Journey to become a CTO part 3/3 : เส้นทางสู่การเป็น CTO (ในวัย 29 ปี)
เนื้อหาส่วนนี้จะเล่าถึงการเข้าสู่การเป็นตำแหน่ง Chief Technology Officer (CTO) ว่าการสมัครงานของตำแหน่งนี้เป็นอย่างไร เรซูเม่ และการนำเสนอตัวเอง จากประสบการณ์ส่วนตัวของเรา
อ่านตอนก่อนหน้าได้ที่
บริษัทที่หก (Chief Technology Officer — CTO)
- SME ไทย (co-founder ไทย) พนักงานประมาณ 45 คน
- ระบบวิเคราะห์ข้อมูล
- ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ เข้าออกงานตรงเวลา 9:00–18:00
- ประเมินผลงานและปรับเงินทุกครึ่งปี
- กินเลี้ยงเดือนละครั้ง
- Yearly Outing
- ประกันสุขภาพ
การสมัครงานตำแหน่ง CTO
ก่อนหน้าจะสมัครงานกับบริษัทนี้ก็มีบริษัทอื่นติดต่อมาเรื่อยๆ แต่บริษัทเหล่านั้นยังไม่ค่อยดึงดูดให้อยากย้ายไปร่วมงานเท่าไร ทั้งตัวธุรกิจของบริษัท และศักยภาพที่จะเติบโตของบริษัท
วันหนึ่งเราได้เจอการรับสมัครโดยบังเอิญของบริษัทนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่เราอยากจะทำอยู่แล้ว และเขาเปิดรับสมัครตำแหน่งนี้พอดี เราจึงติดต่อไป (3/5/2022)
(ควรติดต่อไปทางอีเมลนะ แต่หาเมลไม่ได้จริงๆ จึงติดต่อไปทางแชท)
ซึ่งตอนที่ติดต่อไปค่อนข้างมั่นใจมากว่าถ้ามีโอกาสได้คุยกัน เราจะได้แน่ๆ แต่ถ้าเขาไม่ติดต่อมา ไม่ได้คุยกัน ดูเรซูเม่อย่างเดียว อาจจะต้องลุ้น
หลังจากส่งข้อความไปชั่วโมงกว่าก็มีสายเข้ามา และให้เราแนะนำตัวเล่าประสบการณ์ ก็ได้เล่าไปว่าทำอะไรมาบ้าง ไม่ได้ลงเทคนิคเยอะเพราะคิดว่าเป็น HR โทรมาถาม กลัวเขาจะงง เขาก็มีถามลงรายละเอียดบ้าง ก็ตอบขยายความไป
ผ่านไป 2 วัน (5/5/2022) ก็มีโทรมาเพื่อนัดสัมภาษณ์ เป็นคนละคนกับรอบที่แล้วก็เลยงง ได้รับเฉลยว่ารอบก่อนเป็น COO โทรมา ทาง HR แจ้งว่าให้เตรียมสิ่งที่ทำมาไว้แนะนำตัว 30 นาที
จากนั้นก็เข้าสู่รอบการสัมภาษณ์จริง (10/5/2022)
- เริ่มจากการแนะนำตัว และก็ถามลงรายละเอียดในงานแต่ละส่วนไปเรื่อยๆ
- จากนั้นก็มีให้ออกแบบระบบให้ดู (ซึ่งโจทย์เหมือนกับระบบที่เล่าตอนแนะนำตัวมาก เข้าทางสุดๆ) ก็วาดไปและอธิบายไป
- ต่อมาก็เป็นการถามคำถามจากผู้สัมภาษณ์ท่านอื่น เกี่ยวกับโจทย์และสไลด์ตอนแนะนำตัว
- ช่วงท้ายก็ขอเขาแวะไปห้องน้ำแว๊บหนึ่ง (สัมภาษณ์มา 2 ชัวโมง)
- พอกลับมา เราก็ถามคำถามเขาบ้าง เพื่อจะเข้าใจในตัวบริษัท เป้าหมาย การบริหารจัดการ ปัญหา สิ่งที่จะได้ทำ การสนับสนุนเกี่ยวกับการทำงาน
รวมใช้เวลาสัมภาษณ์ไป 3 ชั่วโมง (ยาวที่สุดในชีวิต)
หลังสัมภาษณ์จบ ทาง HR ก็โทรมาสอบถาม feedback ซึ่งเราก็บอกว่าพอได้ฟังคำตอบของคำถามที่เราถามไป ลักษณะการจัดการองค์กร และตัวงานที่จะได้ทำ งานค่อนข้างน่าสนใจ และเราอยากจะทำงานนั้น
เขาแจ้งว่าสำหรับตำแหน่งนี้ใช้เวลารอพิจารณาสองสัปดาห์ถึงหนึ่งเดือน เราก็รอลุ้นว่าจะได้หรือไม่ เพราะแต่เดิมเราก็อยากทำงานที่บริษัทนี้อยู่แล้ว หลังจากการสัมภาษณ์ สโคปงานและสิ่งที่จะได้ทำน่าสนใจมาก ศักยภาพของบริษัท และวิธีการบริหารงานก็ดูเป็นแนวทางเดียวกับที่เราคิด คือทุกอย่างลงตัว เราเลือกแล้วว่าจะมาที่นี่เพื่อทำให้บริษัทนี้ให้เติบโตขึ้นไปอีก ทีนี่ก็อยู่ที่บริษัทว่าจะเลือกเราเหมือนกันหรือเปล่า
สิ่งที่ไม่มั่นใจมีสองอย่างคือ
- อายุเรายังน้อย ไม่รู้ว่าแคนดิเดตคนอื่นเป็นใครบ้าง ไม่รู้ว่าที่นี่ให้ความสำคัญกับจำนวนปีแบบบริษัททั่วไปหลายๆที่หรือเปล่า ส่วนเรื่องสกิลทั้งเทคนิคคอลและการบริหารมั่นใจมาก ว่าชนะแคนดิเดตคนอื่นที่อายุมากกว่าแน่ๆ
- เงินเดือน เนื่องจากเงินเดือนเดิมของเราสูงมาก ถ้าแคนดิเดตคนอื่นเรียกค่าตัวน้อยกว่าเรา เราก็อาจจะไม่ได้งานแม้สกิลจะดีกว่า จึงบอกเขาไปว่าถ้าติดเรื่องเงินก็อยากให้มาคุยกันดูก่อน เพราะตัวงานและตัวบริษัทเราอยากทำที่นี่จริงๆ
แต่พอผ่านมาแค่ 2 วัน จากวันสัมภาษณ์ (12/5/2022)
มีสายเข้ามา และแจ้งว่า ทางบริษัทรับเราเข้าทำงานในตำแหน่งนี้ และให้เรทตามที่เราเรียกไป ตอนนั้นดีใจมากกกกกก กำลังช็อก ยืนนิ่ง นึกอะไรไม่ออก พูดไปแค่ ขอบคุณครับ
หลังจากนั้นก็รอเซ็นสัญญาจ้าง ระหว่างนั้นก็ยังลุ้นอยู่ทำไมยังไม่ได้สัญญาจ้างซักทีนะ เพราะถ้ายังไม่ได้สัญญาอะไรก็เกิดขึ้นได้
จนวันที่ 18/5/2022 ก็ได้รับสัญญาจ้างมา (ที่ช้าเพราะ HR ค่อนข้างยุ่ง)
รวมทั้งหมดเป็นเวลา 15 วัน
สำหรับการเป็น CTO ครั้งแรก
จะได้ความรู้และประสบการณ์อะไรบ้าง อยากรู้แล้วสิ
เป้าหมายต่อไป
- เป็น C-Level ที่แท้จริง สำหรับตอนนี้เรามองว่าตัวเองเป็นแค่ Pseudo C-Level บริษัทที่ไม่ใช่ขนาดใหญ่ จะตั้งตำแหน่งอะไร ชื่อตำแหน่งเท่แค่ไหนก็ได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ C-Level ของบริษัทมหาชน สกิลของ C-Level ของสองบริษัทนี้ต่างกันคนละเรื่อง
- ปั้นบริษัทให้กลายเป็นยูนิคอร์น หรือเข้าตลาดหลักทรัพย์กลายเป็นบริษัทมหาชน
สรุป
- รู้เทคนิคคอลให้หลากหลาย ทั้งในสายงานตัวเองและสายงานอื่น
- ผ่านประสบการณ์กับบริษัทหลากหลายขนาด ทั้งจำนวนคนหลักหน่วย หลักสิบ หลักหลายสิบ หลักหลายร้อย หลักหลายพันคน (ยกเว้นบริษัทระดับโลกยังไม่ได้ลอง)
- ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ อยู่ให้ถูกที่ อยู่ในที่ๆเราได้ใช้ความสามารถและที่นั่นต้องการความสามารถนั้นของเรา
- โฟกัส คนเก่งสามารถทำได้ทุกอย่าง แต่คนเก่งกว่ารู้ว่าจะไม่ทำอะไร
- เวลาทุกคนมีเท่ากัน มันต่างกันที่ หลังเลิกงานใช้ทำอะไร เวลาว่างใช้ทำอะไร
- เรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มตลอดเวลา และรู้ให้เข้าใจอย่างแท้จริง
- โอกาสมักจะมาแบบไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา
- มนุษย์เงินเดือนสามารถรวยได้ ถ้าพัฒนาตัวเองจนเป็นที่ต้องการ
Tech Stack ณ ปัจจุบัน
Tech Stack ที่เคยทำมาทั้งหมด ซึ่งพวกนี้มันเป็นสกิล ดังนั้นหลายตัวที่ไม่ได้ใช้งานประจำ ถือว่าสกิลนั้นแทบไม่เหลือแล้ว ถ้าต้องกลับไปใช้เดฟเองก็ต้องฝึกใหม่ แต่สำหรับงานปัจจุบันที่ไม่ได้เดฟเอง การรู้ว่าแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียอะไร อัพเดทความรู้ใหม่เรื่อยๆ ก็เพียงพอที่จะสามารถเลือกใช้เครื่องมือได้เหมาะสม และออกแบบระบบที่เหมาะกับแต่ละงานได้
นอกจากนี้การเป็น CTO จะมีแค่ความรู้เทคนิคคอลอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้วิธีวางแผนจัดการทีม ทีมที่ขนาดต่างกันก็ใช้วิธีจัดการต่างกันในการดึงศักยภาพสูงสุดของทีมออกมา การแบ่งทีมภายใต้แผนก วิธีการทำงานที่ใช้หลายทีม การจัดการกับคนประเภทต่างๆ ความรู้ในสายงานอื่น เทคนิคที่ใช้มันคุ้มหรือไม่ เทคนิคบางอย่างอาจจะดีแต่พัฒนาได้ช้า เทคนิคบางอย่างอาจจะดีแต่เสียต้นทุนสูง การคิดในเชิงธุรกิจว่าสิ่งที่กำลังจะทำมันคุ้มหรือไม่ ทุกอย่างที่ตัดสินใจมันส่งผลต่อกำไรขาดทุนและการเติบโตของบริษัท คือต้องทำต้องคิดแบบ CEO ให้ได้ ถึงงานและคนที่รับผิดชอบจริงจะอยู่เฉพาะส่วนเทคโนโลยี (สำหรับคนที่ยังเป็นจูเนียร์ก็ลองคิดได้ ว่าถ้าเราเป็น CEO งานที่กำลังทำอยู่จะใช้วิธีไหนทำ)
การมาถึงจุดนี้ด้วยตัวเองมันไม่ง่าย
ต้องแลกกับบางสิ่งบางอย่าง และแลกกับความสุขบางอย่างในชีวิตไปในระหว่างทาง หวังว่าประสบการณ์ที่เล่านี้ จะเป็นแนวทางและเป็นประโยชน์ให้กับทุกคน
สำหรับเนื้อหาส่วนถัดไปจะเป็นเรซูเม่ และ สไลด์แนะนำตัว เพื่อเป็นแนวทางให้นำไปปรับใช้
เรซูเม่ตอนสมัครงาน (Resume)
การเขียนเรซูเม่ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่