แชร์ประสบการณ์ 4 เดือนที่ผ่านมาใน 20Scoops CNX

Chai Phonbopit
20Scoops CNX
Published in
6 min readMar 19, 2018

สวัสดีครับวันนี้ผมมาแชร์เรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของผมที่ผ่านมา ต้องบอกก่อนเลยว่าช่วงปีที่ผ่านมา มีอะไรหลายๆอย่างเข้ามาในชีวิต ทั้งเรื่องดี และเรื่องไม่ดี มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนงานของผมเอง

ก่อนที่ผมจะมาทำงานที่ 20Scoops CNX ก่อนหน้านี้ผมทำที่ Nextzy Technologies มาก่อน 2 ปีกว่าๆ ก่อนจะพักเบรคชีวิตพักนึงละย้ายไปอยู่ Nimbl3 ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะมาจบที่ 20Scoops CNX ช่วงปลายปีที่แล้ว นั่นเอง

ก่อนมา 20Scoops CNX

ก่อนจะเล่าถึง 20Scoops CNX ผมขอย้อนกลับไปเล่าชีวิตที่ Nextzy และ Nimbl3 ก่อนละกัน

เริ่มที่ Nextzy Technologies ช่วงเวลา 2 ปีกว่าๆ เป็นช่วงที่ผมก้าวกระโดดเลยก็ว่าได้ ผมเริ่มต้นตำแหน่ง MEAN Stack Developer ที่นี่ ได้ลองเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ทำสิ่งใหม่ๆ มากมาย มีอิสระในการค้นคว้า เรียนรู้ อยากเรียน อยากศึกษาอะไร ก็ทำได้เลย

ซึ่งผมก็เคยเขียนบทความไปแล้ว ตอนที่ยังทำงานอยู่ที่ Nextzy ใครอยากอ่านเพิ่มเติม คลิ๊กด้านล่างเลย

ต่อมาคือ Nimbl3 ที่นี่ผมอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศมาทำงานใน Environment แบบฝรั่ง ซึ่งสิ่งแรกที่คิดเลยคืออยากพัฒนาความสามารถภาษาอังกฤษของตัวเอง รวมถึงอยากลองทำ Rails และ Frontend แบบจริงๆจังดูบ้าง หลังจากได้ลองแค่พวก Side Project หยิบย่อยเท่านั้น ที่นี่ต้องบอกเลยว่า Process การทำงาน และ Workflow เป็นอะไรที่ผมชอบมาก Project Management, Testing, CI/CD มีการ Code Review การทำงานทุกอย่างเป๊ะมาก ซึ่งบอกเลยว่าเวลาสั้นๆที่นี่ ผมได้เรียนรู้อะไรใหม่เพียบเลย ได้เจอคนเก่งๆ มากมาย ทั้ง Carlos, Olivier, Julien, Öncel, Abhinav, An, Trung, Ross และอีกหลายๆคน (เยอะมาก)

อยากรู้ว่าที่ Nimbl3 เค้าทำงานกันยังไง ก็ลองกดสมัครดูครับ

เชื่อว่าหลายๆท่านต้องมีคำถามกลับมาหาผมแน่นอนว่า ก็เห็นว่าทั้ง Nextzy และ Nimbl3 ก็ดูดี ทุกอย่างดูจะ Happy ไปหมด ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศการทำงาน เพื่อนร่วมงาน ตลอดจนการทำงานต่างๆ แล้ว ทำไมถึงออกละ?

ออกเพราะเงินแน่ๆ? เคยมีบางคนบอกกับผมว่า สุดท้ายก็ออกเพราะเงินนั่นแหละ ซึ่งบอกตรงๆเลยว่า ไม่ว่าจะ Nextzy, Nimbl3 หรือ 20Scoops CNX แทบไม่ต่างกัน (หลัก1k-2k) เลย รวมๆหักค่าใช้จ่ายแล้ว 20Scoops CNX ได้น้อยสุดเลยด้วยซ้ำ ถ้ารวมค่าเครื่องบิน :) ซึ่งประเด็นนี้ไม่ใช่แน่ๆ ถ้าผมออกเพราะเงิน ผมควรไปที่นี่ให้เงินเยอะกว่าถูกมั้ย? ซึ่งมีหลายๆที่ด้วยแหละ (อยากจะบอกว่าเงินซื้อผมไม่ได้หรอก ถ้าไม่มากพอ ฮ่าๆ อันนี้พูดเล่น)

จริงๆแล้ว สิ่งที่ผมตัดสินใจออก อาจจะมีมาจากหลายๆสาเหตุด้วยกัน ซึ่งให้ผมตอบก็ตอบตามตรงว่า ผมก็ Happy มากๆกับที่ Nextzy หรือ Nimbl3 นะ แต่ว่า… ส่วนตัวแล้วผมก็ยังมีความฝันและเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่อยากจะทำมันอยู่ คือ

  • ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองสบายเกินไปแล้ว ซึ่งตัวผมเองนั้นจริงๆแล้วเป็นคนที่ไม่อยากหยุดนิ่งอยู่กับที่ หรือใช้เวลาไปกับอะไรที่มันไม่เกิดประโยชน์ซักเท่าไหร่ หากเมื่อไหร่ที่หยุดนิ่ง นั้นเท่ากับว่าเราไม่ได้พัฒนาตัวเองเลย
  • ผมเริ่มอยากแบ่งเวลาให้ดีๆ ซึ่งเมื่อก่อนผมมักจะทำงานดึกๆดื่นๆ บางทีก็ตี 2 ตี 3 และอีกอย่างผมจะแบ่งเวลาระหว่างงานประจำ และงาน Side Project ออกจากกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งนั้นหมายความว่า เวลางานคืองาน เวลาเลิกงาน คือเวลาของผมเอง
  • ผมเบื่อชีวิตความวุ่นวายที่กรุงเทพ อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวครับ ผมแค่ไม่ชอบชีวิตที่ต้องตื่นมาทำงาน ขึ้น BTS แบบแออัด เสียเวลาไป 1–2ชม.ต่อวันกับการเดินทาง วันไหนเดินทางสบายก็โอเค วันไหนรถติด คนแน่น ฝนตก มันทำให้ Emotion ในการทำงานลดไปอย่างมาก
  • ผมเริ่มอยากกลับมาเตะบอลจริงๆจังๆอีกครั้ง ซึ่งอยากจะบอกว่าช่วงเวลาสองปีมานี้ น้ำหนักผมพุ่งไป 10กว่ากิโล 😂 และแน่นอน มันเกิดจากพฤติกรรมการกินของตัวเองทั้งนั้น รวมถึงผมอยากจะกลับไปเตะฟุตบอลเหมือนเดิม ช่วงนี้ก็พยายามวิ่งๆ ซ้อมๆ ให้ร่างกายกลับมาอยู่ ในกรุงเทพหาที่เตะบอลยากมาก ส่วนใหญ่ก็สนามเช่า ซึ่งถ้าเป็นต่างจังหวัด หาที่เตะฟรีๆ หญ้าจริงๆ เพียบ 💪
อดีตเด็กเก็บบอล
  • อยากลองเปลี่ยนการใช้ชีวิต ซึ่งเชียงใหม่ เป็นเมืองที่ผมไม่เคยมาอยู่เลย (เคยมาเท่ียว 2–3ครั้ง) ก็เลยอยากลองเปลี่ยนมาใช้ชีวิตในที่ๆเราไม่เคยมาอยู่อาศัยว่าสามารถอยู่ได้หรือไม่ ซึ่งแน่นอนก็แลกมากลับไกลบ้าน และก็เหงาๆนิดๆ 😂
  • ผมเริ่มมีความฝัน ว่าอยากทำอะไรซักอย่างหนึ่งเป็นของตัวเองขึ้นมา และเป็นความฝันถ้าหากไม่เริ่มทำมันตั้งแต่ตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าผมจะได้เริ่มทำเมื่อไหร่ ซึ่งแน่นอนตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร แต่ซักวันหนึ่งเมื่อทุกอย่าง Complete แล้วก็จะได้เห็นมันแน่นอนครับ
  • ผมรู้สึกว่าตัวเองเครียดและซึมเศร้า และข้อสุดท้าย อาจจะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ผมเริ่มรู้สึกอยากเปลี่ยน อยากทำอะไรใหม่ๆ ด้วยมั้ง ซึ่งช่วงหลังๆมันทำให้ผมไม่สามารถโฟกัสงานอะไรได้เลย บางทีก็นั่งคิด เบื่อๆไม่อยากทำอะไร ไม่มีเป้าหมาย บอกเลยว่าความรู้สึกช่วงนั้นมันเปราะบางมากๆ ไม่อยากให้ใครรู้ คุยกับใครก็ระแวงกลัวเค้าหาว่าเราอ่อนแอจัง คิดแต่ด้านลบเยอะมากๆ ก็ได้แต่ปรึกษาน้องที่เค้าบอกว่าเคยเป็น เข้าใจความรู้สึก หรือบางคนที่เค้าเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น ก็เลยพยายามหาอะไรทำให้มันรู้สึกคลายเครียด หรือกิจกรรมอะไรก็ตามที่มันช่วยให้ดีขึ้นได้ ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองไม่เครียดหรือซึมเศร้าแล้วนะ แต่ก็ไม่สามารถยืนยัน 100% เหมือนกันแฮะ เอาเป็นว่า สามารถพูด บอกเล่า เรื่องราว ช่วงชีวิต ได้แบบไม่กลัว ไม่อาย ได้แล้วแหละ แถมพอจะรู้ด้วยว่าคนที่มีปัญหาซึมเศร้า เราจะคุยกับเค้าและเข้าใจเค้าได้ยังไง แล้วเดี๋ยววันหลังจะมาเล่าหรือเขียนถึงประสบการณ์เรื่องนี้กันดีกว่า ว่าทำยังไงและผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง เรื่องนี้แทบไม่เคยบอกใครเลยนะ :)

และนี่แหละคือสาเหตุหลักๆที่ออกและย้ายมาที่ 20Scoops CNX ซึ่งแน่นอนผมไม่สามารถบอกได้หรอกว่าผมจะอยู่ทำงานที่นี่นานแค่ไหน มันเป็นเรื่องของอนาคต แค่วันนี้ผมจะมาเล่าถึงชีวิตการทำงานตลอด 4 เดือนที่ 20Scoops CNX ที่ผ่านมา นั่นเอง เนื่องจากว่า 4เดือนที่ผมเข้ามา ผมจะใช้ประเมินตัวเองว่า 4เดือนที่ผ่านมา เราพอใจตัวเองแค่ไหน ตั้งเป้าหมายว่าจะทำอะไร แล้วทำได้มั้ย (อันนี้ส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับบริษัทประเมิน) ฉะนั้นก็เลยเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้เขียนบอกเล่าเรื่องราวพอดี พร้อมทบทวนตัวเองไปในตัวด้วยเลย ทั้งหมดนี้ผมเขียนจากที่ผมคิดเลยนะ อะไรดีผมก็บอกดี อะไรไม่ดีผมก็บอกไม่ดี ไม่มีเสแสร้ง สร้างภาพใดๆทั้งสิ้น

ชีวิตการทำงาน

ก่อนที่ผมจะได้เข้ามาทำที่นี่ ผมได้เจอกับปอนด์ และได้พูดคุยกันเกี่ยวกับ 20Scoops CNX และอยากให้ผมมาร่วมงานด้วย รวมถึงก่อนจะตัดสินใจสุดท้ายว่าจะมาหรือไม่มา ก็ได้คุยกับพี่อะตอม ถึงเป้าหมายของ 20Scoops CNX วิธีการทำงาน Worklife ต่างๆ รวมถึง Benefit ที่ทีมจะได้รับ และก็มีบางเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวที่อยากได้ เช่น พวก Remote, Work form home หรือวันลากลับบ้านบ้าง อะไรเทือกนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอนาคต และทิศทางข้างหน้าว่าจะทำได้หรือไม่ด้วย แต่จริงๆก็คุยไปแล้ว และก็เป็นส่วนนึงที่ตัดสินใจมาที่นี่

วันแรกที่มาทำงานที่ 20Scoops CNX คือ 1 พฤศจิกายน 2017 ซึ่งตำแหน่งที่ผมเข้ามารับหน้าที่คือ Backend Developer รวมถึงช่วยวางโครงสร้าง หรือนำ Tools และ Process ต่างๆมาประยุกต์ใช้ในทีม ซึ่งแน่นอน ก่อนที่จะมาที่นี่ เราได้คุยกันก่อนแล้วว่า ที่นี่มีอะไรบ้าง และที่นี่ยังขาดอะไร และมีอะไรที่อยากปรับปรุง นั่นแหละเป็นที่มาที่ผมอยากเข้ามาช่วยในเติมเต็มในสิ่งที่ขาดนั่นเอง

ภาพบรรยากาศส่วนนึงตอนไปเยอรมัน

การเข้างานของที่นี่ จะมี 2 ช่วงเวลา คือ

  • เข้างานเช้า 9.00 ถึง 18.00 ซึ่งเป็นเวลาปกติในการทำงาน มีพักกลางวันให้
  • เข้างานช่วงบ่าย 13.00 ถึง 23.00 อันนี้จะมีเวลาให้พักช่วง 17.00–19.00 ให้มากหน่อย

และทั้งสองช่วงที่เข้างาน จะต้องมาทำ Daily Sync กันทุกวันตอน 13.30 นะครับ บอกเล่าว่าวันนี้ทำหรือจะทำอะไร เมื่อวานทำอะไร และมีปัญหาอะไรหรือเปล่า รวมถึงมีการพูดคุย อัพเดทอะไรต่างๆกันตรงนี้เลย

ส่วนการทำงานปกติ ทุกๆวัน ที่นี่ Process การทำงานของเรา ต้องบอกเลยว่ายังไม่ดี ฉะนั้นช่วงเวลาที่ผมเข้ามา จึงเป็นช่วงลองผิด ลองถูก ได้ลองทำ Process ต่างๆ เพื่อให้มันพัฒนาไปในทางที่ดี ซึ่ง หนึ่งใน Process ที่เรานำมาปรับใช้ ลองใช้กันดูคือ

A-DAPT : เป็นการหยิบ User Story ลงมาวาดเป็นภาพรวม Flow การทำงาน ตั้งแต่ฝั่ง Business ไล่ลงไปจนถึงส่วนที่เป็น Logic, Database แต่ละส่วนมีการติดต่อกันแบบไหน รวมถึงวาง Task แตก Task และประเมินเวลากันตรงนี้เลย

Sprint Retrospective : ที่นี่มีการทำ Retrospective ทุกๆการจบ Sprint ของโปรเจ็ค แน่นอน เป็น Retrospective ที่ดี เนื่องจากทุกๆคนกล้าพูด Feedback สิ่งที่อยากปรับปรุง มีอะไรไม่ดี อยากแก้ไข เป็นช่วงเวลาที่เราจะไม่มาแบ่งแยกว่า เฮ้ย Junior ห้าม comment Senior นะ ที่นี่ไม่เป็นแบบนั้น ทุกๆคนมีโอกาสผิดพลาดกันทุกคน การได้รับ feedback ก็คือการนำเอาข้อผิดพลาดของตัวเองมาปรับปรุงแก้ไข ให้มันดีขึ้นใน Sprint ต่อๆไปนั่นเอง

Knowledge Management : เป็น Session เล็กๆ ที่แต่ละคนจะผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันมาให้ความรู้กัน ซึ่งไม่จำกัดว่าจะเป็นเรื่อง IT Tech ได้ทุกเรื่อง

Slack : แน่นอน Tools ที่เอาไว้สื่อสารกันในทีมคงหนีไม่พ้น Slack นั่นแหละ และจะมีบางครั้งที่ต้องติดต่อกับทีมที่เยอรมัน ก็จะติดต่อกันผ่าน Skype กัน

Github : ที่นี่ใช้ Github เป็นหลัก เนื่องจากก่อนผมเข้ามาใช้ Gitlab ถึงแม้จะฟรี แต่ก็มีข้อเสียหลายๆด้าน เลยเลือกมาจบที่ Github แม้จะเสียตัง แต่ว่าในทีม Happy และชอบกันมากกว่า

Meeting บ่อยมาก : อันนี้จะว่าเป็นข้อดีก็ดี จะว่าเป็นข้อเสียก็ใช่ แต่ส่วนตัวผมมองว่า Meeting เพื่อพูดคุยกันโอเค และไม่ควรจะถี่หรือใช้เวลานาน แต่มันก็มีอีกมุมมองนึงของผมเองเพราะส่วนตัวผมไม่ชอบการประชุมเท่าไหร่ คือ ทำไมเราใช้เวลา Meeting พูดคุยกันบ่อย เพราะ เราไม่เข้าใจ Flow ของระบบ ? Requirement เปลี่ยน? หรือเพราะ Documentation / Code ต่างๆของเรา ไม่สามารถทำให้ Developers สื่อสารกันได้? ข้อนี้ผมก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน บางทีมหรือหลายๆที่ที่ผมเคยสัมผัสมา เค้าประชุมกันน้อยมาก ทำไม Code Quality เค้าไม่ลดนะ 🤔

Process และ Tools ต่างๆ : ช่วงที่มาอยู่ทีมก็ยังคงพยายามหา Process และ Tools ที่ตอบโจทย์กับทีมเราว่าจะใช้ตัวไหนดี ทำให้ตอนนี้ส่วนตัวมองแล้วว่ามันยังกระจัดกระจาย ไม่ว่าจะเป็น Jira, Taiga, Pivotal Tracker, Trello, ClickUp ยังหา Tools หลัก หรือตอบโจทย์ที่ดีที่สุดไม่เจอ รวมถึง Process & Work flow ของเราด้วย อาจจะเป็นช่วงที่ลองผิดลองถูก ปรับปรุง ประยุกต์ใช้ ก็เจอทั้งข้อดีข้อเสีย แต่อย่างน้อยเมื่อเรารู้ข้อเสีย แล้วเราพัฒนาขึ้นจากสิ่งที่ผิดพลาด นั่นแหละที่สำคัญกว่า

รู้สึกสับสน : อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว พบว่าหลายๆงาน หรือหลายๆ Sprint มันมีความคลุมเคลือหรือไม่ชัดเจนในหลายๆปัจจัย ทำให้เวลา Dev หรือว่าทำงานอะไรอยู่ บางครั้งมันรู้สึกว่า เอ.. เราจะทำแค่ไหน หรือเป้าหมายของเราแค่ไหนกันนะ หรือว่า ทำอันนี้จบแล้วจะทำอะไรต่อ? หรือ Feature นี้จบจะทำ Feature ต่อ แต่ไม่ทำแล้ว อะไรเทือกนี้ อันนี้ก็อธิบายยากแฮะ แต่อารมณ์มันก็แนวๆนี้แหละ

มุมมองหรือ Priority ต่างกัน : พบว่ามุมมองของ Developer และมุมมองของ End User นั้นต่างกันมาก อย่างเช่น การตีความว่า Feature นั้นๆ จะเสร็จ บางทีในมุมมอง Developer เรามองแค่ว่า Function มันใช้งานได้แล้วนะ ส่วนอื่นๆ ก็จะทำในลักษณะเดียวกัน ดีไซน์หรืออะไรยังไม่ 100% นะ จะค่อยๆปรับ แต่ทาง End User ไม่ได้มองยังงั้น หรืออย่างการเรียง Priority ระหว่าง Developer กับ End User ก็ต่างกันอีก

ได้ใช้ประสบการณ์ตัวเองให้เป็นประโยชน์ : ข้อนี้คือข้อที่ผมอยากทำมากที่สุด ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แต่ก็คิดว่าพอจะมีประสบการณ์หรือ Skills บางอย่างที่น่าจะช่วยผลักดันในทีมได้บ้าง หรือแม้แต่การแนะนำ Tools, Library หรือแนวคิดหลายๆอย่างเข้ามาปรับใช้ เพื่อให้ทีมพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น

+1! Level Up

ทีมยังพัฒนาได้อีก : พบว่าน้องๆหลายๆคนในทีม มี Skills ที่ดีเลยทีเดียว ช่วงก่อนที่จะเข้ามาที่นี่ ผมได้รู้มาว่าในปีที่ผ่านมาทีมเรายังทำได้ไม่ดี (ถ้าเอาจริงๆแบบไม่เข้าข้างเลย ก็คือว่าค่อนข้างน่าผิดหลังเลยแหละ) ตอนแรกก็เลยประเมินว่า เพราะทีมเรา Skill ยังไม่แข็งแรงหรือเปล่า จริงๆก็ใช่บางส่วน แต่รวมๆแล้ว ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ดี แต่เค้ายังขาดบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน หรือว่าอาจจะยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองก็ไม่รู้ งานของผมคือทำยังไงก็ได้ให้คนเหล่านั้นปลุกพลังแฝงในตัวเองขึ้นมา ✌

ผมชอบดูการเติบโต : ข้อนี้อาจจะคล้ายๆข้อบน ไม่รู้เป็นอะไรผมมักจะชื่นชอบทีม หรือบริษัทเล็กๆ หรือบริษัทที่ไม่ค่อยมีอะไร ได้ดูการพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกระดับ แม้ว่าจะเป็นบริษัทเล็กๆ แต่ถ้าเค้ารู้ตัวแล้วว่าตัวเองยังขาดอะไร และอยากจะแก้ปัญหาเหล่านั้นยังไง ผมคิดว่ามันก็เป็น Mindset นึงที่ผมชื่นชอบนะ ผมรู้สึกมีความสุข เวลาได้เห็น ทีมจากทีมเล็กๆ พัฒนาขึ้นมา เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง หรือทำบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา มันดู Cool กว่าแฮะ 🦄

เริ่มอยากฝึกภาษาเยอรมัน : จริงๆสืบเนื่องมาจากตอนที่ผมได้ไปเยอรมัน ผมรู้สึกว่าเวลาเราสื่อสารกันมันลำบากแฮะ อยากจะสื่อสารบางอย่างให้ทีมที่นู้นเข้าใจกันมากขึ้น หลังกลับมาไทย ก็เลยอยากลองๆหัดเยอรมันดู เพราะคิดว่าอย่างน้อยเราทำบริษัทที่มีบริษัทแม่อยู่เยอรมัน ก็ควรจะเรียนรู้ภาษาเยอรมันด้วยซิ แต่ก็ไม่ได้จริงๆจังๆเท่าไหร่ เรียนไปได้แค่ Basic แล้วก็มีติดงานนู้นนี่นั่น ยุ่งๆบ้าง กะว่าหลังจากนี้จะเริ่มเรียนจริงๆจังๆซะทีแล้ว 🇩🇪

บินไป Hamburg, Germany

หลังจากมาทำงานที่ 20Scoops CNX ได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ดี ก็ได้เวลาเดินทางไป Hamburg, Germany ซึ่งเป้าหมายที่ให้ผมไปด้วย คือ อย่างแรกเลยจะไปคุยตัวโปรเจ็คใหม่ที่กำลังจะทำ และสองคืออยากให้ผมไปรู้จักกับพี่อ้วน ซึ่งเป็นหัวหน้าและคอยดูแล 20Scoops ที่ Hamburg รวมถึงนายทุนที่ลงทุนให้กับเรานั่นเอง

เป็นครั้งแรกที่ได้ไปยุโรปเลยด้วย ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ไป เพราะส่วนใหญ่ที่คิดว่าจะบินไปต่างประเทศ ก็แค่โซนแถวๆนี้แหละอย่างมากก็ญี่ปุ่น เกาหลี ช่วงชีวิตที่อยู่ที่ Hamburg เป็นเวลา 20วัน จริงๆก็เหมือนมาทำงานนั่นแหละ แค่เปลี่ยนที่ทำงานเฉยๆ จะมีเวลาได้เที่ยวบ้างก็วัน เสาร์ อาทิตย์

บรรยากาศบางส่วนที่ Hamburg
  • การคมนาคม : ที่นี่การเดินทางด้วยรถไฟ ค่อนข้างสะดวกสบายเลย ไม่ต้องมีสอดบัตรเหมือน BTS บ้านเรา ซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถไฟได้เลย ไม่มีคนตรวจตั๋วด้วย (มีสุ่มตรวจบ้างบางที) ซึ่งแน่นอนทุกคนมีระเบียบวินัย ต้องซื้อตั๋วก่อนขึ้น แม้ว่าจะไม่มีการตรวจ แต่คิดว่าคงเอามาใช้ที่ไทย น่าจะลำบาก 😂
  • อาหารการกิน : ทุกๆเช้า ได้กินขนมปัง พร้อมด้วยพวกท็อปปิ้ง ที่ใส่เอง ไม่ว่าจะเป็น เนื้อ เนย หรือพวกของหวานก็ แยม Nutella ต่างๆ ก็ผสมๆปนๆกันไป อร่อยไปอีกแบบ บางคนอาจจะคิดถึงข้าว แต่ส่วนตัวผมกินได้หมด 😂 รวมถึงตลอดวัน ก็เดินไปหยิบพวกไส้กรอก ในตู้เย็นมากินได้ตลอดเวลา กินจนเบื่อไส้กรอกกันไปเลย
  • Sparking Water : มาที่นี่ผมติดใจอยู่อย่างนึงคือน้ำอัดลม (Sparking Water) ซึ่งเป็นน้ำธรรมดานี่แหละแต่อัดลม คล้ายๆกับโซดา กลับมาจากเยอรมัน อยากได้เครื่องแบบนี้ไปตั้งที่บ้านเลยแฮะ ซึ่งจริงๆไม่อยากกินน้ำอัดลมบ้านเราเพราะมีน้ำตาล ตอนหลังๆนี่ซื้อ Coke Zero, Pepsi Max ทุกวันเลย 😂

สำหรับชีวิตที่ Hamburg จริงๆว่าจะเขียนเป็นอีกบทความ แต่ว่าเห็นปอนด์ (น้องที่ไปด้วยกัน) เขียนไว้แล้ว ก็อ่านจากบล็อคของปอนด์เลยดีกว่า

Life Style

  • อาหารการกิน : ที่นี่ต้องบอกเลยว่า มีอาหารให้กินค่อนข้างเยอะมาก ตามซอย หรือว่าขับรถไปหลังมช. ก็มีอะไรให้เลือกกินเยอะดี (จริงๆก็เหมือนกับมหาวิทยาลัยทั่วๆไปแหละ บริเวณไหนมีนักศึกษาเยอะ ก็หาของกินง่าย)
  • อากาศดี : ช่วง 2–3เดือนแรก ตอนที่ยังเย็นๆอยู่ อากาศกำลังดี เย็นสบาย ไม่ร้อน เหนียวตัวแบบกรุงเทพ แต่ว่าช่วงเดือนนี้เริ่มมีฝุ่นควันเข้ามาละ แต่ส่วนตัวยังไม่มีผลกระทบหรือรู้สึกอะไร ปกติดีอยู่ :)
  • ชีวิตไม่ต้องเร่งรีบ : พบว่าการมาอยู่ที่นี่ ชีวิตไม่ต้องเร่งรีบอะไรเลย จะไปที่ไหน ก็ขับรถไปแปปเดียว ไปนู้นมานี่ สะดวกสบาย ไม่ต้องแย่งกัน ไม่ต้องรอ
  • ได้เตะบอลซักที : หนึ่งในเป้าหมายที่ผมมาเชียงใหม่ ก็คือ ได้มีโอกาสได้เตะบอลมากขึ้น และก็แน่นอนได้เตะมากกว่าอยู่กรุงเทพแน่นอน แต่ก็ยังไม่มากพออย่างที่ผมคิดไว้ ซึ่งมันเป็นช่วงที่งานค่อนข้างเยอะด้วย ทำให้บางอาทิตย์ก็ไม่ได้เตะ
บรรยากาศการจับฉลากงานปีใหม่ที่ 20Scoops CNX

Traveloka & AirAsia มีประโยชน์มาก

ต้องบอกเลยว่า ช่วงเวลาที่มาอยู่เชียงใหม่ ผมเดินทางบ่อยมากๆ เรียกได้ว่า อาทิตย์เว้นอาทิตย์เลยทีเดียว หรือบางเดือน 3–4 ครั้งก็มี ตัวเบาเลยทีเดียว แถมเดือนที่ผ่านมา ตกเครื่องเพราะลืม Check-in กับตื่นสาย ไป 2 ครั้งแล้ว) 😂

ซึ่งผมบินไปกลับ เชียงใหม่ กรุงเทพ อย่างน้อยๆ ก็เดือนละครั้งแนะ ไม่กลับชลบุรี ก็ไปกรุงเทพ หรือโคราช 😂 ซึ่งแอพที่จำเป็นมากๆ ของผมเลยคือ Traveloka และ AirAsia เนื่องจากใช้จองและใช้ Check-in ผมใช้วิธีการเปรียบเทียบกันสองเว็บ เพราะส่วนใหญ่ 80% ผมบินผ่าน AirAsia มีบางครั้งเป็น Bangkok Air หรือ Thai Smile กรณีที่ต้องการบินไปลงสุวรรณภูมิ แต่โดยส่วนใหญ่ก็จะบินไปดอนเมืองแหละ

เป้าหมายต่อไป

ต่อไปนี้คือแนวคิดและเป้าหมายที่ผมอยากผลักดันให้เกินใน 20Scoops CNX รวมถึงบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่คิดและพูดคุยบ้างบางส่วนแล้วหรือบางเรื่องก็กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้แน่นอน (อย่ารอช้า มาจอยกันเถอะ) :

  • เปิดโอกาสให้มีการ Work form home หรือที่ไหนก็ได้ ถ้ามีเหตุจำเป็น (1–2ครั้งต่อเดือน) เพราะส่วนตัวยังเชื่อเสมอว่า เราทำงานที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ตลอดเวลา มีบางช่วงเวลาที่เราต้องสื่อสารกันในทีม และบางช่วงเวลาที่เราจะต้องใช้เวลาส่วนตัวเพื่อโฟกัสงานที่ทำ
  • Hackathon เดือนละครั้ง : อยากให้มีจัด Hackathon เดือนละครั้งทุกๆศุกร์สิ้นเดือน จะมีสลับระหว่าง Hackathon เพื่อทำ MVP Product ขึ้นมาซักชิ้น กับอีก Session คือการประยุกต์ใช้ Technologies ใหม่ๆ หรืออยากเรียนรู้อะไรใหม่ ก็มา Hack กันเลย
  • ยกระดับทีม : ผมเชื่ออยู่เสมอว่าในงาน Software Development ผมว่าทีมสำคัญที่สุด การมีทีมที่ดีย่อมทำให้งานออกมาดี และผมก็คิดว่าผมไม่สามารถทำงานอะไรให้ดีได้ด้วยตัวคนเดียวหรอก ฉะนั้นหาทีมขึ้นมา สร้างทีมที่มี Mindset คล้ายๆกัน ร่วมทีมกัน นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอยากจะทำ
  • Open Source / Side Project: อยากให้ทุกๆคน มีส่วนร่วมในการพัฒนา Open Source ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว Open Source มองว่ามันคืองานอดิเรกมากกว่า เราใช้เวลาว่างจากงาน มาเขียนโค๊ดเล่นๆ มาทำอะไรเล่นๆ สนุกๆ หรือแม้แต่จะทำ Side Project เล็กๆขึ้นมาเองก็ได้ อาจทำเล่น หรือว่าทำเวลางานก็ได้
  • Share Knowledge : เป็นอีกข้อนึงที่ส่วนตัวอยากทำ และแน่นอนก็คิดว่าบริษัทหรือคนในทีมหลายๆคนอยากทำด้วย นั่นก็คือการแบ่งปัน แชร์ความรู้ ประสบการณ์แก่คนอื่น (อาจจะไม่ใช่เฉพาะ IT เสมอไป) ซึ่งส่วนนี้ผมมองว่า อยากจะสอนและลงไปในส่วนของสถานศึกษา โรงเรียน หรือแม้แต่ที่ๆห่างไกลชุมชน ที่เค้าไม่ค่อยมีโอกาสในการเรียนรู้เท่าไหร่ เป็นการเปิดโอกาสการเรียนรู้ให้เค้าเหล่านั้นด้วย

ถ้าถามผมว่าตอนนี้ผมยัง Happy อยู่มั้ย ตอบเลยว่า Happy ในเรื่องของบริษัท แต่ในเรื่องของตัวเองยังรู้สึกว่ามีอีกหลายๆเรื่องที่ตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอ และก็คิดว่าจะพยายามปรับปรุงและพัฒนาตัวเองต่อไป พร้อมๆกับทีมด้วย

สุดท้ายแล้ว ตอนนี้ 20Scoops CNX กำลังรับสมัครเพื่อนร่วมทีม ผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นไง รู้แค่ว่าตอนนี้ผมทำมันเต็มที่ 100% และพร้อมผลักดัน และเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าหนทางข้างหน้ามันจะเป็นอย่างไร ใครที่พร้อมเดินไปด้วยกัน อย่ารอช้า กดสมัครมาได้เลย รออยู่นะ 😂

--

--