การทำ Project Prioritization แบบโฟกัสทีม

Puttasak Tantisuttivet
2Bearstalk
Published in
Feb 9, 2023

น่าจะเป็นงานประจำของเมเนเจอร์ที่ต้องตัดสินใจว่างานไหนจะทำ งานไหนจะไม่ทำ งานไหนจะทำแต่ไว้ก่อน หรืองานไหนทำแต่ให้คนอื่นทำ

ปกติเรามักจะใช้ framework 2 อันหลักๆ ในการตัดสินใจ
1. สำคัญ-เร่งด่วน
งานไหนสำคัญและเร่งด่วน ให้รีบทำ
งานไหนสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน ให้วางแผน
งานไหนไม่สำคัญแต่เร่งด่วน ให้มอบหมาย
งานไหนไม่สำคัญไม่เร่งด่วน ให้เลิกทำ

2. impact-effort
หรือบางคนอาจจะใช้ ROE (Return on effort) แต่ความหมายเหมือนกันคือ
งานไหนที่ High Impact — Low effort ก็ถือว่าน่าทำ
งานไหนที่ High impact — High effort ต้องทำและให้หาทางปรับปรุงเพื่อลด effort
งานไหนที่ Low impact — Low effort ส่วนใหญ่เป็นงาน Routine ก็วางระบบระเบียบให้มัน
งานไหนที่ Low impact — High effort ให้ถามว่าทำไมต้องทำมัน ทำแล้วคุ้มไหม

แต่มีอีกอันที่สามารถทำได้ โดยนอกจากจะวัดจากค่าตอบแทน (ซึ่งอาจจะมองตัวเงินเป็นหลัก) ก็อาจจะวัดจากผลตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงินได้เพิ่มเติม โดยถือว่าเป็นอิมแพ็คทั้งคู่

3. Functional — Emotional impact
Functional ก็ผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอัน ได้ผลตอบแทนเป็นตัวเงินหรือกำไร
Emotional อาจจะได้ผลตอบแทนเป็นความสนุก ความสุข หรือการเติบโต

- งานไหนที่ทำแล้ว High ทั้ง Functional และ Emotional — โคตรน่าทำ

- งานไหนที่ทำแล้ว High Functional แต่ Low Emotional — รู้นะว่ากำไร แต่งานโคตรกินพลังชีวิตเลย ให้พยายามทำความเข้าใจถึงความจำเป็นหรือชดเชยด้านอารมณ์ด้วยวิธีการอื่น

- งานไหนที่ทำแล้วที่ Low Functional แต่ High Emotional ก็ถือว่าน่าทำให้ทีมมี vibe ที่ดีและเติบโต แต่ก็จัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ให้มากเกินไป จน financial ไม่ได้เลย

- งานไหนที่ทำแล้ว Low ทั้ง Functional และ Emotional ก็ถือว่าไม่รู้จะทำไปทำไม ถ้ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ซึ่งก็เจอว่ามีคนใช้สิ่คล้ายกันนี้แต่เรียกว่า Energy — impact matrix คืองานนี้มันกินพลังชีวิตแค่ไหน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับ effort แม้จะใกล้เคียงกัน แต่ก็คอนเซ็ปต์คือการบาลานซ์ระหว่างพลังงานชีวิตที่ทุ่มลงไปกับสิ่งที่ได้รับกลับมา

ถ้าใช้ 1–2–3 ประกอบไปด้วยกันก็น่าจะทำให้เราทำการ Prioritize โปรเจ็คต์หรือ task ในชีวิตได้อย่างรอบด้านมากขึ้นครับ

--

--