รีวิว DJI Spark EP.1 แกะกล่องเตรียมบิน
DJI SPARK คือเจ้าโดรนจิ๋วรุ่นล่าสุดของค่าย DJI ที่สร้างความฮือฮาให้วงการโดรนทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ ด้วยความสามารถในการสั่งงานจากระบบ Palm Control / Face Recognizing อันสุดเจ๋งที่เรียกเสียง “ว้าว” จากแฟนๆได้อย่างล้นหลาม
ความพิเศษของ DJI Spark ที่ดูจะโดดเด่นมากๆจริงๆ คือ ความเล็กและความง่าย ของมันนั่นเอง และด้วยความที่ DJI บรรจงจัดวาง เจ้า Spark ไว้ในตำแหน่งของ “โดรนส่วนตัวสำหรับถ่ายภาพเซลฟี่” ซึ่งไม่ทับไลน์รุ่นพี่อย่าง DJI Mavic Pro และยังไม่มีคู่แข่งในระดับนี้ที่พอจะเป็นคู่ต่อสู้ได้เลย ทำให้ DJI Spark เป็นที่สนใจของ นักเดินทางสายเซลฟี่ เป็นอย่างมาก
ผมได้เล่นเจ้า DJI Spark เป็นเวลาเกือบๆ 1 อาทิตย์ พยายามลองเล่นในโหมดต่างๆจนครบ ต้องอธิบายก่อนว่าโดรนที่ผมใช้งานปกติจะเป็น DJI Mavic Pro และใช้ในงานถ่ายภาพและวิดีโอส่ง Micro Stock เป็นหลักไม่ใช่ช่างภาพรับงานถ่ายทางอากาศ มุมมองการรีวิวจากผมจะใช้การเปรียบเทียบจากการใช้งานของผมนะครับ
แกะกล่อง
DJI Spark กล่องนี้ที่ผมได้มาใช้จะเป็นชุดเล็ก(ชุดใหญ่คือ Fly more bundle)
ภายในกล่องขาวจะมีเคสโฟมสีดำขนาดถือสะดวกที่เราสามารถใช้เป็นเคสใส่โดรนออกไปเที่ยวได้เลย ส่วนกล่องยาวๆด้านซ้ายจะมีสายไฟ,Adaptor และคู่มือ
ภายในชุดนี้จะมี
- ตัวลำ
- สายชาร์ต / Adaptor
- ใบพัด 1 คู่
- คู่มือ
เปิดเคสโฟมออกมาก็จะเจอเจ้า Spark นอนนิ่งอยู่ ภายในกล่องจะมีหลุมพอดีตัวโดรน และช่องใส่แบตสำรอง ลองปิดแล้วเขย่าจะไม่มีการขยับเลย เรียกว่ากันกระแทกแน่นหนาจริงๆ
มาดูรายละเอียดตัวลำกัน
ด้านบนมีกระดองซึ่งน่าจะถอดเปลี่ยนสีได้ สองข้างซ้ายขวาจะมีช่องสำหรับระบบระบายความร้อน
พลิกกลับมาดูใต้ท้องบ้าง จะมี Sensors อินฟราเรทสองชุดสำหรับวัดระยะ และกล้องหนึ่งตัวสำหรับ image processing ข้อมูลพวกนี้จะใช้ในระบบ VPS (ระบบรักษาตำแหน่งกรณีที่ไม่มี GPS) จะสังเกตว่ารุ่นเล็กนี้จะใช้ อินฟราเรท ในการวัดระยะแทนระบบ Ultrasonic ใน Mavic/Phantom ส่วนแผ่นทองแดงสี่จุดตรงแบต ใช้สำหรับเครื่องชาร์ตแบบ Dock
มาดูด้านหน้ากันบ้าง ส่วนบนจะมี Sensors อินฟราเรทสำหรับวัดระยะจากด้านหน้าสำหรับระบบ VPS อีกหนึ่งจุด และที่ผมชอบก็คือการวางตำแหน่ง Gimbal ที่ดูแน่นหนากว่าทุกรุ่น แต่ต้องแลกมาด้วยระบบกันสั่นที่ด้อยกว่ารุ่นใหญ่
ด้านหลังตัวเครื่อง ส่วนบนจะเป็นพอร์ต micro usb และช่องเสียบ microSD และเล่นเดียวกับรุ่นใหญ่ ปุ่มเปิดปิดและไฟ status จะอยู่กับแบตครับ
ส่วนตัวแล้วที่ประทับใจอีกอย่างหนึ่งคือ เนื้อผิวสัมผัสของวัสดุเป็นแบบพลาสติกสากๆ ที่ให้ความรู้สึกแข็งแรงและไม่ดูป๊อกแป๊ก
ที่ใต้ของมอเตอร์ทั้งสี่ตัวจะมีไฟสัญญาณ สำหรับบอกสถานะการทำงานของตัวโดรน ดวงไฟแต่ละดวงจะสามารถแสดงผลได้ 3 สี ซึ่งตำแหน่งและสีที่ไฟติดก็จะแปลความหมายได้ต่างๆกันไป
เช่น ในโหมด Plam Control ถ้าไฟขาหน้าสองดวง
- แดง คือ จับหน้าและมือไม่ได้
- เหลือง คือ จับได้แล้วกำลังจัดตำแหน่ง
- เขียว คือ พร้อมรับคำสั่ง ขยับมือได้เลย
เรามาลองเปรียบเทียบขนาดกับ Mavic กันดู
เมื่อเทียบกับ Mavic ตอนพับแล้วดูไล่ๆกัน แต่เรื่องน้ำหนักต่างกันมาก
- DJI Spark น้ำหนักพร้อมบิน 300 กรัม
- DJI Mavic น้ำหนักพร้อมบิน 700 กรัม
จะเห็นได้ว่า Spark เบากว่ามาก ซึ่งจะทำให้ง่ายในการพกมากๆครับ มันได้อารมณ์เหมือนพกกล้องคอมแพ็คเล็กๆสักหนึ่งตัวไปทริป
สเป็ค (ข้อมูลจาก DJI)
- สามารถบินได้นาน 16 นาที
- บินได้ไกล 2 กิโลเมตร โดยรีโมท และ 300 เมตร โดยใช้ smartphone (ระยะ wifi)
- ความเร็วสูงสุด 50km/h ในโหมด Sport (ใช้รีโมทเท่านั้น)
- ระยะทำการของ Sensors ในระบบ VPS 30 เมตร (กล้องเล็กและอินฟราเรทเริ่มรับค่าระยะจากสิ่งกีดขวางได้)
- Gimbal 2 แกน ถ่ายภาพนิ่ง 12MP ถ่ายวิดีโอ 1080p 30fps(fullHD)
- มีระบบ Plam control / Lauch / Landing ทำให้ใช้งานได้โดยไม่ต้องบังคับผ่านมือถือเลย
- มีท่าการบินสำเร็จรูป Quick shot (Dronie/Circle/Helix/Rocket) ซึ่งแจ่มมาก*
- เพิ่มโหมดถ่ายภาพ Shallow Focus และ Panorama เข้ามา (แต่เอา HDR ออก)
- ใช้งานร่วมกับ DJI Goggle ได้
ตัวเลขค่าต่างๆในสเป็คเป็นค่าที่ DJI เค้าเทสมา ซึ่งการใช้งานจริงๆ แล้วอาจจะไม่เป็นไปตามนั้น ซึ่งผมจะเขียนรีวิวอย่างละเอียดในหัวข้อ Field Test ในตอนถัดไปครับ
ตอนนี้ในตลาดมาหลายร้านที่นำ DJI Spark เข้ามาขาย ซึ่งราคาจะอยู่ที่ 20,000 บาท สำหรับชุดเล็กนี้(ตัวลำ + แบต 1 ก้อน) และ 28,000 บาท สำหรับชุด Fly more (ลำ + รีโมท + กระเป๋า + แบตสองก้อน + แท่นชาร์ต )
แนะนำร้านนี้เลยครับ เจ้าเก่าเจ้าเดิมของเรา ร้าน DJI Bangkok เป็น Authorized Reseller ประกันศูนย์ งานเซอร์วิสระดับคุณภาพ ส่งเร็ว ส่งด่วน ติดต่อคุณตูนได้เลย