เป็นคนที่ถูกบริษัทเลือก หรือจะเป็นคนเลือกบริษัท
คนส่วนใหญ่มักสมัครงานแล้วรอให้บริษัทเลือกเข้าไปทำ ก็จะมีทั้งคนที่ได้บริษัทที่ถูกใจและไม่ถูกใจ แต่ถ้าเราเป็นคนเลือกบริษัทเองละ โอกาสที่จะถูกใจย่อมมีมากกว่า
หลายคนเบื่อวันจันทร์ ดีใจเมื่อถึงวันศุกร์ แต่เราไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นเลย ไม่เคยเบื่อที่จะต้องตื่นเช้าไปทำงาน ไม่ได้รู้สึกอะไรเมื่อกำลังจะถึงวันหยุด เพราะเราเป็นคนเลือกเอง เลือกในสิ่งที่เราอยากจะทำ เราไม่ได้รู้สึกว่ามันคืองาน เหมือนแค่เราไปเล่นมากกว่า สนุกทุกวัน สนุกทุกครั้งที่ได้ทำ
ถ้าใครยังหาสิ่งที่ตัวเองชอบทำไม่ได้ ก็สู้ๆเข้านะ ขอให้เจอว่าอะไรที่ทำไปได้อีก 50 ปี แก่แล้วทำก็ยังไม่เบื่อ
จงหาสถานที่สำหรับเข้าไปใช้ชีวิต
ไม่ใช่แค่ไปทำงาน ไม่ใช่แค่ไปหาเงิน
ถ้าอยากเป็นคนที่สามารถเลือกบริษัทได้ ก็ต้องพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่าและความสามารถเป็นที่ต้องการของตลาด การทำแค่งานเสร็จอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ต้องทำให้ดี ทำให้รู้จริง หาวิธีทำให้ดีกว่าเดิมที่เป็นอยู่ พัฒนาตลอดเวลา
ถ้าเก่งมากพอ ใครก็ต้องการ
การเลือกบริษัท
- งานที่ทำต้องได้ความรู้เพิ่มขึ้น
- ได้ทำงานร่วมกับคนเก่งๆ เราจะได้พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ
- เพื่อนร่วมงานและหัวหน้าที่ดี
- บรรยากาศการทำงานตรงกับที่เราชอบ
- วัฒนธรรมองค์กร
- การเมืองภายในบริษัท
- องค์กรที่มีเป้าหมายชัดเจน
- ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์และมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ได้ตามนั้น
- เวลาทำงาน ปริมาณงานที่เหมาะสม และผลตอบแทนที่คุ้มค่า
เราจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ถ้ารู้จักคนในบริษัทนั้น ก็ถามเอาเลย ถ้าอันไหนที่ยังไม่ได้คำตอบ ก็เตรียมคำถามไว้ถามตอนสัมภาษณ์
การสมัครงาน
เรซูเม่ (Resume)
เมื่อ HR หยิบเรซูเม่ของเราขึ้นมาดู (เคยอ่านมามีคนบอกว่า HR ใช้เวลาพิจารณาแค่ 5 วินาที ถ้าไม่โดนใจก็โยนทิ้ง) ลองกวาดตาไปใน Resume ของตัวเอง ภายใน 5 วินาที จะต้องสามารถรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง จุดเด่นใน Resume ต้องเป็นสิ่งที่ HR อยากรู้ ไม่ใช่เราอยากบอก ทำยังไงก็ได้ให้ HR ทราบถึงความสามารถของเราได้ทันทีแบบคร่าวๆ ภายใน 5 วินาที โดยที่ยังไม่ต้องเริ่มอ่าน แบบมองผ่านๆก็เห็น ถ้า 5 วินาที แล้วยังสามารถสะกด HR ไว้ได้หลังจากนั้นทั้งหมดจะเริ่มถูกอ่านจนครบเอง
- เริ่มที่รูปถ่าย ต้องเป็นทางการแต่ไม่ถึงกับต้องเป็นหน้าตรงติดบัตร ยิ้มได้ทำให้รู้สึกถึงความเป็นมิตร มุมที่ดีคือมุมเฉียง และอย่าแต่งเยอะตัวจริงต้องตรงปก
- การจัดวาง layout หัวข้อต้องโดดเด่นมองแล้วรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนในทันที ตัวหนังสือที่เป็นเนื้อหาไม่รก Font อ่านง่าย
- สี มีผลในทางจิตวิทยา สีที่เหมาะในการสมัครงานคือสีน้ำเงินเพราะทำให้ดูน่าเชื่อถือ แต่ถ้าทุกคนใช้สีน้ำเงินกันหมด ของเราก็จะถูกกลืนไปด้วย ทำให้ไม่เด่น ดังนั้นต้องเลือกเฉดสีดีๆ และไม่ควรใช้สีที่มองยาก อ่านยาก เช่น เหลืองอ่อน
- ภาษา ถ้าไม่ได้สมัครงานราชการควรใช้ภาษาอังกฤษ
- Profile บ่งบอกถึงตัวตน ความสามารถ สิ่งที่สนใจ งานอดิเรก ที่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัคร ถ้าไม่เกี่ยวก็ไม่ต้องใส่ เช่น My hobby is swimming. จะใส่เพื่อ? ถ้ามองในมุมบริษัทคือคนนี้จะชอบว่ายน้ำหรือไม่ชอบก็ไม่ได้มีผลต่องานเลย แต่สมมติสมัครงาน Designer แล้วใส่ My hobby is photography. อันนี้คือดี ใส่ไปแล้วช่วยแน่นอน
- Abilities อันนี้คิดขึ้นมาเอง คิดว่าไม่เคยมีใครใส่ ที่ใส่ไปเพราะเราทำอะไรมาหลายอย่าง เลยใส่ให้เห็นภาพว่าไม่ได้ทำได้แค่ด้าน Programming อย่างเดียว ใส่ให้รู้ว่าสามารถทำ Business ได้ด้วย อะไรก็ว่าไป แน่นอนว่าตอนสัมภาษณ์จะโดนถามแน่ “ไหนที่ว่า … ทำอะไรมามั่ง บลาๆ” Radar Graph ถ้าไม่เจ๋งจริงอย่าใส่ เพราะถ้าใส่ Max ทุกด้านโดนมองว่าไอ้นี่ fake แน่ ถ้าใส่บางด้านน้อยก็จะโดนถามว่าทำไมด้านนี้น้อย คิดเหตุผลในการตอบให้ได้ละ
- Contact ต้องชัดเจน สิ่งที่ต้องระวังคือชื่ออีเมล ใช้ชื่อจริงตัวเองปลอดภัยที่สุด ถ้าไม่ใช่ก็สมัครใหม่ซะไม่กี่นาทีเอง
- Education ไม่ต้องใส่เยอะ อนุบาล ประถม ไม่มีประโยชน์และรก ใส่แค่ ม.ปลาย ขึ้นไปพอ ใส่สายและคณะที่เรียน ได้เกียรตินิยมก็ใส่ไป (สำหรับน้องจบใหม่ไม่จำเป็นต้องใส่เกรดเลย เพราะต้องแนบ Transcript อยู่แล้ว อย่าใส่ไปให้ซ้ำซ้อนและรก)
- Work Experience ใส่ไปเลยแต่ไม่ต้องใส่เยอะมาก เอาเด็ดๆซัก 2–4 อัน กำลังดี (ขึ้นกับเนื้อที่กระดาษที่เหลือ) สิ่งที่ต้องอธิบายคือ เวลาที่ทำ ทำงานอะไร หน้าที่ที่เราได้ทำคือส่วนไหน ไปแข่งอะไรมาก็ใส่ไป ทำกิจกรรมอะไรเด่นๆมาก็ใส่ไป งานที่ใส่ยิ่งสอดคล้องกับตำแหน่งที่สมัครยิ่งดี
- Computer Skills จริงๆส่วนนี้คือความสามารถเฉพาะทางของเรา (Technical Skills) ใส่ level ด้วยก็ดี ถ้าเรียนสายอื่น เช่น บัญชีก็ใส่ไปว่าสามารถทำงบดุล งบการเงิน บลาๆ คือมันมีหัวข้อย่อยอยู่แล้วอะ
- Personal Skills ถ้าสมัครงานบริษัทต่างประเทศส่วนใหญ่จะใส่กันนะ (มันคือ Soft skills) ข้อระวังก็เหมือนกับ Radar Graph ถ้าใส่ Max หมด จะถูกมองว่าไอ้นี่ fake ใส่น้อยก็โดนมองไม่ดี ตัดสินใจเอาและใส่ตามจริง
- Social media และผลงาน ที่สามารถเข้าไปดูได้เพิ่มเติม
ทริก: search “resume design” เพื่อดูตัวอย่างเรซูเม่ที่น่าสนใจ ถ้าไม่ได้ทำงานสาย creative อย่าใส่กราฟฟิกและสีสันเยอะจนดูรก แบบ minimal ก็ทำให้สวยและน่าดึงดูดได้ แถมดูทางการ น่าเชื่อถือ และดูโปรอีกด้วย
เป็นตัวช่วยในการหางานที่ดีมาก โดยเฉพาะสายไอทีควรสมัครทิ้งไว้ ส่วนใหญ่จะมี Head Hunter และบริษัทต่างๆ ส่งมาชวนไปทำงานด้วยอยู่ตลอดเวลา อะไรที่มันขึ้นมาให้ใส่ข้อมูลก็ใส่ไปเลย จะทำให้อันดับเราอยู่บนๆ เวลาถูกค้นหา
การสัมภาษณ์
- ศึกษาบริษัทที่จะเข้าไปคุย ว่าที่นั่นทำธุรกิจอะไร
- หาจุดแข็ง จุดอ่อนและวิธีแก้ไขไปเสนอ
- หาว่าในตำแหน่งของเรา เราสามารถทำอะไรที่สามารถพัฒนาบริษัทได้
- แรงบันดาลใจ เหตุผลที่เลือกจะเข้าที่บริษัทนี้
- เตรียมคำตอบสำหรับคำถามสัมภาษณ์พื้นฐาน
- แนะนำตัวอย่างไรให้น่าสนใจ
- เตรียมคำถามที่อยากรู้เกี่ยวกับบริษัทนั้น
- วางบุคลิกให้ดีระหว่างการสัมภาษณ์
การเปลี่ยนงาน
- เปลี่ยนตอนที่เรากำลังสบายๆ เพราะเวลาไปคุยกับที่ใหม่เราก็จะไม่กดดัน ไม่ตื่นเต้น ความสามารถในการต่อรองก็มีมากขึ้นเพราะเราไม่ต้องกลัวว่าจะเสียอะไร ไม่ได้ก็ไม่เสียอะไร ถ้าเจอที่ที่ดีกว่าก็เป็นการสร้างทางเลือกและโอกาสให้ตัวเอง
- เปลี่ยนตอนที่คิดว่างานเดิมไม่ท้าทายแล้ว รู้สึกว่าทำต่อไปตัวเราก็ไม่พัฒนาขึ้น
- เปลี่ยนตอนที่รู้สึกว่าบริษัทนี้ไม่เห็นคุณค่าของเรา
ผลตอบแทน
- อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า ทำงานที่ไม่ได้รู้สึกเหมือนทำงาน ดังนั้นผลตอบแทนสำหรับเรา เราเอาไว้เป็นตัววัดความสามารถของตัวเองเฉยๆ ว่าเรามีความสามารถเท่าไรเมื่อเทียบกับคนที่ทำในสายอาชีพเดียวกัน
- เราสามารถประเมินความสามารถตัวเองคร่าวๆ โดยลองเปรียบเทียบสิ่งที่เราทำกับสิ่งที่คนอื่นทำ ดูว่าสิ่งที่เราทำอยู่ในระดับไหนแล้ว แล้วจึงตีราคาออกมา ก็จะได้ว่าเราควรได้เงินเดือนเท่าไร
- พอได้ตัวเลขเงินเดือนสำหรับบริษัทที่กำลังทำอยู่แล้ว ก็ไปเปรียบเทียบกับตลาดดูว่า ตัวเราและบริษัทที่กำลังทำอยู่มีความสามารถอยู่ที่ระดับไหนของตลาด ก็จะได้ตัวเลขที่ละเอียดมากขึ้น
- ถ้าบริษัทที่กำลังทำอยู่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าสิ่งที่เราทำมากเกินไป ก็อาจเริ่มมองหาโอกาสใหม่ๆให้ตัวเอง
- การเรียกผลตอบแทนจากบริษัทใหม่ ก็เรียกตามที่เราประเมินความสามารถของตัวเองเอาไว้ แล้วดูว่าบริษัทนั้นมีความสามารถในการจ่ายมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับตลาด ถ้าบริษัทนั้นสามารถจ่ายได้มากเราก็สามารถเรียกเพิ่มขึ้นได้อีก ทั้งนี้เราก็ต้องดูว่าสิ่งที่เราจะไปทำในบริษัทนั้น เราจะต้องทำอะไรบ้าง สิ่งที่เราจะทำที่นั่นสามารถแปลงออกมาเป็นตัวเงินที่ประมาณเท่าไร
- นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับอำนาจในการต่อรอง เช่น เราจำเป็นต้องเอาที่นั่นให้ได้หรือไม่ เราคิดว่าผลทดสอบและผลสัมภาษณ์ออกมาดีแค่ไหน บริษัทนั้นต้องการคนด่วนหรือไม่ ความสามารถของเราเมื่อเทียบกับที่นั่นอยู่ในระดับไหน รวมถึงมีที่อื่นสู้ราคาเพื่อแย่งชิงตัวเราอีกหรือไม่ ถ้าเข้าทางเราทุกอย่าง เราก็สามารถเรียกได้สูงขึ้น แต่ถ้าเราเสียเปรียบก็อาจต้องเรียกน้อยลง นอกจากนี้เวลาเปรียบเทียบควรนำโบนัสและสวัสดิการอื่นๆ มาคิดรวมด้วย
- ทั้งนี้เราต้องไม่ลืมว่าถ้าเราเรียกสูง บริษัทนั้นย่อมคาดหวังกับสิ่งที่เราจะทำสูง ถ้าเราทำไม่ได้ตามนั้น เราก็จะไม่ผ่านโปร แล้วก็…ลาก่อน
สำหรับยุคนี้ เด็ก Gen Z กำลังเริ่มเข้ามาทำงาน เด็กหลายคนนั้นมีฐานะทางบ้านดีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำงานก็สามารถอยู่ได้จนตาย หรือมีบริษัทของที่บ้านอยู่แล้ว การที่บริษัทจะได้เด็กเหล่านี้มาทำงานด้วย ก็ต้องมีแรงดึงดูดมากพอ ให้เขาเห็นว่าทีนี่น่าสนใจในหลายๆด้าน จนอยากเข้าไปร่วมใช้ชีวิตด้วย ไม่ใช่แค่ไปทำงาน
เพราะการทำงานไม่ใช่แค่การไปเป็นลูกจ้างรับเงินเดือน แต่คือการเป็นเพื่อน…กับบริษัทที่มีเป้าหมายเดียวกัน
“Be my partner”