Autobiography: อายุ 25 ปี กับความฝันวัยเด็ก

Art Thunder
4 min readJul 14, 2018

--

กว่าจะเป็นโปรแกรมเมอร์ในวันนี้

ณ จุดนี้ ชีวิตเราได้ทำงานที่ชอบ เพื่อนร่วมงานดี หัวหน้าดี รายได้ดี สุขภาพดี แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เราเตรียมพร้อมและพัฒนาตัวเองมานานแค่ไหน จะเล่าให้ฟัง

Biography

“โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร “

สมัยเด็กๆ หลายคนคงถูกถามด้วยคำถามนี้ เราเป็นหนึ่งคนที่รู้ตัวเองตั้งแต่สมัยอนุบาลว่าชอบทำอะไร สมัยนั้นชอบวาดรูป ก็ตอบไปว่าโตขึ้นอยากเป็นคนวาดรูป ประกอบกับการที่พ่อทำงานด้านตกแต่งภายใน เราก็คิดว่าโตขึ้นจะมาวาดรูปบ้าน ออกแบบบ้านเอง

ตอนอนุบาล 2 ตอนนั้นได้จับคอมครั้งแรก โปรแกรมอะไรไม่รู้คล้ายๆ Paint มันให้ลากสี่เหลี่ยม วงกลมมาเรียงๆ ก็ลากมาต่อเป็นหุ่นยนต์ปริ้นออกมาระบายสี

ตอนประถมก็ได้รู้จักกับคำว่า “วิศวกร” ด้วยอายุในตอนนั้นก็เข้าใจว่าวิศวกรทำเกี่ยวกับบ้าน สร้างบ้านขึ้นมา ก็คิดว่าอันนี้แหละ ใช่เลย โตขึ้นเราจะเป็นวิศวกร จะสร้างบ้านของตัวเอง (จนโตมาถึงรู้ว่าคนที่ออกแบบบ้านคือ สถาปนิก)

ตอนประถม 1 วิชาคอม คอมแต่ละโต๊ะจะมี 2 เครื่อง DOS กับ Windows แต่ครูให้ใช้ DOS สมัยนั้นก็เลยแบบ ทำไมคอมมันใช้ยากจัง จอดำๆต้องมานั่งท่องว่าพิมพ์คำสั่งนี้ถึงเข้าโปรแกรมได้ ไม่เห็นเหมือนคอมที่บ้าน(Windows) เอาเมาส์คลิกๆ ได้แล้วก็ได้เขียนโปรแกรมครั้งแรกคือ Logo เต่าสีม่วงๆ สั่งให้มันเดินไปเดินมา

Logo Screenshot

ตอนมัธยมต้น เป็นยุคที่เกมออนไลน์เริ่มเข้ามาในไทย ก็กลายเป็นเด็กติดเกมคนหนึ่ง และมีความฝันใหม่ว่าอยากสร้างเกมของตัวเอง นอกจากติดเกมแล้วก็ยังติดการ์ตูน อยากทำอนิเมชันของตัวเองไปอีก แต่ก็ยังคิดอยู่ในหัวนะว่าเรียนจบจะเป็นวิศวกรเหมือนเดิม ระหว่างนั้นก็ลงคอร์สทำกราฟฟิค ทำเกม สมัยนั้นเล่น Illustrator, MAYA, 3DMax, TheTab, RPG Maker แล้วก็สร้างเว็บเล่น

มีอยู่วันหนึ่งหันไปเห็นเพื่อนมันเล่น http://try2hack.siamdev.net แล้วรู้สึก เห้ย! เจ๋ง กลับไปเล่นมั่ง แล้วก็เข้าสู่ดาร์กโหมด เขียนไวรัส เขียนสคริปยิงสนุก ก็แบบโคตรมันส์ เลยอยากเทพขึ้นไปอีก เลยรู้ว่าถ้าเขียนโปรแกรมเป็นจะทำอะไรได้เยอะกว่าเดิม

(พึ่งมารู้ว่าคนสร้าง try2hack เป็นพี่ที่เรารู้จัก เพราะเว็บนี้ ทำให้เราเป็นโปรแกรมเมอร์เพิ่มขึ้นอีกคน)

ตอนมัธยมปลาย ก็ติดเกมน้อยลง บอกกลับตัวเองว่าต้องจริงจังละ ก็เรียนแบบให้เข้าใจเลย ไม่ได้แค่เอาสอบ แบบว่า กูจะเก็บความรู้ไปใช้ให้หมดทุกวิชา

แล้วก็ได้รู้มาว่าเขามีสอนโอลิมปิกคอมกัน เลยลองไปดูเผื่อจะเขียนโปรแกรมเป็น ไปถึงก็เจอจอฟ้าๆมีแต่ตัวหนังสือสีๆแสบตาของ Turbo C ก็ได้เริ่มเขียนโปรแกรมจริงจัง แล้วก็ไปลงคอร์ส Java เพิ่ม คือตอนนั้นก็งง Class/Object คืออะไรหว่า ตอนคนสอนอธิบายมีเทียบกับรถยนต์ด้วย เกี่ยวอะไรกับรถยนต์ ตอนจะรันทีก็ต้องพิมพ์คำสั่งใส่ terminal ตั้งหลายชุด งงไปหมด syntax ก็ยาวกว่า C แต่ก็ได้รู้จักเพิ่มอีกภาษา แล้วก็ได้ลองทำเว็บเล่นๆ กับเพื่อนใช้ Joomla

Turbo C Screenshot

ทีนี้ตอนจะเข้ามหาลัยก็รู้จักอาชีพต่างๆ มากขึ้นละ เลยลังเลขึ้นมาว่าเอายังไงดี ระหว่างสถาปัตยกรรม กับ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คือเป็นสองสายที่ต่างกันแบบคนละขั้ว แต่เราชอบทั้งคู่ ชอบทั้งวาดรูปออกแบบ ชอบทั้งคอม เราก็นึกว่าถ้าอายุ 50 ปี แล้วยังนั่งวาดรูป กับ นั่งอยู่หน้าคอม เราก็คิดว่าเราไม่เบื่อทั้งสองแบบ ตอนนั้นเลือกยากมาก แต่ก็นึกถึงโลกรอบๆ ตัวกำลังเปลี่ยนไป ยังไงคอมก็ไปอีกไกลแน่ๆ สถาปัตย์เดี๋ยวถามพ่อเอา และก็เราสามารถเป็นพระเจ้าได้ในโลกของคอมได้ คืออยากได้อะไรก็สร้างขึ้นมาเองได้ทุกอย่าง(ถ้ามีฝีมือพอ) เลยเลือกมาเรียน วิศวกรรมคอมพิวเตอร์

ก็ติดเข้าไปเรียนที่บางมด ตอนปี 1 เทอม 1 เข้ามาเรียนวันแรก อาจารย์บอกให้ไปคิดโปรเจ็กมา เห้ย! ช็อกดิ เข้ามาเรียนวันแรกเองนะ จะทำอะไรหว่า ก็ได้เจอเพื่อนที่อยากทำเกมเหมือนกัน เลยได้ทำเกมออกมา ใช้ Flash กับ ActionScript เป็นเกมสำหรับสอนภาษาซี แต่ตีมอนเตอร์ได้ อัพเกรดสกิลได้ด้วย

หลังจากนั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง(ไม่บอก แบร่) ก็ย้ายมาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่เกษตร เพื่อนที่นี่แต่ละคนพลังเหลือเฟือมาก รุ่นพี่อีก อาจารย์ก็เอากับเขาด้วย ได้รู้จักกับคำว่า Startup ตั้งแต่ปี 1 แบบเจ๋งอะ นี่แหละใช่เลย เรามาถูกทางแล้ว ก็ไปแข่ง Hackathon ครั้งแรกแบบเด็กน้อย คิดว่าทุกคนไปเริ่มทำกันที่นั่นแล้วส่งพร้อมกัน ไปถึงเห็นทีมอื่นนี่ยกบริษัทมาเลย มีงานเรียบร้อย เตรียมนำเสนอเฉยๆ ทีมเรานี่ยังคิดอยู่เลยว่าจะทำอะไรดี 555 แต่ก็ได้ Prototype ออกมาในหนึ่งคืน โคตรเหนื่อย

หลังจากนั้นก็ได้เรียน Python, Micro Controller, Network, Data Mining บลาๆ ตอนปี 3 ก็ไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น ได้ทำเว็บ visualization ข้อมูลลงแผนที่ ส่วนโปรเจ็กต์จบทำเป็น Android App, Web App, Server App ทำคนเดียวครบ 3 ฝั่งเลย

Senior Project: Health Test

ก่อนเรียนจบก็ได้ไปแข่ง Startup แต่ pitch ไม่ผ่าน ไม่งั้นได้ทุนตั้งบริษัทเองไปแล้ว 555 (คือรู้สึกโชคดีเหมือนกันนะที่ไม่ผ่าน ถ้าเริ่มทำบริษัทเองตั้งแต่ตอนนั้นเราคงพลาดประสบการณ์หลายอย่างในตอนนี้ ทั้งเทคนิคคอลและการบริหารองค์กร ข้อดีและข้อเสียที่สามารถนำไปใช้และหลีกเลี่ยงกับบริษัทของตัวเองในอนาคต เพื่อให้บริษัทไปได้ไกลมากขึ้น)

หลังจากนั้นก็ลังเลว่าจบไปแล้วจะทำสายไหนดี Network กับ Data ด้วยเหตุผลหลายอย่างก็เลือกว่าสาย Data นี่แหละ ปีนั้นตอนเรียนจบ งานสาย Data พึ่งเริ่มเข้ามาในไทย หางานตำแหน่งนี้ไม่ได้เลย ก็ไม่เป็นไรไปเป็น Developer ละกัน

ก็เข้าสู่การทำงานบริษัทแรก เป็น Full-Stack Developer ได้รู้จัก Website Architecture รู้ว่าระบบที่ใช้งานจริงต้องออกแบบอย่างไร ได้ลองเขียน Framework ขึ้นมาใช้เอง

บริษัทที่สอง เป็น Backend Developer ที่มาที่นี่เพราะอยากลอง Scala เลย เท่านั้นแหละ เจ็บปวด ภาษาอะไรโคตรยาก ยากกว่านี้ก็ Assembly แล้ว 555+ ก็ได้เขียน Functional Programming ครั้งแรก ได้คิดในมุม Backend ว่าต้องออกแบบระบบอย่างไร ได้รู้จักกับ Microservice ครั้งแรก

แล้วก็กำลังจะเข้าสู่บริษัทที่สาม… จะเป็นอย่างไรกันนะ อยากรู้แล้วสิ ^^

การที่เรามาถึงจุดนี้ เราไม่ได้เก่งหรอก คนที่ทำได้ดีกว่าเรามีอีกเยอะ แต่เพราะเราไม่เก่ง เราเลยหาความรู้เพิ่มอยู่ตลอด เราอาจแค่รู้มากกว่าเอง ถ้ามีคนรู้แบบที่เรารู้ คนนั้นอาจทำได้เก่งกว่าเราก็ได้

ทำไมถึงเราถึงต้องพยายามอะไรขนาดนี้ เพราะเรามีความฝันที่ต้องการทำให้สำเร็จรออยู่ และความฝันนั้นต้องใช้ทั้งเงินและเวลาจำนวนมาก ทั้งชีวิตอาจมีเวลาไม่พอทำจนสำเร็จก็ได้ เราถึงต้องรีบให้ไวที่สุด สำหรับเรา “เวลามีค่าแพงมาก”

Computer Skills Timeline

Graphic -> Game -> Hacking -> Programming -> Website -> Mobile -> Network -> Data

ประถม [+5 points]— Programming(Logo)

มัธยมต้น [+70 points]— Programming(ShellScript, VB), Website(HTML, CSS, JavaScript, DreamWeaver), Graphic(Photoshop, Illustrator, CorelDraw, MAYA, 3DMax, TheTab, Moho, RPG Maker), Video(Ulead, MemoriesOnTv), Game(RPG Maker)

มัธยมปลาย [+30 points]— Programming (C, Java)

มหาวิทยาลัย [+50 points]— Programming (ActionScript, C#, Python, PHP, MIPS Assembly), Network(VLAN, ACL, RIP, OSPF), Native Andriod(Google Map, GPS, Camera, Gallery, Network, Brower), Data(Weka, RapidMiner), Hardware(Arduino, Microcontroller), Unity3D, XAMPP, MySQL, Twitter API, High Charts

บริษัทแรก [+50 points]— Frontend(QML, Semantic, Dojo, Dgrid), Backend(Django, Django Rest, Swagger), Test(Pytest, Sprinter, Selenium, Behave), Jasper Report, Postgresql, pgAdmin

บริษัทสอง [+100 points]— Microservice Architecture, Scala, SSE, CQRS, SAGA, Kafka, RabbitMQ, MongoDB, Keycloak, OAuth, JWT, Facebook Authentication, Google Authentication, Nginx, Kong, Jenkins, Docker, AWS

Freetime[+40 points] — Data(SAS, SPSS, Tableau), Lightroom

ปล. คะแนนเพื่อเปรียบเทียบว่าแต่ละช่วงเวลาพัฒนาขึ้นมากเท่าไร

ความฝันและเป้าหมาย

ทุกคนมีความฝันที่อยากได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ลงมือทำเพื่อเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริง เมื่อเราต้องการให้ความฝันเป็นจริง แม้จะยากหรือจะเป็นไปไม่ได้ มันก็จะเปลี่ยนสภาพจากแค่ความฝันกลายเป็นเป้าหมายของเรา

เป้าหมายที่ดูบ้า ดูเพ้อเจ้อ ดูใหญ่เกินไป จะทำอย่างไรให้เป็นจริงขึ้นมาได้ เราก็ต้องแบ่งเป้าหมายของเราออกเป็นหลายๆระดับ คือ เป้าหมายระยะยาว เป้าหมายระยะกลาง เป้าหมายระยะสั้น เพื่อค่อยๆไล่ไปที่ละระดับเพื่อให้ไปถึงขั้นต่อไป ข้อระวังคือจำเป็นต้องกำหนดเวลาให้กับแต่ละเป้าหมายด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็จะทำไปเรื่อยๆ ยังไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อนอะไรก็ค่อยๆทำวนไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามีเวลาจำกัดเราจะพยายามหาทางจนมันได้

ความฝันสูงสุดและเป้าหมายระยะยาวของเราคือ XXX แต่การจะไปถึงจุดนั้นจำเป็นต้องมีเงินและเวลาเหลือพอสำหรับทำเป้าหมายนี้ เราจึงกำหนดเป้าหมายระยะกลางขึ้นมาคือต้องมีบริษัทของตัวเองก่อน ดังนั้นเป้าหมายระยะสั้นคือการทำสิ่งต่างๆเพื่อที่จะสร้างบริษัทของตัวเองขึ้นมา

การตั้งเป้าหมายในช่วงเวลาต่างๆ และโอกาสที่จะทำเป้าหมายนั้นสำเร็จ

โดยหลังจากวางแผนระยะกลางแล้ว จะวางแผนระยะสั้นไม่เกินช่วงเป้าหมายระยะกลางแรกสุด โดยแต่ละขั้นตอนต้องมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดขึ้นจริง เมื่อเราบรรลุเป้าหมายระยะสั้นได้ไปเรื่อยๆ โอกาสสำเร็จของเป้าหมายระยะกลาง และระยะยาวก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้สุดท้ายเราจะไปได้ไม่ถึงความฝัน แต่เราก็อาจไปได้ไกลกว่าที่เราคิดว่าเราจะทำได้

เป้าหมายระยะยาว: XXX (ไม่บอก)

เป้าหมายระยะกลางตอนปลาย: มีบริษัทระดับโลก ตอนอายุ XXX ปี

เป้าหมายระยะกลางตอนต้น: เริ่มทำบริษัทของตัวเอง ตอนอายุ 30 ปี

เป้าหมายระยะสั้น: ศึกษาศาสตร์ต่างๆที่จะต้องใช้ในการทำบริษัท ทั้งเทคนิคคอล การบริหาร การตลาด การขาย การดูแลทีม การต่อรอง ทำตัวเองให้พร้อม ทั้งเริ่มหาทุน สุขภาพ ความรู้ คอนเนคชัน รวมถึงสิ่งต่างๆที่เป็นพื้นฐานทั่วไป เช่น มีบ้าน มีรถ แต่งงาน มีลูก การแบ่งเวลาดูแลลูกและแฟน

นี่คือการแบ่งเป้าหมายออกเป็นขั้นตอน (step) นอกจากนี้เรายังแบ่งเป้าหมายออกเป็นด้านต่างๆ คือ ทรัพย์สิน, ความรู้, สุขภาพ, ความสัมพันธ์

ทีนี้ก็จะได้เป้าหมายในด้านต่างๆของตัวเอง

ความรู้

ทำงานบริษัทที่สามารถได้ความรู้เอาไปใช้ในบริษัทของตัวเองได้ เก็บเงินไว้เป็นทุนตั้งบริษัท เก็บเงินแต่งงาน ศึกษาการลงทุนเพื่อให้ทรัพย์สินที่สะสมเพิ่มมูลค่าตัวเองขึ้นไปอีก จะได้ประหยัดเวลาในการหาทุนเพิ่ม อ่านหนังสือและไปงานสัมมนาต่างๆ สำหรับปีนี้(2018) ที่ตั้งใจไว้คืออ่านหนังสือ 5 เล่ม ไปงานสัมมนา 3 งาน เรียนคอร์ส 3 คอร์ส ก็เกือบจะครบหมดละ

สุขภาพ

ออกกำลังกายให้เป็นเรื่องปกติ นอนให้เพียงพอ(สำคัญมาก) กินอาหารให้ดีต่อร่างกาย แต่ก็มีมื้อที่กินเหลวแหลกบ้างเพื่อความสุขและวินัยไม่แตก

ความสัมพันธ์

ต้องรักษาความสัมพันธ์เดิมและสร้างความสัมพันธ์ใหม่เพิ่ม เวลาทำงานก็รู้จักคนให้ครบทุกแผนก ไปออกงานสัมมนาต่างๆ แบ่งเวลาให้คนที่รู้จักด้วย

ทรัพย์สิน

  • 23 ปี เริ่มทำงาน
  • 25 ปี คอนโดติดรถไฟฟ้า
  • 30 ปี คอนโดติดทะเล
  • 33 ปี Penthouses ติดรถไฟฟ้าสถานีกลางเมือง
  • 37 ปี Supercar
  • 40 ปี บ้านเดี่ยว
  • 45 ปี รีสอร์ท
  • 47 ปี เรือยอร์ช
  • 50 ปี เครื่องบินส่วนตัว

เราก็แบ่งย่อยลงไปอีก

  • 23 ปี ทรัพย์สิน 0.1M
  • 24 ปี ทรัพย์สิน 0.5M
  • 25 ปี ทรัพย์สิน 1.0M
  • 27 ปี ทรัพย์สิน 5.0M
  • 30 ปี ทรัพย์สิน 10M

อายุ 30 ปี ต้องมีเงินเดือน 6 หลัก และมีรายได้อย่างน้อย 3 ทาง ผ่อนบ้าน(คอนโด) ให้ครบหมดเพื่อตัดภาระออก จะได้ลงแรงเต็มที่กับบริษัทตัวเองโดยไม่ต้องกังวลอะไร

(เรารู้จักเพื่อนอายุน้อยแต่เงินเดือนเรทพันทิปเยอะนะ หลายสายอาชีพ และทุกคนที่รู้จักก็ไม่มีใครนั่งๆนอนๆ ไม่มีใครคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ฝันบ้าบอกันทั้งนั้น เราก็ด้วย555)

เอาจริงๆก็เป็นอีโก้ส่วนตัวด้วย เราจะไม่ยอมให้ใครมาพูดว่า “เพราะบ้านมึงรวยไง” คือตระกูลเรา รุ่นปู่ก็เริ่มจากศูนย์มาจากอพยพมาจากจีนมีแค่เสื้อผ้าใส่ติดตัวแต่สามารถสร้างตัวจนเปิดโรงพิมพ์ที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้(ปิดไปแล้ว) พ่อเราก็สามารถเปิดบริษัทเปิดโรงงานขึ้นมาเองได้ผ่านวิกฤตปี 40 มาได้ สมัยนั้นเราก็ไม่ได้อยู่สบายเหมือนตอนนี้ จริงๆเราก็อาจต้องทำของพ่อต่อแหละ แต่ด้วยตัวธุรกิจ การจะขยายไปสู่ระดับโลกมันทำได้ยากหรืออาจจะช้า ซึ่งไม่ตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตของเราและเรื่องของระยะเวลาที่ต้องเสียไปด้วย เราเลยจะต้องทำของตัวเองขึ้นมาเอง ก็เป็นอีกเรื่องที่โชคดีที่ไม่เคยถูกที่บ้านบังคับเลยว่าให้เรียนอะไร ทำงานอะไร

หลายคนอาจจะมองว่าเพ้อเจ้อ ทำไม่ได้หรอก บอกเลยว่าเงินบาทสุดท้ายที่ได้จากที่บ้านคือวันสอบไฟนอลตอนปี 4 และเหลือเงินเก็บอยู่หมื่นต้นๆสำหรับใช้ระหว่างรอเงินเดือนเดือนแรก แล้วก็ใช้เงินตัวเองมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น แต่ตอนนี้เราไปได้ไกลกว่าเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้อีก (ตอนนี้น่าจะเร็วกว่าเป้าที่ตั้งไว้เกือบ 2 ปี)

ทุกปีมีคนเรียนจบและเริ่มทำงานพร้อมกัน แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่ปีเพื่อนแต่ละคนสามารถไปได้ไกลไม่เท่ากัน แค่ไม่กี่ปีความเหลื่อมล้ำยังมากขนาดนี้ จะโทษระบบทุนนิยมก็ไม่ถูก เพราะบางคนก็อยู่ไปเรื่อยๆชิลๆ แต่บางคนพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด วิ่งหาโอกาสตลอด ถ้าอยากให้ฝันเป็นจริงก็ต้องลงมือทำ ถ้ายากก็ยิ่งต้องทำให้มากขึ้น

ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับทางเดินของแต่ละคน ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตต้องการอะไร

ไม่ต้องแข่งกับใคร แต่จงตั้งเป้าหมายของตัวเอง และอย่าลืมวัดผลตัวเอง ว่าตอนนี้ไปถึงจุดไหนแล้ว ต้องปรับเปลี่ยนอะไร พัฒนาหรือหลีกเลี่ยงอะไรเพื่อให้เป้าหมายของตัวเองสำเร็จ

อย่าลืมว่าเวลาในชีวิตมีจำกัด

ความผิดพลาด

http://popeyesview.blogspot.com/2013/07/the-success-path.html

ระหว่างทางกว่าจะมาถึงจุดนี้มันก็มีเรื่องให้ผิดพลาดมาตลอดอยู่แล้ว เพียงแต่แค่อย่ายอมแพ้ อย่าล้มเลิก ลุกขึ้นมาสู้ใหม่เรื่อยๆ

ตอนไปสมัครงานที่ใหม่บางที่ก็ได้คะแนนเต็ม บางที่ก็ทำไม่ได้ก็รู้สึกว่าทำไมตัวเองโง่จัง ทำมาตั้งเยอะแค่นี้ทำไม่ได้ แต่ก็มีกำลังใจจากเพื่อนที่บอกให้ลองใหม่ สุดท้ายก็ทำได้ในที่สุด

ตอนทำโปรเจ็กจบปริญญาตรีหรือตอนทำงานบางครั้งก็รู้สึกว่าทำไมมันยากจังวะ ไม่ทันแน่ๆ บัคไรวะแก้ไม่ได้ซักที สุดท้ายก็ผ่านมาได้ตลอด

เรื่องที่ล้มเหลวสุดคงเป็นเรื่องแฟนนี่แหละ เราเสียสิ่งที่มีค่ามากไปแล้ว 2 ครั้ง เราอาจจะโฟกัสกับเป้าหมายด้านอื่นมากเกินไป จนไม่ให้ความสำคัญด้านนี้มากพอ และเราไม่มีความสามารถพอที่จะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้ หรือเพราะเข้ากันไม่ได้จริงๆ

--

--