เที่ยว บินโดรนถ่ายภูเขาไฟโบรโม่ & คาวาอีเจี้ยน อินโดนิเซีย
มีโอกาสได้ไปทริปเที่ยวอินโดนิเซียแบบคลาสสิค ภูเขาไฟโบรโม่ — อีเจี้ยน มาเมื่อต้นเดือน กันยา ที่ผ่านมาครับ ทริปนี้เป็นแบบซื้อทัวร์เต็มทริป แบบมารับและมาส่งที่สนามบินเลย
พอดีมีกลุ่มเพื่อนที่สนใจไปเลยแจมไปกับเค้าด้วย ทริปนี้เราเดินทางกัน 5 คน
รายละเอียดในทัวร์แพลนที่ไกด์ส่งมาก็จะเป็นแบบนี้เลย
Here is the details for your reff, as follows :
Day(1)Aug 25th
09.35am Pickup you from airport
Drive to Madakaripura waterfall
13.30pm Arrive waterfall
16.00pm Leave waterfall
Drive to Bromo
Try “arroi sate for Dinner on the way to Bromo” ( pay yourself )
18.00pm arrive bromo
Chek in Cemara Indah / Bromo permai1 Hotel
A rest
Day(2)Aug 26th
03.00am Transfer jeep to Bromo tour 5 locations ( sunrise from penanjaan1, kingkong hill view, bromo creater, whispering sands, savanna )
10.00am Back to Hotel
Breakfast
11.00am Chek out
Drive to Blawan waterfall, ijen
16.30pm Arrive Blawan
17.30pm Leave blawan
Chek in Catimor Homestay
A rest
Day(3)Aug 27th
01.00am Chek out
Drive to Paltuding, ijen
02.00am Leave Paltuding, ijen
Ijen tour for bluefire, ijen creater, ijen sunrise
08.00am Leave Ijen
Drive to Surabaya
16.00pm Arrive Surabaya
chek in Krowi Inn Surabaya
A rest
Day(4)Aug 28th
Drop you to airport
Finish tour
And the cost will be 2,000,000 IDR per people
ค่าใช้จ่ายทั้งทริป
- ค่าทัวร์ 5,000 บาท
- ค่าตั๋ว 5,100 บาท (scoot BKK->SG,SG->SUB,SUB->SG,SG->BKK)
- ค่ากิน 3,000 บาท (เหลือ)
เจอกันสุวรรณภูมิหกโมงเช็คอินแจกตังค์ทานข้าวกันให้เรียบร้อย คืนนี้เราจะต้องบินไปลงสิงคโปร์ หาที่นอนในสนามบิน รอไฟล์ทเช้าต่อไป สุราบายา
ถึงสิงคโปร์แล้วเดินหาที่นอนกันแถวๆ Terminal 1 ได้เลย มีปลั๊กมี wifi พร้อมมากๆ แต่ว่าช่วงดึกๆ จะมีจนท. สนามบิน พร้อมตำรวจและอาวุธครบมือมาเดินตรวจ boarding pass ถ้าใครไม่มีไฟล์ทเช้า เค้าจะให้ออกตม. ไปนอนข้างนอก ซึ่งตำรวจที่มาด้วยน่ากลัวสัส ใส่ชุดเกราะ ปืนกล ปืนพก หมวกแทคติเคิ้ล พร้อมมากๆ
ตื่นเช้ามาล้างหน้าล้างตา แวะทานข้าวที่ฟูทคอร์ทกันก่อน ระบบที่นี่ดีมากๆ มีตู้สั่งอาหารและจ่ายตังค์อยู่สองสามตู้ กดเลือกและจ่ายตังค์เสร็จก็จะมีคิวบอกว่าไปรับได้ที่ Stall ไหน และตอนนี้ถึงคิวไหนแล้ว ข้าวมันไก่อร่อยมาก
เราใช้เวลาบินจากสนามบินชางกีถึงสุราบายาประมาณ 1 ชั่วโมง แลนดิ้งปุ๊ปก็หา wifi ติดต่อไกด์ทันที สรุปว่าเค้ามารอตรง arrival แล้วเพราะไฟล์ทเราเลทหน่อยๆ
รถของเราในทริปนี้เป็นรถ mpv ขนาดเล็ก 5 ที่นั่ง พอดีคน นั่งกันสบายๆไม่เบียด มีรีวิวว่าถ้ามาเกิน 5 คน จะได้นั่งเป็นมินิบัสใหญ่กว่านี้ ซึ่งราคาจะเพิ่มไปด้วย
ถนนในเมืองสุราบายาค่อนข้างแคบและรถติด เช้าวันนี้เราต้องเดินทางไปที่พักที่ โบรโม่ ระยะทาง 127 km google บอกว่าใช้เวลา 3 ชม
ประมาณเที่ยงเราก็แวะทานอาหารอินโดมื้อแรก ตอนแรกนึกว่าจะได้เข้าร้านอาหารแนวๆสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีดีลกับไกด์ แต่เปล่าเลย ทุกร้านที่แวะเป็นร้านอร่อยโลคอลจริงๆ ที่ชาวเมืองมากินกันปกติ
มื้อแรกเป็น ข้าวต้ม ไก่ฉีก และมีเส้นขนมจีนมาด้วย รสชาดจืดๆ พอทานได้
ตามแพลนแล้ว เรามีแวะน้ำตก Madakaripura waterfall ที่อยู่บริเวณก่อนถึงโบรโม่ก่อนเข้าที่พัก เราถึงน้ำตกตอนประมาณ สี่โมงเย็น
ซึ่งการเดินทางเข้าไปยังน้ำตกจะต้อง จอดรถไว้ที่ศูนย์บริการ และต่อมอไซค์รับจ้างไป 2 กม. และเดินเท้าไปอีก 1 กม. ก่อนขึ้นมอไซค์แนะนำให้ซื้อซองกันน้ำและเสื้อกันฝนให้เรียบร้อยเลย
จากจุดนี้เราต้องเดินต่อไปกันอีก 1 กม. จึงจะถึงตัวน้ำตก ส่วนค่าเข้าและค่าไกด์ มอไซค์ รวมในค่าทัวร์เรียบร้อยแล้ว
ใกล้ถึงแล้วไกด์ก็จะบอกให้เราใส่เสื้อกันฝนไว้เลย เพราะเปียกแน่ๆ
น้ำตกจะมี 5 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีการปีนป่ายและเปียกปอนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าแต่ละชั้นก็จะสวยมากขึ้นเรื่อยๆด้วย
ปีนป่ายกันมาได้สักครึ่งชม. เรามาถึงน้ำตกชั้น ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายที่สวยที่สุด น้ำไหลลงมาจากขอบรูปครึ่งวงกลม พร้อมแสงยามบ่าย ที่ผนังมีมอสขึ้นไล่ความเขียวสดชื่นไปทั่ว เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดที่ผมเคยเห็นจริงๆ
ความประทับใจอีกอย่างหนึ่งนอกจากความสวยของธรรมชาติก็คือ ไกด์เราสามารถช่วยถ่ายภาพจากมือถือเราได้ดีมาก การกดถ่ายถ่ายพาโนรามาจาก S8 ไม่ใช่อะไรที่คนจับเครื่องครั้งแรกสามารถทำได้ง่ายๆ !
ขากลับเราก็มาขึ้นมอไซค์ที่จอดรอและบึ่งกลับมาที่รถ ตอนแรกมีแอบกลัวเรื่องของที่เอาไว้ที่รถจะโดนขโมยหรือเปล่า แต่แค่ระแวงไปเอง ทุกคนเฟรนด์ลี่และน่ารักมาก
เราคุ้นเคยกับการเสนอขายของตามสถานที่ท่องเที่ยวในไทย ที่จะมีการโขกราคาอัพราคาฟันนักท่องเที่ยวกัน ที่นี่ไม่มีแบบนั้นเลย มีคนมาเสนอขายเยอะก็จริง แต่ราคาไม่แพง ต่อรองได้ ผมได้หมวกไหมพรมโบรโม่ราคา 50 บาท ผ้าพันคอ 25 บาท (โลโก้สวยไม่ลิเก) และไฟฉายคาดหัว 250 บาท ซึ่งราคานี้ไม่มีทางหาได้ในไทยหรือที่อื่นที่เคยไปเที่ยวมา
ออกจากน้ำตกเราก็มุ่งหน้าไปโรงแรม ระหว่างทางแวะทาน สะเต๊ะ โดยที่นี่จะมี สะเต๊ะไก่ และ สะเต๊ะแกะ อร่อยมาก ส่วนราคาก็ถูกมากเช่นกัน สะเต๊ะ กินกัน 5 คนแบบอิ่มๆ ทั้งหมดแค่ 400 บาทเท่านั้น!
ที่พักคืนนี้ โรงแรม Cemara Indah โรงแรมริมผาสุดฮิตที่เห็นวิวโบรโม่ได้จากโรงแรมเลย แต่คืนนี้เรามามืดแล้ว เลยยังไม่เห็นวิว
พรุ่งนี้เช้าเรามีนัดกับไกด์ตอนตีสาม สลับเป็นรถจี๊ปและเดินทางไปยังโบรโม่กัน!
เวลาตีสาม ก็มีรถจี๊ปพร้อมคนขับก็มารอเราที่หน้าที่พักเลย พร้อมแล้วก็โดดขึ้นรถออกเดินทางกันเลย คนขับจะเป็นอีกคนนึง ไม่ใช่ไกด์ และที่แรกที่เราจะไปก็คือ ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ Kingkong Hill
Kingkong Hill คือจุดชมภูเขาไฟโบรโม่สุดฮิต ลักษณะจะเป็นจุกชมวิวบนเขาที่สามารถมองไปยังหมู่บ้านและปากปล่องภูเขาไปโบรโม่ได้สวยที่สุด ความสูงอยู่ในระดับเดียวกับปากปล่องเลย ภาพสวยๆของโบรโม่ในอินเตอร์เน็ตจะถ่ายจากบนนี้เกือบทั้งหมด เส้นทางระหว่างทางจะเป็นถนนขึ้นภูเขาสูง คนขับจะจอดแอบริมถนนเพื่อให้เดินต่อไปที่จุดชมวิวหรือถ้านนท.เยอะและจอดไกล ก็ต่อมอไซค์ได้
เรามาถึงตอนตีสี่ ฟ้ายังมืด ดาวสวย ลมแรงและหนาวมาก ระหว่างทางมีคนมาขายหมวก ผ้าพันคอ ซื้อซะให้เรียบร้อย และขึ้นไปจับจองมุมสวยๆกันเลย ไฮไลท์ของจุดนี้คือ พระอาทิตย์จะค่อยๆขึ้นจากด้านซ้าย แสงอาทิตย์จะค่อยๆฉายมาแตะกับตัวภูเขาไฟเป็นสีชมพู ถ้าโชคดีจะมีทะเลหมอกไหลจากหมู่บ้านไปยังทะเลทราย ผมแนะนำว่าให้อยู่ที่นี่จนฟ้าสว่าง เพราะมันมีความสวยทุกช่วงเวลาจริงๆ
เมื่อเราเดินลงมา ก็พบกับ รถจี๊ปหลากสี เท่ห์มาก นี่ไล่ถ่ายกับทุกคันเลย และเพิ่งมาเห็นว่าคันของเราสีเหลือง ที่ต่อไปที่เราจะไปคือ ส่วนของทะเลทรายบริเวณโบรโม่ที่เรียกว่า Savanna
พี่คนขับรู้งานมากๆ หามุมปลอดคนและขับรถมาจอดบนเนินแบบเท่ๆ ตั้งใจให้เราได้ถ่ายรูปกับรถได้สวยๆ
จัดแจงควักเจ้าหลามน้อย DJI Mavic ออกมาบินเพื่อเก็บภาพเพื่อนมุมสูง แต่ด้วยความที่ไม่อยาก Take off บนฝุ่น เลยขึ้นจากหน้ากระโปรงรถ แต่ด้วยความลาดเอียง จังหวะยกตัวเลยทำให้เครื่องสไลด์จะตกพื้น ด้วยความไว ผมเอื้อมมือไปคว้าไว้ได้ทัน แต่ว่า ใบพัดบาดเข้าที่มือขวา ผลคือเลือดสาด ได้แผลแต่ดีใจที่โดรนไม่ไม่เป็นไร
การบินโดรนที่นี่ง่ายมากเพราะลมไม่แรง สัญญาณ GPS แรง ฟ้าสวย แต่ต้องระวังตอน Landing หน่อยเพราะฝุ่นค่อนข้างเยอะ ผมใช้วิธีจับกลางอากาศเอาเพราะไม่อยากให้โดนฝุ่น
และที่ต่อไปของเราก็คือ ปากปล่องโบรโม่ การเดินทางจะเป็นขับไปจอดและขี่ม้าขึ้นไปยังปากปล่องระยะทาง 3 km จากนั้นขึ้นบันใดต่อไปยังปากปล่อง
เป็นการขี่ม้าครั้งแรกในชีวิต น้องม้าก็ตัวเล็กจัง ขี่ไปถึงตีนเขาเลยขอเดินเองดีกว่า สงสารน้อง T__T
เดินมาจนถึงข้างบนกหามุมเอาโดรนขึ้นเก็บ footages ส่ง stock ดีกว่า ตัดสินใจไม่เดินไปขึ้นขอบปล่อง เพราะคนต่อคิวกันเยอะ และกลัวบนนั้นไม่มีที่ยืน เดี๋ยวใช้โดรนบินไปดูในปล่องกันดีกว่า แบตเหลือก้อนครึ่ง ลุย!!
จัดไปชุดใหญ่
ต่อไปเป็น Whispering Sands ทะเลทรายสีเทากว้างใหญ่ที่เราจะแค่ลงถ่ายรูปเท่ๆกับรถอีกเช่นเดิม
และก็จบทริปย่อยโบรโม่เพียงเท่านี้ เรากลับไปที่โรงแรม อาบนี้ล้างฝุ่น และเก็บของเช็คเอ้าท์เดินทางไปยัง คาวา อีเจี๊ยน กันต่อไป
ก่อนออกเดินทาง เอาโดรนขึ้นล้างแบตอีกครั้ง เพิ่งเห็นว่าที่พักเราวิวดีมากๆ สามารถทานข้าวเช้ากับวิวโบรโม่ได้เลย สวยจริงๆ
ออกเดินทาง!
การเดินทางยังอีกยาวไกล ช่วงบ่ายเราต้องนั่งรถต่อไปอีกประมาณ 5 ชม. ที่ช้าเพราะตลอดทางไม่สามารถทำความเร็วได้เลย ต้องขับ 60–80 km/h ตลอดเพราะสภาพถนนและสภาพการจราจร
ระหว่างทางมีแวะทานข้าวร้าน local อีกแล้ว ร้านนี้คล้ายๆร้านข้าวราดแกง อร่อยและมีให้เลือกเยอะดี
และแล้วเวลาประมาณทุ่มนึงเราก็มาถึงที่พัก ทานข้าวกันเรียบร้อย คืนนี้เราจะนอนพักกันสามสี่ชั่วโมงเท่านั้น และจะเช็คเอ้าท์กันตีหนึ่งเลยเพื่อไปเดินขึ้น คาวาอีเจี๊ยน
คาวาอีเจี๊ยน เป็นภูเขาสูง 2,799m ด้านบนยังเป็นปากปล่องที่ยังมีชีวิตอยู่ มีทะเลสาปสีเทอร์ควอยส์ที่เป็นกรด และเหมืองกำมะถันที่ยังใช้งานได้อยู่
เราต้องเดินขึ้นทางชันประมาณ 3 km เพื่อไปถึงปากปล่อง และเดินลงไปยังปากปล่องเพื่อดู Blue Fire อีก 800m
การลงไปในปากปล่องต้องใช้หน้ากากกันก๊าซจริงจัง(ผ้าคาดปากเอาไม่อยู่) ซึ่งไกด์เรามีให้ทุกคน และแนะนำใช้ไฟฉายคาดหัวเพราะเราจะเหลือมือไว้ปีนแบบพริ้วมากขึ้น
ทางเดินขึ้นชันมาก เลยพยายามเดินก้าวสั้นๆเพื่อลดโอกาสในการบาดเจ็บ เพราะขาลงถ้าเจ็บท่าจะแย่ ระหว่างทางก็มืดมาก มองไม่เห็นวิวใดๆ แต่คนเดินกันเยอะไม่ต้องกลัวครับ ระหว่างทางก็มีคนงานเหมืองแบกแท่งกำมะถันลงมาเป็นระยะๆ
และแล้วก็ลงมาถึงในปากปล่อง Blue Fire อยู่ข้างหน้านี้เอง ด้านล่างนี้จะมีควันกำมะถันหนาแน่นเป็นระยะ การจะถ่าย Blue Fire ต้องใช้จังหวะและอุปกรณ์ที่เหมาะสมจริงๆ ซึ่งเราก็ถ่ายได้มาแค่นี้
ฟ้าเริ่มสว่างเราก็เดินกลับขึ้นมายังขอบปล่อง มองกลับลงไปแล้วก็อยากให้พระอาทิตย์ขึ้นเร็วๆ เพราะมันสวยมาก
ระหว่างทางที่เดินขึ้นเราก็แวะถ่ายภาพกันเป็นระยะเพื่อจะรอแสงเช้า มองกลับลงไปก็เสียดายที่ไม่ได้ลงไปริมทะเลสาปเพราะควันมันเยอะจริง
ขึ้นมาได้ระยะนึงก็เอาเจ้า Mavic ออกมาเพื่อเตรียมบินเก็บภาพ แอบกลัวเพราะลมแรงและขึ้นในปล่องหินด้วย ถ้าตกขึ้นมานี่ต้องมีปีนกู้กันแน่นอน
แต่เนื่องจากภายในปล่องลมแรงและมาจากหลายทิศมากๆ จึงพยายามบินให้สูงขึ้นเพื่อให้พ้นขอบปล่องไป แต่เมื่อขึ้นไปแล้วพบว่า ลมแรงกว่าเดิม จนเครื่องเตือนว่า Motor Reach Max Speed ซึ่งหมายความว่าระบบ Stabilizer และความเร็วของเครื่องอาจจะผิดปกติได้เพราะลมแรงจนเครื่องจะเอาไม่อยู่ จึงรีบเอาลงเพื่อความปลอดภัย จุดนี้อยากอัพมาก ซีรี่ inspire น่าจะเอาอยู่ แต่คงไม่ได้เรื่องพกพาเท่า Mavic
และเราก็เริ่มเดินกลับกัน ระหว่างทางเพิ่งเห็นว่าวิวสวยงามมาก เพราะขามามันมืดจนไม่เห็นอะไรเลย
เดินลงกันได้แล้ว!
ระหว่างทางแวะร้านขายของกินน้ำกินชากันก่อน ค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย
และแล้วเราก็เดินลงมาถึงด้านล่าง จุดนี้มีให้ทิปไกด์ไปด้วยเพราะดูแลดี และที่ต่อไปที่เราจะไปก็คือ น้ำตก Blawan ซึ่งอยู่ใกล้ๆ
น้ำตก Blawan เล็กกว่า Madakaripura ในวันแรก และเดินใกล้กว่า แต่แรงมากๆ เราเข้าไปถ่ายรูปสิบนาทีแล้วก็กลับ
วันนี้เรายังต้องนั่งรถไปนอนที่ Surabaya ระยะทางกว่า 300 km google บอกว่าใช้เวลากว่า 7 ชม กันเลยทีเดียว
หลังจากที่นั่งรถกันยาวๆ เราก็มาถึง Surabaya กันประมาณ 5 โมงเย็น ไกด์หาโรงแรมไม่เจอ ขับวนอยู่สักพัก เราเลยช่วยเปิดแผนที่นำทางให้จนเจอ
คืนนี้เรานอนที่ Sunshine Family Homestay เข้าเช็คอินเรียบร้อย สภาพห้องดีมากๆๆๆๆ
อาบน้ำแต่งตัวนอนงีบและออกเดินทางไปหาอะไรกิน ไกด์เราพามาร้าน local อีกแล้ว ร้านนี้ใหญ่และคนกินกันเยอะ เป็นอาหารพื้นเมืองที่ขายเป็นชุด มีไก่ย่าง ปลาย่าง เห็ดทอด น้ำพริก ข้าว และน้ำส้มละลายน้ำ(บ้าชิบหายเมืองนี้)
รสชาดอาหารที่นี่จะไม่เผ็ด เน้นหวานๆ กินกับซอสหวาน และใช้มือกินเป็นส่วนใหญ่
กินมื้อเย็นกันอิ่มแล้ว เราก็เดินไปหาของหวานกัน เจอร้านโรตี เลยสั่งไปสาม สรุปว่าโรตีเค้ามันไม่เหมือนเราเลย ออกแนวขนมถังแตก ซึ่งใหญ่มาก กินกันไม่หมดจริงๆ
ได้เวลาก็เดินทางกลับที่พักอันแสนสบายของเรา เล่นไพ่และรีบนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องบินกลับไฟล์ทเช้า
เช้าวันสุดท้ายในอินโดนีเซียของเรา จนท โรงแรมมาเคาะประตูแต่เช้าเพื่อเสิร์ฟข้าวเช้า เมื่อคืนเป็นคืนแรกในทัวร์ที่ได้นอนเต็มคืน เพราะสองคืนที่ผ่านมาเราออกตี 3 และ ออกตี 1 การได้นอนเต็มคืนเป็นอะไรที่มีความสุขสุดๆ
โชคดีที่ที่พักเราอยู่ใกล้สนามบิน ไกด์พาเรามาส่งตรงเวลา จัดแจงถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับไกด์ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรามาเป็นเวลาสามวัน ไกด์คนนี้อาจจะพูดอังกฤษได้ไม่มากแต่น่ารัก พยายามช่วยเราหลายอย่าง ขับพาไปแอบซื้อเบียร์ยามวิกาล(เค้าห้ามขาย) พาแวะร้านอาหารอร่อยๆ
ขากลับเราบินกลับเส้นทางเดิม คือ SUB -> SIN และ SIN -> BKK แต่รอบนี้เราจะแวะ Transit ที่สิงคโปร์แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น
และเราก็มาถึงสุวรรณภูมิประมาณ 4 โมงเย็น ผมไม่ได้โหลดกระเป๋าเลยขอแยกตัวกลับก่อนเพราะคนมารับเริ่มหัวร้อนหน่อยๆ หวังว่า charles & keith ที่ซื้อมาฝากจะลดความวีนลงได้
Tips
- ทริปนี้คุ้มมาก ด้วยเงินประมาณหมื่นนิดๆ กับความสวยและบริการของทัวร์ คือคุ้มมากๆ น้ำตกก็ว้าวมากแล้ว โบรโม่สวยด้วยตาสดๆไม่ต้องแต่งภาพเลย ส่วนอีเจี๊ยนก็โครตเอ็กตรีม ถ้าไหวกับการนั่งรถยาวๆ และเดินสักครึ่งภูกระดึง แนะนำให้มาเป็นอย่างยิ่ง
- กล้องที่พกไปในทริปนี้จะมีแค่ Gopro ,iphone5s และ DJI Mavic
- การบินโดรนในอินโดนิเซียนั้นง่ายมาก อาจจะเพราะว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ถามไกด์และจนทแล้วก็สามารถขึ้นได้ไม่มีปัญหา แต่ระวังอย่าให้ไปลงหัวใครก็เท่านั้น
- หลังจากกลับมาและส่ง footage ไปขายใน shutter stock พบว่า footage คีย์ bromo ยังน้อยอยู่มาก นั่นคือโอกาสการขายยังมากอยู่เช่นกัน(สาธุ) เรากดมาจนเม็มเต็มเลย
- เส้นทางการบินยิดฮิตอีกสายจะเป็นของ Airasia ซึ่งจะไปแวะ transit ที่ KL แทน ส่วนเรื่องของราคา ใช้ skyscaner เทียบได้เลย แต่แนะนำว่าให้มาถึง SUB ช่วงเช้า วันนั้นจะได้เที่ยวต่อไปเลยครับ
- มีทัวร์แบบไปบาหลีด้วย เส้นทางจะเป็น Bromo Ijen และข้ามเรือไป Bali น่าสนใจมากถ้ามีเวลา
- โกโปรเปลี่ยนแบตแล้วเริ่มนับ createdate ใหม่ บ้าบอชิบหาย ไฟล์เรียงวันสลับกันไปหมด
- iphone5s ใช้บังคับโดรนไม่โอเคเลย บินๆไปขึ้นเตือนว่า mobile device cpu fully loaded แถมจอสู้แสงไม่ค่อยได้แล้ว
- อาหารอินโดพอกินได้ยกเว้นไอ้ข้าวต้มไก่วันแรกซึ่งจืดมาก
- ค่ากิน ข้าวของเครื่องใช้ที่อินโด ถูกมาก ในสถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่มีชาร์ตนักท่องเที่ยว ไม่เหมือนตอนไปลาวที่โดนชาร์ตตลอดทาง เราสามารถพกตังค์นอกเหนือจากค่าทัวร์แค่ 2000 ได้เหลือๆเลย
- Travel Sim ของ Truemove มาที่นี่ roaming ไป INDOSAT ซึ่งแถวโบรโม่อีเจี๊ยนไม่มีสัญญาณเลย เสียดายตังค์มากๆ แนะนำบอกไกด์ให้พาไปซื้อซิมใน สุราบายา ก่อนออกเดินทางดีกว่า ราคา 170 บาท ใช้ยาวๆ
- ช่วงพีคของทัวร์นี้คือเดือนตุลาคม