในกระเป่าเลยครับ ^^

ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวกล้องฟิล์มแต่ละตัวจริงๆแล้วเปรียบเสมือนเป็นเพียงแค่กล่องดำเพื่อบันทึกฟิล์มทั้งสิ้น ในแง่กลไกลการถ่ายแต่ละตัวอาจไม่แตกต่างกันมากในการบันทึกภาพ ทางที่ดีแล้ว ควรไปโฟกัสที่เลนส์กล้องดีกว่านะครับ บางคนอาจจะชอบภาพที่ฟุ้งๆ นวลๆ สไตล์เลนส์ยุคเก่า หรือบางคนอาจจะชอบภาพที่คมกริบ โดยเอกลักษณ์ของเลนส์แต่ละตัวก็จะไม่เหมือนกัน ยังไงดูใจตัวเองก่อนว่าชอบแบบไหน แล้วลองหาเลนส์ประเภทนั้นๆ ก็ได้นะครับ :D

และทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลเบื้องต้นของกล้องฟิล์มแต่ละประเภทที่ผมคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อย

ลองอ่านแล้วเลือกกันได้ยังว่าชอบกล้องแบบไหน ฮ่าๆ หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามพวกเราได้ตลอดเวลาเลยนะครับ เช่น ชอบถ่ายแนวนี้ควรใช้กล้องแบบไหนดี พวกเรายินดีให้คำตอบกับทุกๆคนครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าหากข้อมูลส่วนไหนผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องประการใดขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

ในส่วนของบทความหน้า เราจะมาพูดถึงเก่ี่ยวกับ ฟิล์มแต่ละประเภทกันนะครับ ว่ามีขนาดไหนบ้างที่คนส่วนใหญ่เล่นกัน และมีกล้องแบบไหนที่ใช้กับฟิล์มประเภทนั้นได้บ้าง รออ่านกันได้เลยจ้า

ทั้งนี้ทั้งนั้น บทความด้านบนส่วนหนึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน หากผิดพลาด หรือเห็นต่างตรงไหน คอมเม้นบอกกันได้เลยครับ

สุดท้ายฝากเพื่อนๆติดตามเพจ 135.film ของพวกเราไปนานๆนะครับ พวกเราจะพยายามเขียนบทความใหม่ๆมาเรื่อยๆ รักทุกคนนะคร้าบบบบ ^^

ขอบคุณครับ

--

--

KrishDP
135.film

Traveler / Film Photography Lover / Product Designer at NocNoc