ที่มาภาพ : Options Pricing: Profit and Loss Diagrams
(https://www.investopedia.com/university/options-pricing/profit-loss-diagrams.asp)

>>> [#สรุป] : ‘#ก้าวแรกสู่ #Option Trading’ / By พี่ต้าน Mudley <<<
โดย Wizdom Trader​
.
=========

Option เหมือนเป็นประกันภัย
- Call option : ประกันว่ามันจะขึ้น
- Put option : ประกันว่ามันจะลง
- Strike price : จุดอ้างอิง เช่น LC S50 ที่ Strike price 900จุด
- Premium : เบี้ยประกัน (ให้มองเป็นจุดหรือ point จะง่ายขึ้น เช่น 20 จุด) สมมติ ซื้อ LC@900 เราจะได้กำไร(เริ่มเคลมได้ เมื่อ 900+20=920 จุด
- Time value : ระยะเวลาการประกัน เช่น 1ไตรมาส (เวลาทำประกันมักไม่ค่อยได้เคลม แต่ก็ทำเพื่อป้องกันความเสี่ยง)
— — — — —

>> ซื้อ Option เมื่อใด ? <<
1. เริ่มมีกำไร (CF) ห้ามเอาทุนมาซื้อ option
ตัวอย่าง
ซื้อหุ้น A ราคา 10 บาท จำนวน 1,000 units
ขายหุ้น A ราคา 15 บาท จำนวน 1,000 units
ได้กำไรมา 5,000 บาท จึงนำกำไรไปซื้อ option โดยอาจแบ่งไปซื้อบางส่วน
หรือ อาจขายบางส่วน ขาย 500 units กำไร 2,500 บาท เอาไปซื้อ Option
เหลือในพอร์ต 500 units ไว้ถือยาวหรือนำไปสร้างกลยุทธ์ต่อไป
แบ่งกำไรไปซื้อ LP หากหุ้นที่เหลือลงก็ยังได้มูลค่าชดเชยจาก option
แล้วเอากำไรกลับเข้าซื้อหุ้นตัวเดิม หรือทำกลยุทธ์ต่อ
** การซื้อ Future แล้วตั้ง Stop loss เหมือนเป็นการซื้อ Option แต่ใช้ Option ในการ Stop loss แทน ซึ่งการใช้ Option จะเป็นการ SL by time แทนการ SL by Price **
สมมติว่า โอกาส อายุ Option 3 เดือน จะโดน stop out ออก เป็นแบบ SL by time โดย Condition การเทรด ขึ้นกับ Stat ของ Model เราให้เรามองหาประโยชน์ที่แท้จริง และนำไปใช้จริงได้
เพิ่มเติม : พวกสถาบัน short option เอาค่าPremium ไปโปะ Long option ทำให้เหมือนกับได้ option ฟรี
.
~ Stop loss ~
การ SL by price ทำให้เราโดนง่ายๆ
.
*** สมการ Option ***
[C-P = F]
*เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราอยากทำอะไรกับตลาด (Buy หรือ Sell ??)
สมมติ Buy future 1000 จุด , Call premium 20จุด , Put premium 25จุด
จาก สมการ C-P=F >> 1000+20–25=995
จะเห็นว่า การซื้อ Call ขาย Put จะได้ราคาถูกกว่าการซื้อ Future โดยตรง 5จุด
** เลือกวิธีการที่คุ้มค่าและได้เปรียบมากที่สุด **
[C=F+P]
สมมติ ซื้อ Future 1000 จุด แต่ Quote อยู่ที่ 990 (เกิด Discount 10จุด มักเกิดช่วง Panic)
ถ้าเราอยากซื้อ Call option
20 = -10+25
20 = 15
จะเห็นว่า การซื้อ Future + Put option จะได้ราคาถูกกว่า
ปล. ตลาดไทย ไม่ค่อยมี Liquidity
สมการ option ได้ประโยชน์มากช่วง Panic หรือเกิด Emotion ในตลาดเยอะๆ จะมี Discount ที่มาก ทำให้ค่า Premium ถูกลงด้วย แต่ไม่ค่อยเกิดบ่อยนัก
.
2. ตลาดมีความผันผวน(Volatility) สูง
*หากตลาด Vo น้อยมักจะโดนฝั่งSell side จับกิน
*ฝึกดู Vo จาก ATR ให้เก่ง โดยมอง ATR เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง มี Loop หรือ Cycle ของมัน
!!การบ้าน!! ฝึกดู ATR ลองตีกรอบ cycle loop ของ ATR
*Option trade ของต่างประเทศเขาไม่ค่อยเทรดหุ้น ส่วนใหญ่เทรด ATR (ซื้อ vo ขาย vo)
Trader US ไม่ค่อยรู้วงในกัน เลยมอง ATR แทน เพราะปั่นยาก ใช้เงินมาก ไม่คุ้ม
ให้มองทุกอย่างเป็น Fact

*Technical ใช้ดูได้ แต่ต้องดูให้เป็น เพราะมันหลอกได้ เนื่องจาก Indy ต่างๆ มาจากราคาหุ้น ปั่นได้ง่าย Indy ก็ไปด้วย
*วิธีเชคว่าโดนหลอกหรือไม่ ดูจาก การโดน SL บ่อยๆ
.
ปล. แนะนำหนังสือ : “Dynamic Hedging”
.
~ Floor trader ~
มีหน้าที่ Liquidity Provider หา Vol ให้ลูกค้าสถาบัน สร้าง Liquidity ให้ จากการหากินจาก SL ของเทคนิคอล เป็นจุดการันตี Vol เราควรเลิกตั้ง SL ที่ high หรือ low กราฟ เพราะเป็นจุด Stop hunt ของ Floor trader
ขั้นตอนการสร้าง Liquidity : สถาบันต้องการVol >>> Floor trader เทขายหุ้นฟรี(หุ้นไม่มีต้นทุน) >>> ราคาลงมาโดน Stop hunt รายย่อยเทขาย Vol ออกมา >>> สถาบันรับซื้อ
**หุ้นฟรี = หุ้นไม่มีต้นทุน(ต้นทุน=0)
สมมติเราเทรดได้กำไร ก็นำกำไรไปซื้อหุ้น หรือเราได้กำไรเท่ากับหรือมากกว่ามูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ เท่ากับเราได้หุ้นฟรีในมือ หรืออาจมีรายได้จากทางอื่น(CF) มาซื้อหุ้น(โดยไม่ใช้ทุนมาซื้อ)
เช่น กลุ่มแบงค์ก็มีเงินฟรีเอาปล่อยกู้ Forex มีค่าเงินฟรีเอามาใช้เรายืมเทรด
.
~ ATR ~
มองเป็นกรอบ รอAction option ที่กรอบตาม cycle จะได้เปรียบกว่า
หาก ATR ขึ้น มีโอกาสได้ Payoff สูง คุ้มค่าจาก Premium
** จุดซื้อของ Option มีความสำคัญต้องได้เปรียบ **
** ATR ไม่ได้บอกว่าจะขึ้นหรือลง แต่บอกถึงโอกาสในการเกิด Mean reversal
การ reverse ทำให้เกิดโว เพราะตกใจ panic เช่น
ราคาลง ATR ลง ซื้อ Call เมื่อเกิด mean reverse จะเกิดโว จาก panic
ราคาขึ้น ATR ลง ซื้อ Put เมื่อเกิด mean reverse จะเกิดโว จาก panic
เมื่อเกิดโว ATR จะวิ่งขึ้น
เพิ่มเติม ATR
- ถ้า ATR กำลังลง การเล่น long จะเสียเปรียบรายใหญ่ เพราะไม่มีโว ถ้าไม่สะบัด โวต่ำ
- การไม่สะบัด โวต่ำ แสดงว่าคนเลือกทางแล้ว
- ATR สามารถใช้ต่อกรกับกองทุน สถาบันได้
- เมื่อเสียเปรียบหรือโดน ให้ออกมาดูก่อน
- เรา Predict จุดสูงสุดไม่ได้ อย่าโลภ
.
~ ข้อสังเกต Technical ~
- ถ้าราคาขึ้นแล้วไม่มีข่าวอะไรมาให้เราบังเล โอกาสโดนหลอกสูงมาก
- จังหวะที่ไม่กล้าทำตาม Technical ใจเราไม่กล้ามักจะเกิดของจริง
- มีคนเลีนกับ Mindset เราอยู่
.
3. ต้องเป็นจุดเกิด Intersection กัน
- Technical มีข้อจำกัดคือ เป็น Linear แต่ตลาด price เป็น Non-linear เนื่องจากมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมาก จึงไม่สามารถเอามาใส่เป็นสมการต่างๆได้ แต่มันเป็น Logic ดูน่าเชื่อถือ แต่ไม่สามารถพยากรณ์ได้แม่นยำจริงๆ การคาดการณ์ทำได้แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ตลาดยังมี factor อีกมากมายที่เป็นตัว drive
- ดังนั้น เราไม่สามารถ Predict ตลาดได้
- ต้องมองทุกอย่างตาม Fact ระวังคนที่จะมาหากินกับความโลภของเรา
- ***TA ใช้อ่านว่าคนอื่นคิดอย่างไรเท่านั้น !!!*** พยายามมองว่า คนจะ action ยังไง จากกราฟ และหาประโยชน์จากตรงนี้
.
~ การปั่นหุ้น ~
- บริษัท A มีหุ้นอยู่ 100,000 units, Major share 500,000 units, Market 500,000 units
- ราคา $5/unit
- สมมติ มีเงินอยู่ $5,000,000 ซึ่งสามารถซื้อได้ทั้งบริษัท จากนั้นแจกจ่ายเงินให้ Nominee เพื่อจะซื้อจำนวน 300,000 units
- สร้าง Vol จากข่าว และ Technical
- สมมติสร้างราคาจาก $5-$10 จำนวน 300,000 units แล้วจะปล่อยยังไง?
- ระวังจุด Vol peak เพราะมักจะเป็นจุดปล่อยของของเจ้า
- Technical ให้เข้าจังหวะที่เจ้าจะปล่อยของไม่ได้(ลากยังไม่เสร็จ) vol ยังน้อยๆ
- เมื่อไล่ราคาจนเสร็จ ได้กำไร ก็ขายทิ้งหมด vol peak
- Bid-Offer ดูไม่ง่าย กด cancel ก็ออกแล้วหลอกกันได้ เช่น ตั้ง bid หนาๆ หลอกให้อุ่นใจ พอขายเสร็จก็ถอนออก
- ***TA ใช้ได้ ต้องรู้จักใช้ ใช้ในจังหวะที่มัน intersec กัน จากการที่คนพยายามจะมี effect กับตลาด ควรดูสาเหตุที่แท้จริง
.
~ การใช้ technical ~
ใช้จุดที่ intersec กันของ Linear(Technical:MA) และ Non-linear (Price) มักจะอยู่ด้วยกันได้ไม่นานแปปเดียวก็ไปแล้ว
*** จุดintersec เป็นจุดดีที่สุดในการซื้อ option สถาบันมักจะหยุดขาย แต่จะกลับมาซื้อ เป็นจุดที่เราต้องไปแย่งซื้อกับเขา Vo จะเกิดตามมา พอสถาบันซื้อ option จะมีแรงจูงใจที่จะ action เช่น LC+LP
.
~ Sell side~
** ฝั่ง sell side จะขายยังไง? ฝั่ง buy side จึงจะซื้อ
ก็ออกหนังสือ Technical ออกมา
สังเกต Big player ใหญ่ๆ จะเป็นฝั่ง Sell side เช่น Buffet จะ short put option
แต่รายย่อยส่วนใหญ่มักจะเชื่อหนังสือ Technical มากกว่า
***Sell side ต้องมีหุ้นฟรี หรือ Index ฟรี
*Option ต้องเขียน Planning chart ก่อน ว่าจะเกิดอะไร จะทำอะไรต่อไป ?
*เรา control หุ้น Predict ไม่ได้ แต่เรา control หน้าตัก วางแผน MM ได้
** Cash สร้างโอกาสให้เรา !!!

“ตัวอย่าง” เช่น มีงบ 300,000บาท หุ้นA ราคา 3บาท เราสามารถซื้อได้ 100,000 หุ้น(ควรเป็นบริษัที่ไม่น่าเจ๊ง)
นาย ก. ถ้าอัดทีเดียว 100,000 หุ้น
สมมติราคาลง 1.ติดดอย 2.cut loss
ถ้าราคาขึ้น 1.ขายบางส่วน 2.ขายหมด
ความรู้สึกที่ตามมา คือ เสียดาย หรือรู้งี้ เริ่มเกิด Emotion ตามมา กลายเป็น Emotion loop ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการเทรดตามมา
นาย ข. ซื้อไป 30,000หุ้นก่อน ใช้ทุน 90,000บาท เหลือ 120,000บาท
ราคาขึ้นก็กำไร อาจรู้สึก รู้งี้ !
ราคาลง ได้โอกาส >> ซื้อเพิ่ม สมมติลงมา 2.5 อีก 30,000หุ้น
ถ้าราคาขึ้นมาที่ 2.7 บาท อาจขายออกมา 30,000หุ้น ได้ CF 6,000บาท
เราก็เหลือของอีก 30,000หุ้น Mark ทุนที่ 3บาท
เมื่อเทรดไปจะ ปรับต้นทุนลดลงจากการคุม Risk parameter
จนต้นทุนเป็น 0 เราได้หุ้นฟรี !! ก็นำไปเทรด scalp หรือทำกลยุทธ์ต่อไป
เช่น เทรด DW ราคาใช้สิทธิ์ 3บาท ราคา DW 0.3บาท เก็บมาเรื่อยๆ
ทำให้จากต้นทุน 0 เป็นต้นทุนติดลบ
หรือ อาจขาย Call option ที่ราคา 3 บาท เก็บ premium ไปเรื่อยๆ
พอราคาขึ้นมาถึง 3บาท ก็ขาย โปะค่า option

***เราต้องเซต Mindset และแผนให้ดีก่อน ว่าจะ Invest หรือจะเอา Capital gain เพราะอาจเกิด Emotion ตามมา***
เรา control หุ้นไม่ได้ แต่ control หน้าตักเราได้ เงินสดสร้างโอกาสให้เราได้
“มีเงินสด = มีโอกาส”
**ต้องแบ่งพอร์ตให้ชัดเจน ว่าจะมีเงินสด หุ้น สินค้าอะไร กี่%

>> Option <<
*Buy side ต้องมีกำไรมาเล่น
*Sell side SCต้องมี Underlying, SPต้องมี cash
*SC ขาดทุนไม่จำกัด เพราะเวลาขึ้นไม่รู้ว่าจะขึ้นถึงไหน
*SP ขาดทุนจำกัด เพราะ Index มีโอกาสลงไปถึง 0 น้อยมาก

“ตัวอย่าง1”
Indes future @900 วางโซนถึง 500 ห่าง 400จุด
1 con มูลค่า 200บาท * 400จุด = 80,000บาท
สมมติ มี Buffer ไป SC(short call option)@950 ถ้าราคาลงก็ SC@800
ถ้าราคาขึ้นก็ขาย Future เพื่อ cover call option
ถ้าราคาลงก็ SC ไปเรื่อยๆ กิน premium

“ตัวอย่าง2”
สมมติมีเงิน 90,000,000บาท , Index หรือหุ้น ราคา 900 , มีหน้าตัก 900,000บาท
อยากซื้อหุ้นราคาถูก ก็ Short put @900 premium 50จุด
ถ้าลงมา 850 ก็เอาเงิน 900,000บาท มา Cover loss
ซื้อกลับที่ 850 จุด ก็จะ offset จาก premium
*การ SP ถ้าไม่ลงก็ได้ตังค์ (premium)
ถ้าราคาลงก็มีเงินสดไว้ซื้อ Underlyingโดยจะ SP ระหว่างทาง
หรือ …
แบ่งเงินเป็นก้อนๆ เพื่อเตรียมไว้ SP เรื่อยๆ
ถ้าราคาลงจาก 900 ลงมา 880 premium 20จุด (200฿ต่อจุด)
ได้ premium 4,000บาท (ทุน 900,000บาท) คิดเป็น 0.45%
ถ้าได้ ไตรมาสละครั้ง =0.45% 4ครั้ง = 1.8% ต่อปีต่อ layer
อาจเก็บค่า premium 4,000บาท ไว้ bet
รอ Offset ด้านล่างจาก cash
หรือ …
Index 900จุด ใช้เงิน 180,000 บาท
ถ้าราคาลงมา 880จุด จะได้ premium 20จุด*200บาทต่อจุด=4,000บาท
ถ้าลงมา 800จุด ใช้เงิน 160,000 บาท loss 16,000บาท
Balance = 12,000 บาท
>> จากเดิมต้องซื้อที่ 900จุด ใช้เงิน 180,000บาท พอ SP ได้ premium 4,000 บาท เหลือ 176,000บาท (markทุนที่ 880) ลงมาก็รอซื้อที่ 800 จุด

***ปล. ในไทยต้องทำช่วง panic ช่วงตลาดเกิด emotion มากๆ ถึงจะคุ้มค่า และได้เปรียบ
.
~ เพิ่มเติม ~
*SP มองเงินสดเหมือนหุ้น เหมือนซื้อถัวเฉลี่ยโดยถือเงินสดไว้ก่อน มีเงินสดไว้รอซื้อและต้องกล้าซื้อด้วย
*การเทรด option ต้องดูการแกว่งตัวดู Volatility ว่าจะคุ้มค่ากับ premium หรือไม่?
*ความยากของ option คือต้องคาดการณ์ว่าจะแกว่ง จะมีโวเท่าไหร่ ต้อง monitor ใน TF เท่าไหร่ แล้วจะมี event อะไรเกิดอีก ถูกทางก็โดนค่า premium ถ้าผิดทางก็โดนเต็มๆ
.
— — — — — — — —

โดย Wizdom Trader
==========

References :
Link : ก้าวแรกสู่ Option trading โดยคุณต้าน
1/6 : https://www.youtube.com/watch?v=luKdSaeDz6o
2/6 : https://www.youtube.com/watch?v=46Qc2aK8fb0
3/6 : https://www.youtube.com/watch?v=daKqY-qwYHo
4/6 : https://www.youtube.com/watch?v=V9rfl4NG_ck
5/6 : https://www.youtube.com/watch?v=Guj4Yp7Lb-o
6/6 : https://www.youtube.com/watch?v=od41ITVUumw

ที่มาภาพ : Options Pricing: Profit and Loss Diagrams
(https://www.investopedia.com/university/options-pricing/profit-loss-diagrams.asp)
.
==========

#Mudley
#MudleyWorld
#OptionFirstStep
#WizdomTrader

--

--