20Scoops Girl diary : Days in Germany 🇩🇪

wuttitarn
10 min readJan 28, 2019

--

Bleichenfleet 24 November 2018 17:18

เราไปอยู่เยอรมันมาเกือบเดือน — พี่พ้องเพื่อนต่างถามหนาวมากไหม ?—อยากจะบอกหนาวยะเยือกแทบขาดใจ — แต่แปลกใหม่ประสบการณ์จากผ่านมา—จึงอยากขอ mediumไว้รำลึก — ถ่ายรูปตึกมาเยอะหาได้ใช้ — แต่ทุกภาพความทรงจำตลอดไป — ขอบคุณฮะหนาวสมใจโอ๊ยใช่เลย💛

สวัสดีค่าาาาเราชื่อต้าน เป็น UI Designer หลายคนอาจจะปิดบทความตั้งแต่กลอนข้างบนและไม่มีโอกาสได้เลื่อนมาทำความรู้จักกันจนถึงตรงนี้5555555555555 เป็นไดอารีนะคะ อาจหาสาระกันไม่ได้ ..อิอิ

เริ่มเลยดีกว่า

เยอรมัน เป็นหนึ่งในประเทศยุโรปที่เราหวังว่าซักวันจะมีโอกาสได้ไป ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยของสงครามในอดีต หรือความขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรม เอกลักษณ์ ภาษา หรือผู้คน ล้วนเป็นสิ่งที่น่าค้นหาและมีเสน่ห์ ประกอบกับตัวเราเองทำงานที่บริษัท 20Scoops CNX ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ 20 Scoops Venture Capital บริษัทแม่ที่เมือง Hamburg ประเทศ Germany ที่พนักงานในบริษัทนี้ทุกคนมีโอกาสได้ไปทำงานแลกเปลี่ยนกับออฟฟิศที่นู้น และโอกาสนั้นสำหรับเราก็มาถึง เย้!!!!!!!

Before we go.

พอรู้ว่าตัวเองจะได้ไปเยอรมัน ส่ิงแรกที่ต้องทำคือเตรียมเอกสาร เช็ค passport ว่าหมดอายุหรือยัง ถ้าหมดแล้วก็ต้องไปต่อ แต่ใน case เราเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกจ้า ทำมาใหม่ๆ ยังไงก็ไม่หมด5555 เตรียมรูปถ่ายและเอกสารต่างๆ เพื่อขอวีซ่าเชงเก้นเพื่อการติดต่อธุรกิจ เคล็ดลับคือต้องพร้อม รูปถ่ายตรงตามเกณฑ์, เอกสารครบ ฯลฯ เพราะถ้าเตรียมไม่ครบตั้งแต่แรก กงสุลจะไม่รับ การทำวีซ่าต้องเผื่อเวลา เพราะมีระยะเวลาในการดำเนินการ ถ้าพลาดจนไม่ทันตามตั๋วเครื่องบินที่จองไว้ อดไปนะจ๊ะ 😭

เพื่อนร่วมเดินทางของเราในทริปนี้คือพี่มิ้นท์ (Sansern Wuthirat) ดีไซน์เนอร์สุดหล่อประจำออฟฟิศ และพี่ภัทร (Elec) Front-end developer ไฟแรงแซงทางโค้ง แต่ละคนต่างได้รับภารกิจที่ต้องไปปฏิบัติให้สำเร็จที่นู้น วีซ่าพร้อม โค้ทกันหนาวพร้อม ลุยยย!

Wake up too early to ready for a long flight

พวกเราเดินทางด้วย Eurowings ไปลงที่ Düsseldorf แล้วขึ้นเครื่องต่อไปลง Hamburg โดยใช้ชีวิตอยู่บนเครื่องประมาณ 10 ชั่วโมงกว่าๆ ก่อนขึ้นก็คิดว่าไหวน่าาาา ครึ่งวันเอง แต่พอไปอยู่บนเครื่องจริงๆ นอนแล้วนอนอีก คอพับคออ่อน อ่านหนังสือจบไปหลายเล่ม ฟังเพลงเล่นเกมพูดคุย ยังไม่ถึงซักที.. ตื่นเต้นจนหายตื่นเต้น

Our together time on the plane

First impression

หลังจากลงเครื่อง เหยียบพื้นดินเยอรมัน เดินตามเส้นทางไปหาเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ความรู้สึกตื่นเต้นกลับมาอีกครั้ง บรรยากาศรอบๆ สิ่งก่อสร้าง มันทำให้เรารู้สึกอินมากกกก เหมือนอยู่ในหนังยุโรป (อ้าวก็อยู่ยุโรป 😂) ยิ่งเป็นช่วงฤดูหนาวของที่นี่พอดี อากาศเย็นๆ ได้ฟีลล์สุดๆ

Immigration

มื้อแรกที่เราทานที่นี่คือ อาหารไทย จ้า กับสิ่งที่รอคอยไม่ลองคือพลาด เบียร์ เพื่อนที่นี่ถึงกับบอกว่านี่แหละเบียร์จริงๆ ของไทยเทียบไม่ได้(โห) ปกติไม่ใช่คอเบียร์อยู่แล้ว เลยไม่รู้ความแตกต่างที่ลึกซึ้งระหว่างเบียร์สองสัญชาติ แต่ที่ต้องยอมรับเลยคือ เบียร์ที่เยอรมันคือเข้มจริง มึนจริง และมีหลายตัวเลือกมาก

First 🍻 after landing at Hamburg

Everyday life

ในช่วงที่ไปเยอรมันเวลาจะช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง ทำให้สิ่งที่ยากที่สุดคือการปรับเวลาและกิจวัตรประจำวันใหม่ เพราะเรามีโปรเจคที่ยังรันอยู่ ต้องประสานงานกับทีมที่ไทย แต่ตอนเราตื่นมา 6 โมงเช้า ที่ไทยก็เที่ยงแล้ว พอเราเริ่มทำงาน ที่ไทยก็ใกล้เลิกแล้ว เลยใช้เวลาในการจูนตัวเองอยู่นานหลายวันกว่าจะเข้าที่เข้าทาง 🤧

เราเดินทางไปออฟฟิศเกือบทุกวันด้วยรถไฟ โดยซื้อไว้เป็นตั๋วสำหรับเดินทางได้หลายวัน เราต้องพกตั๋วนั้นไว้ตลอดพร้อมกับหนังสือเดินทาง ได้รับคำตักเตือนมาว่า “อย่าลืมตั๋วเชียวนะ” เพราะจะมีการสุ่มตรวจตั๋วโดยสาร ถ้าใครไม่มีตั๋ว จะถือว่าลักลอบขึ้นรถไฟ ต้องลงในสถานีถัดไป พร้อมทั้งจ่ายค่าปรับอีกประมาณหกสิบยูโร ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ลืมพกตั๋วนะ แต่บังเอิญเจอสุ่มตรวจครั้งนึง ใจเต้นตุ๊มต่อมอย่างกะคนทำผิด 😆

Moving train view

มีครั้งนึงต้องกลับรถไฟพร้อมกับพี่อีกคน แต่สถานีรถไฟที่ไปกลับทุกวันหยุดให้บริการชั่วคราว นาทีนั้นคือเปิด Google Map หาว่าไปลงสถานีไหนได้บ้าง ยืนกันอยู่หน้าป้ายซักพัก ก็มีคนมาถามว่า “May I help you?” หันไปเป็นคุณลุงหน้าตาใจดี ยื่นหน้ามาช่วยดูแผนที่ พร้อมแนะนำสถานีให้ ทำให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัย เป็นเหตุการณ์ที่ประทับใจมาก คงเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับบ้านนอกเข้ากรุงอย่างเรา ช่างเป็นการรอดชีวิตอย่างหวุดหวิดเลยทีเดียว

การเดินทางด้วยรถไฟจะไม่ถึงที่หมายเป๊ะๆ เหมือนการขับมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ไปทำงาน เมื่อถึงสถานีที่ใกล้จุดหมายปลายที่สุด ลง.. และเดินต่อ แรกๆ เราไม่ชิน เพราะมันหนาวจนแทบไม่อยากขยับขา การมาที่นี่ทำให้เราได้เดินเยอะยิ่งกว่าที่ผ่านมา ค้นพบว่าการได้เดินทุกวัน ทำให้เราได้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัว ค่อยๆ ซึมซับ ได้เห็นชีวิตยามเช้า และอีกหลายมุมเลยแหละที่เราคงไม่ได้สนใจหากมุ่งไปถึงออฟฟิศอย่างเดียว

First-morning sunrise after a cloudy day

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เราทำงานออกแบบ UI และ Artwork ให้กับบริษัทในเยอรมัน หลายครั้งที่เราได้รับคอมเม้นงานมาว่าต้องปรับเป็น Style แบบนั้นแบบนี้ โดยที่เราเองไม่เคยรู้เลยว่ามุมมองของฝั่งที่เยอรมันนี่เป็นยังไง คำว่าน่าเชื่อถือเป็นแบบไหน การค้นคว้าในอินเตอร์เน็ตทำให้ได้ข้อมูลมาบ้าง แต่การได้มาสัมผัส ได้มองเห็นมันจริงๆ ผ่านโปสเตอร์ริมทาง, ป้ายโฆษณาแอปพลิเคชันดัง, ป้ายร้านค้า, ใบปลิว ฯลฯ ในระหว่างเดินทางไป-กลับที่ทำงานนี่แหละ มันทำให้เราพอเห็นภาพ เข้าใจ และถึงบางอ้อ กับหลายๆ คอมเม้นที่ได้รับ “อ้อ” มันเป็นแบบนี้นี่เอง

Ottensen 20 November 2018
Sternschanze 21 November 2018

ถึงออฟฟิศเก้าโมงกว่า ทำงานตามเวลาปกติ ถึงประมาณหกโมงเย็น ความรู้สึกแรกเราคือแปลกถิ่นนิดๆ เหมือนเรายังเป็นคนเดิม งานเดิม เดดไลน์เดิม แต่สภาพแวดล้อมรอบๆ สภาพอากาศ ผู้คน ทุกอย่างเปลี่ยนไป ถ้าให้ประเมินตัวเอง รู้สึกว่าทำงานได้สปีดช้าลงนะ คงต้องโทษตัวเองแหละที่ปรับตัวได้ช้า

Hamburg 20 Scoops Venture Capital

เราไม่ได้หิ้วคอมส่วนตัวมาด้วย มาใช้ของออฟฟิศที่นี่เลย แปลว่างานต่างๆ ที่รันอยู่ ถ้ามีอะไรต้องใช้ คือต้องเตรียมให้พร้อมมาจากที่ไทย ไว้บนคลาวน์นี่แหละเบาใจดี☁️ สำหรับการถ่ายส่งงาน UI จะบอกว่าดีใจมากค่าาา ตัวโปรเจคที่ถืออยู่ใช้ Tool เป็น Figma เพราะมาทำงานที่นี่ ไม่ต้องติดตั้งอะไรให้วุ่นวาย ใช้งานง่ายผ่านอินเทอร์เน็ตเหมือนเดิม รักกกกกก💜

my temporary work space
Painting hours

ความพิเศษของออฟฟิศที่นี่คือ หลังสี่โมงหยิบเบียร์ในตู้เย็นมาดื่มไปทำงานไปได้เลย ไม่ชอบดื่มเบียร์แต่ก็ดื่มมันทุกวันอ่ะ55555 มาทั้งทีเราก็ต้องดื่มให้เต็มที่อะเนอะ พนักงานที่นี่เล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้เบียร์เต็มตู้ไม่ค่อยมีใครดื่ม แต่พอทีมไทยมา เบียร์เกือบหมดเลยนะ จะถือว่าชมดีไหม😛 ที่ชอบคือ.. วันไหนรู้สึกว่าร่างกายไม่ต้องการแอลกอฮอล์มีเบียร์แบบ Alcohol-free ให้เลือกนะ ได้รสชาติของเบียร์อยู่แต่ไม่เมา เพื่อนพนักงานที่นี่กลับบอกว่ามันคือ “Baby beer” เบียร์สำหรับเด็กน้อยนะจ๊ะ ผู้ใหญ่เขาไม่ดื่มกัน.. อะ ถือว่าเราไม่แกร่งพอ

Some of my favorite taste during work🍺
another favorite one with meal🍋

Body’s Energy

อาหารเช้าในทุกๆ วันจะมีวัตถุดิบหลักคือ ขนมปัง — 20 Scoops Venture Capital ตั้งอยู่ในเขตชุมชน ทำให้มีร้านรวง รวมถึงห้างสรรพสินค้ารายรอบ การเดินทางออกไปหาอะไรหม่ำๆ ตอนเช้าหรือกลางวันไม่ใช่เรื่องยาก

REWE on the way

เราได้รับหน้าที่มอบหมายตอนเช้าให้ไปซื้อขนมปัง สิ่งที่เราเรียนรู้จากการซื้อขนมปังคือ ขนมปังมีให้เลือกหลายชนิดมากกกกกกกให้ได้เลือกสรร ราคาแตกต่างกันออกไปแต่ไม่แพง แรกๆ เลือกชนิดขนมปังตามคนที่นี่ ว่าเขาชอบอันไหนเราลองกินมั่ง หลังๆ เลือกขนมปังที่ตรงใจได้ โดยสิ่งที่ต้องเตรียมมาไว้บนโต๊ะคือ วัตถุดิบประกอบ แยมผลไม้, ชีส, แฮม, ไส้กรอก ผักบ้าง ฯลฯ แล้วแต่ใครอยากให้มื้อเช้าออกมารสชาติแบบไหน จัดไปตามใจอยาก

Yukyik told me it calls “Brötchen”

Foodplace อาหารพร้อมทาน เป็นหนึ่งในบริษัทหุ้นส่วนกับ 20Scoops ทำให้ตู้เย็นออฟฟิศจะมีอาหาร Foodplace หลากหลายชนิดพร้อมอยู่เสมอ ถ้าใครขี้เกียจ ไม่อยากออกไปไหน อยู่ออฟฟิศตอนเที่ยงก็เอา Foodplace เข้าไมโครเวฟเป็นอันจบมื้อ

Foodplace meal

ใกล้ๆ ออฟฟิศมีร้าน Asia Food ขายวัตถุดิบ เครื่องปรุง ฯลฯ ที่เป็นของเอเชีย ในร้านมีขายแม้กระทั่งหม้อหุงข้าว ทำให้คนไทยไกลบ้านอย่างเราๆ ทำอาหารกินเองที่ออฟฟิศบ้างบางครั้ง ใส่รสเผ็ดๆ เข้าไป อ่าาาาาาาห์ 🌶

Elec with his knife.

เนื่องจากบอสเราชอบทานอาหารไทยอยู่แล้ว ทำให้หลายมื้อเราได้ติดสอยห้อยตามไปร้านอาหารไทย ซึ่งเราประทับใจมาก จานนึงอยู่ที่ประมาณ 7–14 € หรือตกเป็นเงินไทยประมาณ 250–500 บาท รสชาติจัดจ้าน เครื่องเยอะ .. คิดถึงบ้านไปตามๆ กัน ถึงกลับมาไทยแล้วเราก็ยังหากินรสชาติอาหารไทยแบบเยอรมันที่ไทยไม่ได้เลยล่ะ 😋

Pink noodle soup

ในฐานะพนักงานออฟฟิศคนหนึ่ง สิ่งที่เราติดมาก ขาดไม่ได้ สำหรับการเริ่มต้นในทุกๆ วันคือกาแฟ แต่ต้องโทษอากาศเย็น กาแฟไม่อาจเป็นตัวช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้ มีความง่วงเกาะติดอยู่ตลอดทั้งวัน Monster คือเครื่องดื่มชูกำลังที่เพื่อนพนักงานที่นี่แนะนำให้ลอง มีหลากหลายรสให้เลือก จนกลายมาเป็นเครื่องดื่มประจำวันของเราแทนเจ้ากาแฟไป .. รสที่เราถูกใจที่สุด Peach🍑

Monster team

Hamburg

เป็นชื่อเมืองที่เรามาอยู่.. ชอบเมืองนี้นะ เรามีโอกาสได้เดินเล่นในเมืองช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หลายๆ ตึกยังคงโครงสร้างเดิมสมัยสงครามโลกไว้ มันปราณีตและเข้มแข็งไปพร้อมๆ กัน เหมือนถูกเคลือบ Filter ไว้ อะงี้.. ถ้าใครเคยลองเล่นแอปพลิเคชันสำหรับแต่งรูปที่มี Filter หลายๆ Filter ให้เลือกเช่น Filter ญี่ปุ่น, เกาหลี, ปารีส ฯลฯ การที่เรามองภาพเหล่านี้ผ่านทางสายตามันเหมือนภาพรอบๆ ตัวเราถูกฉาบด้วย Filter แต่งรูปแนวยุโรปที่เคยลองเล่นมาแล้ว แบบนั้นเลย

ท่าเรือฮัมบวร์คเป็นท่าเรือสำคัญ นับเป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหภาพยุโรป และใหญ่เป็นอันดับสิบของโลก การขึ้นเรือเพื่อชมเมืองเป็นอีกแพลนนึงของวันหยุด เรือที่เราเลือกนั่งเป็นเรือสองชั้นลำใหญ่ บรรจุคนได้.. อ่า.. เยอะ(ไม่รู้กี่คน sorry😂) ครั้งนี้เราขอเรียกว่า เป็นประสบการณ์ที่หนาวที่สุดในชีวิตเลย

*memory saved*

หลังจากขึ้นเรือ หลายๆ คนเฮกันไปชั้นหนึ่ง มีไม่กี่คนเดินขึ้นไปนั่งชั้นสองของเรือ บอสเตือนเรากรายๆ “อากาศข้างบนเย็นหน่อยนะ” ด้วยสปิริตเต็มร้อยเราก้าวเดินขึ้นไปนั่งชั้นสอง พอเรือเริ่มออกเดิน รู้เรื่องงงงงง! นอกจากอากาศเย็นรอบตัวเดิมที่ทนแทบไม่ไหวอยู่แล้ว พอบวกกับลมเย็นจัดตีประทะใบหน้า นั่นแหละค่ะ อีกวันมาป่วย5555555555 🌬🤒

สำหรับเราแล้ว วิวระหว่างทางคือคุ้มอ่ะกับความหนาวนี้ เรือจะค่อยๆ เคลื่อนและจอดตามสถานี พอจอด ประตูเลื่อนจะเปิด คนเก่าลง คนใหม่ขึ้น เราถามเพื่อนที่อาศัยอยู่นี่ว่าเขามาเที่ยวบ่อยไหม “ไม่เลย” คือคำตอบ เพื่อนบอกว่าจะมาที่นี่ตอนมีเพื่อนจากที่อื่นมาเที่ยว แต่ไม่ได้พาใครมาช่วงนี้หรอกเพราะอากาศมันหนาวมาก (อ้าว😂) เรือขับผ่านเมือง มีตึกใหญ่ๆ เยอะเลย มาจนถึงย่านนึงที่มีบ้านสวยเรียงรายอยู่ริมชายหาด ถามเพื่อนว่าทำไมตรงนี้มีบ้านด้วย เพื่อนบอกว่าตรงนี้เป็นบ้านของ Rich people ย่านคนรวย เพราะราคาบ้านที่เยอรมันแพงมาก ซื้อที่ ซื้อบ้าน และต้องเสียค่าซ่อมบำรุงต่างๆ เพิ่มอีก ทำให้ส่วนใหญ่นิยมอยู่กันเป็นอพาร์ทเมนต์มากกว่า แล้วนี่ยิ่งเป็นบ้านริมหาดด้วย.. แพงหูฉี่

หลังลงเรือ เราได้ตัวช่วยเป็นไวน์ร้อนค่ะ ไวน์ร้อนหรือ Glühwein 🍷 ทำให้ร่างกายอบอุ่นท่ามกลางอากาศหนาว เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทเดียวที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายและดื่มได้ในที่สาธารณะ นิยมมากในช่วงคริสมาสต์ จึงพบเห็นซุ้มขายอยู่ได้ทั่วไป ค่าเสียหายอยู่ที่แก้วละ 3 € (108 บาท) ความรู้สึกตอนดื่มคือดื่มง่าย หลังดื่มแล้วรู้สึกอุ่นๆ ออกมาจากข้างในตัวเหมือนโดนไฟลุก คล้ายประกาศกร้าวกับความหนาวว่า “ฉันไม่กลัวแกแล้วนะ ลุยย🔥

St. Pauli Landing Bridges
back in town

Hansestadt Lüneburg

ขอเรียกเมืองสวย รวยประวัติศาสตร์ละกัน เพราะที่นี่เป็นแบบนั้นจริงๆ

วันนี้บอสเราบอกเตรียมตัวให้พร้อม จะพาไปเดินเมืองเก่า .. ภาพจินตนาการในหัวเราตอนบอสบอกคืออารมณ์แบบเมืองเก่าอยุธยา, ปราสาทหินพนมรุ้ง ฯลฯ ที่เป็นเมืองเก่าไม่มีคนอาศัยอยู่แล้ว โดยไม่ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมใดใด ทำให้ตอนเราลงรถมาค่อนข้างอึ้งเมื่อเจอตึกสวยเรียงราย ล้วนสร้างจากอิฐก้อนโต สีคุมโทนเหมือนใช้ Pattern เดียวกันในการสร้าง

ลือเนอบวร์คหรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ นครฮันเซอลือเนอบวร์ค เป็นเมืองในรัฐนีเดอร์ซัคเซินของประเทศเยอรมนี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้จากนครฮัมบวร์คไปราว 50 กิโลเมตรและถือเป็นเมืองปริมณฑลของฮัมบวร์ค ลือเนบูร์คได้รับสถานะเป็น “นครฮันเซอ” (Hansestadt) เมื่อค.ศ. 2007 เพื่อเป็นการระลึกว่าเมืองนี้เคยเป็นเมืองหนึ่งในสันนิบาตฮันเซอในอดีต

ลือเนอบวร์คมีถนนหลายสายให้เลือกเดิน มีร้านขายของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว และร้านค้าแบรนด์ดังมากมายให้ได้ช้อปปิ้ง ทุกร้านที่เราเห็นจะถูกปรับและตบแต่งให้เข้ากับตึกเก่าเพื่ออนุรักษ์ไว้ ช่างเป็นเมืองที่ดูน่าอยู่และอบอุ่นจริงๆ

เทพนิยายกริมม์ ของนักประพันธ์บันลือโลกชาวเยอรมันสองพี่น้องตระกูลกริมม์ (The Grimm Brothers) เป็นเรื่องราวที่เราล้วนคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นนิทานหนูน้อยหมวกแดง เจ้าหญิงนิทรา สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด ราพันเซล ซินเดอเรลล่า ฮันเซลแอนด์เกรเทล และอีกไม่ต่ำกว่าร้อยเรื่อง โดยฉากในหลายๆ เรื่องมีแรงบันดาลใจมาจากสถานที่เที่ยวในเมืองต่างๆ ของเยอรมัน

ที่ลือเนอบวร์ค มีตู้จัดแสดงหุ่นมือเล่าเทพนิยายกริมม์ฉบับดั้งเดิ้มหลายๆ เรื่องอยู่ สามารถหยอดเหรียญในตู้เล็กๆ สีน้ำเงินมุมขวาให้หุ้นขยับเล่นนิทานให้ดูได้ 🎶 ฟังดูน่าตื่นเต้นเนอะ เราลองแล้ว สรุปคือไม่มีอะไรขยับ ไม่รู้เป็นเพราะเลือกตู้นิทานที่หยุดเล่นให้ดูไปหรือเปล่า😱 เราชอบทุกตู้เลย ในใจคิดว่าถ้าเราเองเป็นเด็กคงไม่เดินไปไหนละ สิงมันอยู่หน้าตู้นิทานนี่แหละ 5555

เราไปช่วงใกล้เทศกาลคริสต์มาส ทำให้หลายๆ ร้านเริ่มประดับประดาดับไฟเป็นการเฉลิมฉลอง บรรยากาศโดยรอบจึงเป็นอย่างที่เห็น ☺️

แวะเติมพลังด้วยแพนเค้กนุ่มๆ กับไอศครีม .. ตอนแรกบอสถามแวะกินไอศครีมกันไหม ใจเรานี่ลังเล จะไหวหรอเราหนาวๆ กินไอศครีม แต่พอเสิร์ฟมาพร้อมกับกาแฟร้อนๆ และแพนเค้กอุ่นๆ มันโอเคมากเลย 😍 เราชอบกาแฟร้อนที่นี่นะ จะเสิร์ฟมาเป็นกาแฟดำร้อน พร้อมกับนมถุงเล็กๆ น้ำตาลแยกต่างหาก ให้เราสามารถเลือกปรุงรสกาแฟได้เอง นอกจากนั้นยังแถมแครกเกอร์เล็กๆ รสหวาน มาให้ทานคู่กาแฟด้วย ☕️

เมื่อเดินต่อเรื่อยๆ ตามถนนเส้นต่างๆ เราพบว่ามีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย ที่มาเดินเที่ยวที่นี่ พร้อมเพื่อนฝูง ครอบครัว หรือคู่รัก เราว่าครบเครื่องดีนะ ได้เดินเล่นดูเมืองไปด้วย ช้อปปิ้งเพลินๆ หรือว่าดื่มสังสรรค์

ชอบบรรยากาศแบบนี้จัง 🍁

มุมที่นั่งพักได้ (หรืออาจไว้ให้นั่งถ่ายรูป 😂) มีกุญแจคล้องอยู่รอบๆ เลยล่ะ นึกว่าว้าบไปเกาหลี คงมีหลายคนมาให้คำมั่นสัญญากันที่นี่ แต่บรรยากาศโรแมนติกแบบนี้ ไม่น่าแปลกใจเลย

สิ่งที่น่าทึ่งสำหรับเรามากที่สุดคงเป็นการได้มาโบสถ์ St. Nicolai, Lüneburg สถาปัตยกรรมที่เก่าแก่แต่งดงาม ทั้งภายนอกและภายใน มีประวัติการสร้างมาตั้งแต่ค.ศ. 1409 — 1440 รวมเป็นระยะเวลาสามสิบเอ็ดปี😱 ทึ่งในวิวัฒนาการเมื่อเกือบหกร้อยปีที่แล้วที่ทำให้เกิดโบสถ์ที่งดงามและยิ่งใหญ่แบบนี้ได้ เราลองเดินไปยืนเทียบใกล้ๆ คือกลายเป็นมดงานตัวน้อยไปแล้ว 🐜

Halo~ DOM งานวัดเยอรมัน

ตอนแรกที่เราได้ยินว่าวันนี้จะได้ไปเที่ยวงานวัดเยอรมัน เราไม่คิดว่ามันจะยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ 😮 Hamburger Dom เป็นเทศกาลสวนสนุกประจำฤดู ซึ่งจะนำโรลเลอร์โคสเตอร์ ม้าหมุน และเต็นท์เบียร์เข้ามาให้ชาวเมืองได้สนุกสนานกัน กินเวลาถึงหนึ่งเดือนและจัดขึ้นปีละสามครั้ง ทุกมีนาคม กรกฎาคม และพฤศจิกายน งานทั้งสามครั้งรวมกันมีผู้เข้าชมถึงกว่า 9 ล้านรายในแต่ละปี และปีนี้เราดีใจมากค่ะที่มีโอกาสได้เป็น 1 ใน 9 ล้าน 😂 พอเข้ามาที่ DOM เราลืมทุกอย่างเลย แสงสี และดนตรีมันเย้ายวนจากทุกทิศทาง อยากวิ่งไปให้ครบทุกเต๊นท์ ❤️

Hamburger Dom Winter 2018

ส่วนเรื่องราคาก็ขึ้นอยู่กับชนิดเครื่องเล่นเลย เช่น เราไปนั่งรถไฟเด็กชมเมืองจำลองอยู่ที่ 5 € (~180 บาท) นั่งวนเกือบสิบรอบ คือรู้ทั้งรู้ว่านะเป็นเครื่องเล่นสำหรับเด็ก แต่ก็อยากลองเล่นเพราะอยากรู้ว่ามันรู้สึกยังไง ปรากฏว่าในแถวคิวมีแต่คุณพ่อคุณแม่อุ้มลูกพาขึ้นรถไฟ หรือเด็กๆ ตัวเล็กๆ ให้พ่อแม่ช่วยปีนป่ายขึ้นที่นั่ง เราขึ้นนั่งเขินๆหลังจากคนคุมรถไฟปิดโซ่กันเล็กๆ กันตกให้รถไฟก็เริ่มเคลื่อน .. ชาวบ้านกับสัตว์เลี้ยงคือหุ่นเซรามิคน่ะ … 🙈 ได้ลองเป็นเด็กสมใจ

เครื่องเล่นที่นี่เขาจริงจังมากนะ หลายเครื่องจำกัดอายุผู้เล่นด้วย ว่าต้องไม่ต่ำกว่าเท่าไหร่ เพราะมันสุดเหวี่ยงมาก บางเครื่องเล่นเรายังไม่แน่ใจเลยว่าถ้าพาตัวเองขึ้นไปจะไหวหรือเปล่า ขาสั่นพั่บๆ, บ้านผีสิงก็น่ากลัว หุ่นดูมีชีวิตจะมาบีบคอจริงๆ หรือยานอะพอลโล่ที่แกว่งซะแรงเฟี้ยวจนคนจะลอยหนีกันหมดแล้ว ฯลฯ 😂 ยอมรับว่าทำมาตอบโจทย์ ให้ความสนุกสนานกับผู้เล่นได้ทุกเพศทุกวัย มีให้เลือกเล่นกันตามใจชอบเลย

Hamburger Dom Apollo NASA 🚀

ถ้ากลัวเล่นไปแล้วท้องร้องจ๊อกๆ 😣 ขึ้นมาไม่ต้องห่วงค่ะ นอกจากเต๊นท์เครื่องเล่นจะมีให้เลือกเยอะแล้ว เต๊นท์อาหาร เครื่องดื่ม และขนม มีให้เลือกสรรมากมายไม่ต่างกัน อาหารเยอรมัน เช่น ไส้กรอกจากท้องถิ่นต่างๆ, เบียร์ หรือขนมปังร้อนๆ มีให้เพิ่มพลังงานให้ตัวเองก่อนกลับสู่สนามเครื่องเล่น

Elec

สายขนมอย่างเรา ไม่พลาดเต๊นท์แบบนี้แน่นอน วี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด! พุ่งตัวด้วยความเร็วสูงเข้าไปหาขนมหวานค่ะ ขนมในซุ้มแบบนี้ตอนแรกเรากลัวตังค์ไม่พอ แต่เขาทำการตลาดมาดีนะคะ มีให้เลือกตามราคาซื้อไหว 😂 เช่น ถั่วหวานกรุบกรอบ ถ้าถุงเล็กไปใหญ่ราคาเริ่มจาก 3, 5 ไปจนถึง 10 € โดยคอนเซ็ปท์เราคืออันไหนอร่อยไหมไม่รู้ ซื้อทีละนิดได้ชิมหลายๆ อัน55555

Sweets

อย่างเชอร์รี่เคลือบน้ำตาลกรอบๆ แบบนี้ โอ้ยยยยยยยหวานละลาย ❤️ คำเตือนให้ตัวเองคือกินเยอะกว่านี้มีโอกาสเป็นเบาหวาน ฮ่าๆๆๆ

Glühwein ไวน์ร้อนเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ที่นี่ก็มีให้จิบนะจ๊ะ แม่ค้าบอกว่า “เดี๋ยวเอาแก้วมาคืนด้วยนะ” ไอ้ตอนแรกเราก็คิดว่า ทำไมเขาถึงไว้ใจลูกค้าจัง🤔 ให้แก้วบวกไวน์มาละแค่บอกว่าให้เอามาคืน เกิดไม่เอามาคืนจะไม่ขาดทุนแย่เหรอ .. แต่เขาคิดเรื่องนี้ไว้แล้วล่ะ คือเขาบวกราคาแก้วกับไวน์​ไปด้วยเลย เช่น 5 € ต่อแก้ว เราก็หยิบแก้วไปดื่มได้ตามใจ อยากได้แก้วก็เอาไปเลย ไม่อยากได้แก้วก็เอาไปคืนแม่ค้า เขาจะให้เงินค่าแก้วเรากลับมา เช่น 2 € ก็ว่ากันไป

เครื่องเล่นที่ประทับใจที่สุดคือชิงช้าสวรรค์ไซส์บึ้ม ใหญ่โตมาก บอสบอกว่าปีที่ผ่านมาเขาเอาตัวบึ้มกว่านี้มาอีกนะ ปีนี้ยังถือว่าไม่บึ้มสุด รออะไรล่ะ ซื้อตั๋วละต่อคิวเลยจ้า เขาให้เราเข้าแถวรอ มีพนักงาน Security ของชิงสวรรค์อยู่ คอยเปิดประตูให้คนขึ้นแต่ละตู้ตามจำนวนที่กำหนด จากนั้นวนพาขึ้นตู้อื่นๆ จนครบ แล้วชิงช้าจึงเริ่มเคลื่อน

เคลมว่าขึ้นไปบนชิงช้าจะเห็นวิวของเมือง Hamburg โดยรอบเลย คงจะจริงถ้าเป็นตอนกลางวัน แต่ตอนเราขึ้นมืดสนิทเลย เห็นตึกไกลๆ รางๆ ที่ชัดเจนก็วิวใน DOM เองนี่แหละ เบื้องหน้าเป็นเต๊นท์พร้อมไฟ แสงสี และเสียงเพลงดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามา หลังเต๊นท์เป็นรถบ้านสำหรับอยู่อาศัย คงเป็นหนึ่งเดือนที่ต้องอาศัยปักหลักกันที่นี่เลยสำหรับพ่อค้าแม่ค้าและเหล่าบรรดาผู้คุมเครื่องเล่น

A day in Berlin

เรามีโอกาสได้ไปเบอร์ลินเพราะบอสถูกเชิญให้ไปเป็นแขกสำคัญร่วมงานประชุมหนึ่งซึ่งจัดที่นั่น เราเดินทางไปเบอร์ลินด้วยรถไฟความเร็วสูงซึ่งใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งในการเดินทาง ทั้งๆ ที่ระยะทางจาก Hamburg ➡️ Berlin นั้นประมาณไปกลับกรุงเทพฯ-เชียงใหม่เลย เนื่องจากวันที่เดินทางไม่ใช่วันหยุด ทำให้เรายังพกคอมกันมานั่งทำงานบนรถไฟอยู่ เป็นประสบการณ์ working on train ที่เห็นวิวสองข้างทางไปด้วย ผ่านตึกบ้าง ชนบทบ้าง แต่บางจังหวะที่รถไฟเคลื่อนไวๆ ก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่าภายนอกเป็นอะไร

Moving train view 🚂 Berlin

พอลงจากรถไฟ ความรู้สึกคือ .. เชียงใหม่มากรุงเทพจริงๆ เปรียบฮัมบวร์คคือเชียงใหม่ ให้เบอร์ลินเป็นกรุงเทพฯ แค่ลงจากรถไฟ ในสถานีกลางเบอร์ลิน หรือ Berlin Hauptbahnhof มีพื้นที่กว้างมากกก รถไฟมีหลายขบวน ภายในมีร้านค้าและศูนย์อาหารชั้นนำ ตบแต่งด้วยต้นคริสต์มาส อลังการงานสร้าง ✨

Berlin Hauptbahnhof
Berlin Hauptbahnhof

ดีที่หนึ่งวันที่มีโอกาสได้ไปเบอร์ลินอากาศดี แดดออก ทำให้มองเห็นท้องฟ้าโปร่งใส เราเลือกใช้การเดินเท้าเป็นการเดินทางหลัก เพราะตั้งใจเดินไปด้วย ชมเมืองไปด้วย

ยอมรับว่าเราหลงใหลในเมืองนี้ตั้งแต่แรกเห็น บ้านเมืองที่สะอาดเรียบร้อย ตึกเป็นระเบียบ มีสิ่งปลูกสร้างที่มีเค้ารอยประวัติศาสตร์กระจายตัวอยู่ทั่วเมือง บรรยากาศสบายๆ ขัดกับอาการรีบร้อนของผู้คนที่ต่างไม่ได้หยุดพัก แต่เดินทางต่อเนื่องเพื่อมุ่งไปยังจุดหมายของตน เราลองสูดหายใจลึกๆ ดูรู้สึกสดชื่นนน มีได้กลิ่นควันรถบ้าง แต่กลิ่นอายของเมืองกลับชัดกว่า

จากการอ่านเพิ่มเติมทำให้รู้ว่าเบอร์ลินเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับสามของยุโรป แต่การจัดการนักท่องเที่ยวให้อยู่ในระเบียบ ทำได้ดีในระดับหนึ่ง เราเดินผ่านอาคารไรชส์ทาค ข้อมูลจากวิกิบอกให้รู้ว่า

อาคารไรชส์ทาคเป็นสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี สร้างขึ้นในสมัยจักรวรรดิเยอรมันเพื่อเป็นประชุมของรัฐสภาเยอรมัน เริ่มใช้งานในปีค.ศ. 1894 จนกระทั่งถูกวางเพลิงในปีค.ศ. 1933 เหตุวางเพลิงสร้างความเสียหายอย่างมากแก่อาคารนี้ทำให้มันถูกปล่อยทิ้งร้างกว่าสี่ทศวรรษ เมื่อมีการรวมประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ. 1990 ก็มีการบูรณะอาคารนี้โดยสถาปนิกนอร์มัน ฟอสเตอร์ การบูรณะเสร็จสิ้นใน ค.ศ. 1999 และถูกใช้เป็นอาคารรัฐสภาสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (บุนเดสทาค) มาตั้งแต่บัดนั้น

มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย ต่อคิวกันเพื่อขึ้นไปชมชั้นบนสุดของอาคาร บอสเล่าว่าภายในเป็นกระจกใสทำให้มองเห็นได้ทั่วเมือง แต่การจะขึ้นไปได้ต้องไปดำเนินการตามกำหนดก่อน โดยนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ถือสัญชาติเยอรมันต้องพกหนังสือเดินทางของตนเป็นการระบุตัวตน เราลองไปเลียบๆ ถามเจ้าหน้าที่แล้วปรากฏว่าต้องต่อคิวประมาณ 2 ชั่วโมง เนื่องด้วยเวลาเรามีจำกัด เดินต่อรอไม่ได้จ้า

Reichstagsgebäude

มีผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง แต่งกายชุดหลวมๆ เดินเข้ามาหาด้วยทีท่าขึงขัง บอกเราว่า “Please sign it for me” ไม่พูดเปล่า พลางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งกับปากกามาให้ บอสเตือนเราให้ระวังเพราะส่วนใหญ่เป็นพวกล้วงกระเป๋า ในขณะที่เราเผลอไผลมัวเซ็นให้ และอ่านข้อมูล เขาจะขโมยตังค์เราไป 😱

เดินไปเรื่อยๆ สิ่งที่เราสังเกตได้ชัดเจนสุดคงเป็นหมี ทั้งตามป้ายตามถนน ทำเอาเราคุยกันเล่นๆ ถ้าเดินผ่านป่าสนแบบนี้หมีจะโผล่มาไหม 😂

Any bear here?

เพิ่งรู้ตอนกลับมานี่แหละ ว่าหมีเป็นสัญลักษณ์ของเบอร์ลิน ซึ่งได้รับการสร้างสรรค์จากศิลปิน ที่ตั้งอยู่ตามมุมต่างๆ ของเมือง จริงๆ แล้วน้องชื่อ Buddy Bear

ริเริ่มด้วยนักธุรกิจสามีภรรยาคือคุณ Klaus Herlitz กับ Eva Herlitz ด้วยจุดประสงค์คือต้องการสร้างสีสันให้กับมุมต่างๆ ของเมือง ในขณะเดียวกันก็สื่อความหมายของสันติภาพ ความเข้าอกเข้าใจและการอยู่ร่วมกันได้ท่ามกลางความแตกต่างของเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม โดยได้นักประติมากรรม Roman Strobi สร้างสรรค์ออกแบบจนเกิดเป็นหมีตัวแรกจากวัตถุดิบไฟเบอร์กลาสออกมา จากนั้นก็แต่งแต้มสีสันสื่อข้อความต่างๆ ในแนวคิดเดียวกัน แต่ด้วยศิลปินหลายคนจากหลายประเทศ ออกมาเป็นหมีทั้งสิ้น 350 ตัว เฉพาะในเบอร์ลิน (ขอบคุณข้อมูลจาก neorosifix )

พอเพิ่งรู้ .. เลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้ซักตัวเลยง่า ได้มาเมืองหมีทั้งที 😭

เราได้ไปที่ประตูบรันเดินบวร์ค อยู่ใกล้ๆ อาคารรัฐสภาไรชส์ทาคนี่เอง ตัวประตูทำจากหินทรายมีความสูงกว่า 30 เมตร จำลองมาจากวิหารอะโคโพรีสในเอเธนส์ สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อต้องการเป็นประตูสู่เส้นทาง Unter den Linden ซึ่งเป็นถนนที่ตรงไปสู่พระราชวังเมืองของพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรปรัสเซีย (Prussia) ประตูได้รับความเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และได้รับการบูรณะจนเสร็จสิ้นในช่วงปีพุทธศักราช 2543 ถึง 2545 โดยมูลนิธิอนุรักษ์

ช่วงที่เราไปนักท่องเที่ยวเยอะมาก บ้างยืนถ่ายรูป ชื่นชมความยิ่งใหญ่ รับลมเย็นจัดจนหนาวที่พัดมาเป็นระยะ บ้างจับกลุ่มพูดคุย ออกันอยู่หน้าประตูบรันเดินบวร์ค

Brandenburg Gate
Brandenburg Gate

เราได้เดินเล่นอีกหลายที่ มีร้านขายของฝากหลายร้าน ขายทุกอย่างเกี่ยวกับเบอร์ลิน ตั้งแต่ไฟแช็ค แปรงสีฟัน ยันหมอนเราได้เก็บรูปมาบ้าง ขอไม่กล่าวถึงทั้งหมดที่นี่ เพราะหลายที่ที่ไปยังไม่รู้เลยว่าคือที่ไหน มีไว้เพื่ออะไร😅

แต่ประทับใจในหนึ่งวันนี้ที่เบอร์ลินจริงๆ ค่ะ 💙

20 Scoops Team party 🎉

กลับมาต่อกันที่ฮัมบวร์ค เป็นโอกาสอันดีที่ทีมไทยและเยอรมัน 20 Scoops มีโอกาสได้มาเจอะเจอกัน เรามีนัด Outing กันที่สวนสาธารณะ Planten & Blumen

Planten un Blomen

โดยมีนัดกันมาเล่น Eisstockschießen หรือเคอร์ลิงบาวาเรียน โดยกติกาคือเหวี่ยงเจ้าลูกตุ้มแบนกลมให้เข้าใกล้จุดหมายที่ตั้งไว้ที่สุด ใกล้กว่าได้แต้มเยอะกว่า ใครได้แต้มเยอะสุดเป็นฝ่ายชนะไป เราแบ่งกันเป็นสองทีม ใครโยนได้ใกล้จุดมาร์คแล้วจะโดนลูกตุ้มคนอื่นเหวี่ยงชนจนถอยห่างไป นับคะแนนสุดท้ายตอนลูกตุ้มหมดทั้งสองทีม

หนาวๆ แบบนี้ไวน์ร้อนเจ้าเดิมพร้อมเสิร์ฟ คราวนี้มาในกระติกน้ำร้อนให้กดดื่มได้ตลอด มึนๆ มันๆ ดีเหมือนกันเล่นๆ ไป

ต่อด้วย Christmas ship ที่ Landungsbrücken ปาร์ตี้บนเรืออันแสนครึกครื้น มีอาหารเครื่องดื่มเป็นบุฟเฟ่ต์ ทานได้เรื่อยๆ

ปาร์ตี้ถูกจัดระหว่างที่เรือเคลื่อนที่ มีการเปิดเพลงและเฟลอร์ให้เต้นรำหลังจากทุกคนดื่มด่ำกับอาหาร และเครื่องดื่มเพียงพอ

บนดาดฟ้าเรือมีพื้นที่หนาวๆ ให้ได้นั่งรับลม ใครจะหยิบไวน์หยิบเบียร์จากข้างล่างขึ้นมาไม่ว่ากัน ให้ความรู้สึกคูลๆ เหมือนเป็นเจ้าของเรือ5555

Night life

ฮัมบวร์คช่วงคริสต์มาสเป็นค่ำคืนที่ไม่หลับไหล แสงไฟถูกประดับประดาทั่วสารทิศ โดยเฉพาะที่ถนนสาย Reeperbahn ย่านคนกลางคืน

มีทั้งโซนร้านขายของเล่น 18+ เราลองเข้าไปเดินเล่นมาแล้ว มีให้เลือกซื้ออย่างจริงจัง หลายรูปแบบหลายไซส์ ครอบคลุมทุกความชอบเลย 😝

หรือจะเป็นผับแบบคาราโอเกะ .. ตอนแรกที่เพื่อนๆ ชวนกันไปร้านคาราโอเกะ เราเข้าใจว่าเป็นร้านคาราโอเกะแบบไทย ที่แยกเป็นห้องๆ เข้าไปนั่งร้องเพลงกับเพื่อนๆ ในกลุ่มที่มาด้วยกัน แต่ที่ Reeperbahn ไม่ใช่แบบนั้น จะมีจอใหญ่ๆ ติดอยู่ตามมุมต่างๆ คนที่จะมาร้องเพลงคาราโอเกะคือร้องให้คนทั้งร้านฟัง 😱 มีหลายคนเลยออกมาร้องแล้วได้เสียงโห่กลับไป หาได้มีใครซีเรียสไม่ เพราะทั้งร้านก็เมาๆ กันแล้วทั้งนั้น กลายเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮา แต่ส่วนใหญ่ที่ออกมาร้อง พลังเสียงกินใจ ทุ่มเต็มร้อยกันทั้งนั้น

What I love

ที่นี่มีหลายอย่างเลยที่เรารู้สึกชอบ ไม่ว่าจะเป็น…

❤️ Christmas market — เราเป็นคนชอบเดินตลาด เดินเล่นดูของ ในช่วงคริสต์มาสนี้จะมีตลาดนัดมาตั้งแผงขาย ซึ่งที่นี่เขาตั้งตลาดนัดกันอย่างจริงจังมาก (อีกแล้ว) เต๊นท์ขายของคือคล้ายบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่คนขายจะเข้าไปแสตนท์บายรอลูกค้า ซึ่งมีสินค้าแปลกๆ สวยๆ เยอะเลย หลายอย่างเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าให้ซื้อไปทำอะไร แค่มองแล้วมันสวยตรึงใจ มีความสุขที่ได้มาเห็นก็พอ 😂

❤️ Glühwein— หลายคนคงพอเดาได้ ว่าเราติดใจไวน์ร้อนนี่เข้าให้แล้ว จากหลายๆ รูปที่พูดถึงไวน์ร้อนไม่หยุด ..ลองนึกภาพตามซิ การได้ดื่มไวน์ร้อนๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บเข้ากระดูก มันเหมือนอยู่บนยอดดอยแล้วได้ดื่มโอวัลตินร้อนๆ แต่เพิ่มเติมคือความเมานั่นแหละ 😆

❤️ Supermarket — มีอะไรให้ลองเยอะเลย ขนมแปลกๆ เครื่องดื่มหน้าตาแปลกๆ ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เข้าไป

❤️ Traffic— เราชอบที่ที่นี่สนับสนุนให้ใช้รถคันเล็กๆ แต่ไม่ใช่เล็กแบบที่พี่ Elec อยากได้นะ55555 แต่เป็นรถเล็กแบบ Eco Car ที่ช่วยในการประหยัดพลังงาน เราว่านอกจากจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับหลายกลุ่มคนที่ไม่ได้มีครอบครัวขนาดใหญ่ หรือรายได้เยอะแล้ว ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

Not this one

ส่วนคันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับ content ใดๆ
แค่เดินผ่านเห็นแล้วน่ารักดี เลยขอแชะภาพเก็บไว้ 📷

❤️ Ride a bicycle — เราชอบที่เขาจริงจัง ให้ความสำคัญกับการปั่นจักรยาน ถึงขนาดมีถนนสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ บอสเตือนว่าตอนเดินทางเท้าให้ระวังอย่าไปเดินบนทางปั่นจักรยาน เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุจักรยานชนเราขึ้นมา เรานี่แหละผิด

❤️ Animal lover — “ถ้าเห็นนกอยู่ข้างทาง อย่าวิ่งไปไล่มันนะ” ตอนแรกเราไม่เข้าใจว่าทำไม แต่หลังจากบอสอธิบาย ว่ากฏหมายของที่นี่ให้ความสำคัญกับสัตว์ เช่น คนมีสิทธิ์พาสัตว์เลี้ยงที่ถูกฝึกแล้ว ไปเดินห้าง ทำกิจวัตรร่วมกับคนได้หากไม่ทำอันตรายให้ผู้อื่น เราก็ต้องเคารพสิทธิ์สัตว์เลี้ยง กรณีเดียวกับเจ้านกน้อยเลย มันบินมากินอาหาร ไม่ได้ทำร้ายทำอันตรายอะไรให้เรา ทำไมเราต้องไล่มันไปด้วยเล่า

สัตว์ที่นี่จึงไม่กลัวคนเลย อยู่กันอย่างใกล้ชิดฉันท์มิตร จิ๊บๆ 🐦

❤️ Harry Potter — เราเป็นแฟนคลับแฮร์รี่พอตเตอร์ สิ่งที่เราชอบมากอีกอย่างตอนมาที่นี่คือ มีของขวัญของฝากเกี่ยวกับแฮร์รี่เยอะมากกกก เจอได้ทุกที่ ร้านหนังสือแทบทุกร้าน ห้างสรรพสินค้า ร้านของเล่น .. ได้เจอแฮร์รี่บ่อยแบบนี้ ฟินเลยอะ ☺️

Hi! Harry

What I’m not …

มีสิ่งที่เรารู้สึกไม่ชอบ ไม่โอเคเหมือนกัน เช่น

การหาที่จอดรถ — ลองนึกภาพในวันที่เราหิวมาก ท้องร้องจ๊อก อากาศหนาวเหน็บ เราเจอแล้วล่ะ ร้านที่เราจะเลือกฝากท้องในมื้อนี้ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำหรับเราคือ.. ยังไม่มีที่จอดรถ 😭 การหาที่จอดรถในเยอรมันยากจริงๆ นะ ฮืออออ

Cold as fuck

Coldest rain — อาจเพราะเรากลับก่อน ไม่ทันเจอหิมะแรกที่ฮัมบวร์ค เป็นผลพลอยให้เราไม่ชอบฝนตกในวันที่อากาศหนาวมากที่สุด ในใจคิดว่าเย็นขนาดนี้ทำไมไม่กลายเป็นหิมะไปเล้ยยยย (โวยวาย 😂)

Comeback Home

วันสุดท้ายก่อนกลับ เรามีปาร์ตี้เล็กๆ ในบริษัท คงเพราะเราไม่กล้าไปร้องคาราโอเกะในผับที่ Reeperbahn กระมัง เลยจัดกันในออฟฟิศนี่แหละจ้า ร้องเพลงหนุกหนาน🎵 ไม่ต้องกลัวโดนโห่ไล่ มีแต่ไล่ให้ออกไปร้อง 55555

มุมทำอาหารของออฟฟิศ กลายเป็น Scoopsbar ไปแล้ว 🤗

Thank you

เป็นสิบแปดวันที่ครบรสมากๆ สำหรับเรา เป็นสิบแปดวันที่ได้เดินเยอะที่สุด เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมากที่สุด (ก็แหงซิ 😂) เราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองว่า ตัวเราควรมีการเตรียมความพร้อมร่างกายที่ดีกว่านี้ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนได้อย่างไม่ติดขัด ไม่เจ็บป่วย ดูแลสุขภาพตัวเองให้พร้อมกับโอกาสที่มาถึงโดยไม่รู้ตัว เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่จะดีกว่า

Düsseldorf Airport
Shot by Sansern Wutthirat

ขอขอบคุณพี่อะตอม (Atom) พี่มิ้นท์ พี่ภัทร รวมต้านเป็นสี่เหมียวฮัมบวร์ค ที่คอยอยู่ช่วยเหลือดูแลกันมาตลอดทริป เป็นทริปดีดีที่ได้ใช้เวลาร่วมกับทุกคน ทำงานกันอย่างเต็มที่ หัวเราะกับเรื่องราวดีๆ เผชิญสิ่งแปลกใหม่ไปด้วยกัน ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ

และทริปนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการอย่าง 20 Scoops Venture Capital และบอสของเรา ขอบคุณที่ให้โอกาสหนูนะคะ 💛

สานต่อเจตนารมณ์พี่ปอนด์ “การผจญภัยครั้งใหม่ในปี 2018 เป็นการเดินทางที่ตื่นเต้นไม่แพ้กับปีที่แล้วเลยนะ” Jedsada Tiwongvorakul ขอบคุณนะคะที่คอยให้คำแนะนำน้อง ใครอยากรู้ว่าปีที่แล้วเหมือนปีนี้ไหม ต่างกันยังไง ลองเข้าไปหาคำตอบกันได้ที่บล็อกนี้ค่ะ 👇

ขอบคุณคนอ่านเช่นกันที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนจบนี้ ลาไปก่อนเด้อบ๊ายบายย💕

BYE BYE

--

--

wuttitarn

senior UX/UI Designer with 7 years of experience. Works remotely, recharges through nature trips, loves cats, coffee, and storytelling through writing ♡