Coronavirus: ทุกคนต้องช่วยกันวันนี้

Aiesoon Sumransub
8 min readMar 26, 2020

--

สำหรับทุกๆท่าน ทั้งภาครัฐ และ เอกชน: อะไรคือสิ่งที่ควรทำ และต้องเริ่มทำแล้วหรือยัง?

สวัสดีครับ ก่อนอื่นต้องขอเรียนให้ทราบว่าที่ผมแปลบทความนี้ มิได้มีเจตนาที่จะทำให้ผู้คนตระหนกแต่อย่างใด เพียงแต่เพื่อต้องการให้ผู้คนตระหนักคือความอันตรายของโรคนี้เท่านั้น หากคนที่มาอ่านได้มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะมาถึง และช่วยชีวิตพวกเขาได้เพียง1ชีวิต ก็บรรลุความตั้งใจของผมแล้วครับ

งานชิ้นนี้เป็นงานแปลมาจากบทความของคุณ Tomas Pueyo ซึ่งต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ สามารถดูบทความต้นฉบับได้จากที่นี่ครับ: (Coronavirus: Why You Must Act Now)

ทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นจากไวรัสโคโรน่า อาจจะเป็นเรื่องยากในการตัดสินใจ อาจจะเกิดคำถามที่ว่า เราควรจะรอจนมีข้อมูลมากกว่านี้ก่อนหรือไม่ หรือต้องเริ่มทำอะไรบางอย่างแล้ว

ในบทความนี้จะประกอบด้วยกราฟ ข้อมูล และ โมเดลในการทำนายผล จากหลายแหล่งที่มา

นี่คือสิ่งที่ผมจะอธิบายในบทความนี้ครับ

· จะมีผู้ติดเชื้อเท่าไหร่ในพื้นที่ของท่าน

· อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อการแพร่ระบาดเกิดขึ้นจริง

· คุณควรทำอย่างไร

· ควรจะเริ่มเมื่อใด

สิ่งที่คุณจะได้รับเมื่ออ่านบทความนี้จบ:

ไวรัสโคโรนากำลังมาหาพวกเราทุกคน

ไวรัสนี้กำลังแพร่กระจายด้วยอัตราเร่งที่มหาศาล (เอกซ์โพเนนเชียล) ในเพียงไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ระบบสาธารณสุขในประเทศของท่านจะล่ม

ประชากรในประเทศของท่านจะถูกรักษาในทางเดินของโรงพยาบาล

บุคลากรทางการแพทย์จะเหนื่อยล้าและหมดแรง บางท่านอาจถึงขั้นเสียชีวิต

บุคคลเหล่านั้นต้องตัดสินใจว่าจะรักษาใคร และใครที่ไม่อาจยื้อชีวิตเอาไว้ได้

หนทางเดียวในการแก้ปัญหานี้คือการทำ Social Distancing และต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เท่านั้น!

นั่นหมายถึงพวกเราทุกคนต้องอยู่ในบ้านให้มากที่สุด

สำหรับผู้นำทุกท่าน ทั้งภาครัฐและเอกชน ท่านมีอำนาจและความสามารถที่จะช่วยป้องกันเหตุร้ายแรงนี้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคนได้

ในวันนี้ท่านอาจจะกลัวว่าสิ่งที่ตัดสินใจอาจมีผลกระทบมากมาย หรือใครที่อาจจะไม่เห็นด้วย แต่ในระยะ 2–4 สัปดาห์ข้างหน้าเมื่อทุกเมืองของโลกถูกปิด คนที่ไม่เห็นด้วยเหล่านั้นจะคิดว่าท่านตัดสินใจถูกแล้ว

มาเริ่มกันเลย

1. จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อเท่าไหร่ในพื้นที่ของท่าน?

อัตราการแพร่กระจายของเชื้อ

อัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ(เอกซ์โพเนนเชียล)จนกระทั่งประเทศจีนสามารถยับยั้งไว้ได้ แต่กระนั้นเองเชื้อไวรัสชนิดนี้ก็ถูกแพร่กระจายออกนอกประเทศจีนแล้ว และไม่มีใครสามารถหยุดการระบาดนี้ได้

วันนี้การระบาดใหญ่เกิดขึ้นที่ อิตาลี, อิหร่าน และ เกาหลีใต้

ทั้งสามประเทศนี้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ซึ่งอาจจะทำให้เรามองเห็นตัวเลขของประเทศอื่นๆได้ยาก ดังนั้นลองขยายภาพของประเทศอื่นๆในทางด้านขวาของกราฟกันดีกว่า

มีประเทศอื่นๆอีกเป็นจำนวนมากที่มีอัตราการติดเชื้อแบบทวีคูณ (เอกซ์โพเนนเชียล) ซึ่ง ณ วันนี้ ประเทศทางตะวันตกกำลังเผชิญปัญหานี้อยู่

ถ้าประเทศของท่านยังคงมีอัตราเร่งแบบทวีคูณเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่ท่านจะต้องเผชิญ

ถ้าพวกเราอยากจะเข้าใจว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะเป็นอย่างไร และจะต้องทำอย่างไรเพื่อป้องกันสิ่งเหล่านั้น พวกเราจะต้องดูตัวเลขของประเทศจีน และ อิตาลี ซึ่งเกิดการระบาดไปก่อนแล้ว รวมทั้งในเคสของเชื้อโรคซาร์ด้วย

ประเทศจีน

Source: Tomas Pueyo analysis over chart from the Journal of the American Medical Association, based on raw case data from the Chinese Center for Disease Control and Prevention

กราฟนี้เป็นหนึ่งในกราฟที่มีความสำคัญมากที่สุด

แท่งสีเหลืองแสดงให้เห็นถึงจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มรายวันในมณฑลเหอเป่ย์ (มณฑลของเมืองอู่ฮั่น) แท่งสีฟ้าคือจำนวนของผู้ที่ติดเชื้อจริงในวันนั้นๆ โดยทางการของจีนได้สอบถามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาว่าแต่ละคนเริ่มมีอาการ ณ วันใด สิ่งที่สำคัญคือเรามิอาจทราบได้ถึงจำนวนของผู้ป่วยจริง ณ เวลานั้น ทางการจะทราบเพียงจำนวนของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาเท่านั้น

ในวันที่ 21 มกราคม จำนวนของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นจำนวนประมาณ 100 รายในวันเดียว แต่อันที่จริงแล้ว ในวันนั้นมีผู้ป่วยที่แสดงอาการถึง 1,500 คน แต่ทางการไม่สามารถรู้ได้เลย

สองวันต่อมา ทางการจีนได้ปิดเมืองอู่ฮั่น ณ จุดนี้ จำนวนของผู้ติดเชื้อใหม่สูงถึง 400 รายต่อวัน ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากนัก แต่จริงๆแล้วมีผู้ป่วยใหม่ที่แสดงอาการถึง 2,500 คน ในวันเดียวกัน

อีกวันถัดมา ทางการจีนได้ปิดเมืองอีก 15 เมืองในมณฑลเหอเป่ย์

ณ วันที่ 23 นับจนถึงวันที่เมืองอู่ฮั่นถูกสั่งปิด ทุกท่านจะสามารถเห็นได้ว่า จำนวนผู้ป่วยจริงที่แสดงอาการในช่วงเวลานั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และหลังจากที่เมืองถูกปิด จำนวนผู้ป่วยใหม่ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

เมื่ออีก 15 เมืองที่เหลือถูกสั่งปิด จำนวนผู้ป่วยจริงรายวันตามกราฟแท่งสีน้ำเงินนั้นมีการชะลอตัวจนถึงหยุดนิ่ง อีกสองวันถัดมา จำนวนผู้ป่วยรายวัยถึงระดับสูงสุด และลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นมา

แต่กระนั้นเอง จำนวนผู้ป่วยที่มาเข้ารับการรักษาตามกราฟแท่งสีเหลืองนั้นยังเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นเวลาต่อเนื่องถึง 12 วัน มันดูเหมือนว่าจำนวนผู้ป่วยหลังจากปิดเมืองแล้วยังคงเพิ่มมากขึ้น แต่จริงๆแล้วมันมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะมันคือตัวเลขของผู้ป่วยจริงในวันก่อนหน้า ที่เพิ่งจะเริ่มอาการหนักและจำเป็นจะต้องมาเข้ารับการรักษาเท่านั้นเอง

คอนเซ็ปต์ของจำนวนผู้ป่วยจริงนั้นสำคัญมาก ซึ่งจะมีการพูดถึงในย่อหน้าต่อๆไป

มณฑลอื่นๆของประเทศนั้นถูกรัฐบาลกลางของจีนสั่งบังคับใช้กฎในทันที และนี่คือผลที่ออกมา

ในกราฟที่แสดงนั้น ทุกเส้นที่เป็นแนวนอนคือมณฑลอื่นๆของประเทศจีน ในตอนเริ่มต้น ทุกๆเส้นมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างทวีคูณ แต่เนื่องด้วยการบังคับใช้กฎที่เฉียบขาดของประเทศจีนในปลายเดือนมกราคม ทำให้การแพร่ระบาดถูกยับยั้งได้ทันท่วงที

ในระหว่างนั้นเอง ประเทศเกาหลีใต้ อิตาลี และ อิหร่าน มีเวลามากถึง 1 เดือนที่จะเตรียมพร้อม แต่พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ก่อนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ กราฟของทั้งสามประเทศสูงขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับกราฟของมณฑลเหอเป่ย์ ซึ่งแซงมณฑลอื่นๆในประเทศจีนทั้งหมด

ประเทศตะวันออกอื่นๆ

จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทุกท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ไทย และ ฮ่องกง ไม่เป็นเช่นนั้น

Taiwan didn’t even make it to this graph because it didn’t have the 50 cases threshold that I used.

ทุกประเทศที่กล่าวมาเคยมีการแพร่ระบากของโรคซาร์ในปี 2003 ซึ่งเกิดการเรียนรู้เรื่องโรคระบาด พวกเขารู้ว่ามันอันตรายเพียงใด จึงได้มีการเริ่มใช้มาตรการต่างๆอย่างจริงจัง นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมกราฟของประเทศเหล่านี้ เหมือนจะพุ่งทะยานก่อนประเทศอื่นๆในยุโรป แต่ก็ยังไม่เป็นเช่นนั้นซะทีเดียว

ที่กล่าวมาทั้งหมด เราได้เห็นการเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันของไวรัสโคโรน่า การที่รัฐบาลของประเทศต่างๆออกกฎเพื่อยับยั้งการแพร่กระจายดังกล่าว ส่วนประเทศอื่นๆที่ผมกำลังจะกล่าวถึงนั้น ท่านจะได้เห็นภาพที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว

แต่ก่อนที่จะถึงจุดนั้น จะขออธิบายเพิ่มเติมในส่วนของประเทศเกาหลีใต้ ประเทศนี้อาจจะเป็นประเทศเดียวที่แตกต่างออกไป ซึ่ง 30 เคสแรกของประเทศถูกติดตามและยับยั้งไว้ได้ แต่เมื่อถึงเคสที่ 31 คือเคสของ Super-spreader หรือที่เราเห็นตามข่าวว่าคือเคสของคุณป้ามหาภัยซึ่งทำให้เกิดการแพร่กระจายของเคสต่อๆมาถนับพันเคส เพราะว่าโรคนี้สามารถที่จะติดต่อกันได้ตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ ณ วันที่ทางการของเกาหลีใต้ได้ตระหนักถึงการแพร่กระจายของเคสที่ 31 นี้ ก็สายไปเสียแล้ว ตอนนี้เคสในเกาหลีใต้เกือบทั้งหมดเกิดจากบุคคลเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม ประเทศอื่นๆเช่นอิตาลีได้มีจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนมากแล้ว และอิหร่านก็กำลังจะเป็นเช่นเดียวกัน (ข้อมูล ณ วันที่ 10/3/2020)

รัฐวอชิงตัน

ทุกท่านได้เห็นตัวอย่างการแพร่กระจายในประเทศตะวันตกไปแล้ว และได้เห็นว่าปริมาณการติดเชื้อนี้เพิ่มขึ้นรวดเร็วเพียงใดในเวลาไม่ถึงสัปดาห์เดียว ตอนนี้ลองจินตนาการดูว่า หากการควบคุมมิได้ผลและเกิดการระบาดครั้งใหญ่

มาลองดูกราฟของรัฐวอชิงตันกัน ในบริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก ปารีส และ เมืองมาดริด

รัฐวิชิงตันคือเมืองอู่ฮั่นของประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวนของผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ณ ตอนนี้สูงถึง 140 รายแล้ว แต่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจก่อนหน้านั้น อัตราการตายของรัฐนี้สูงมาก ณ จุดหนึ่ง มีผู้เสียชีวิต 1 ราย จากจำนวนผู้ป่วยเพียง 3 รายเท่านั้น

เราได้รับข่าวว่าอัตราการเสียชีวิตของโรคนี้อยู่ระหว่าง 0.5% ถึง 5% (จะกล่าวถึงในบทต่อไป) แต่เป็นไปได้อย่างไรที่รัฐวอชิงตันสูงถึง 33%

ผลที่ออกมาคือ มีการแพร่กระจายของไวรัสนี้อยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ไม่ได้รับการตรวจพบ ซึ่งเหมือนว่าที่นี่จะไม่ได้มีผู้ติดเชื้อเพียง 3 ราย แต่ทางการเพิ่งตรวจพบแค่นั้น และ 1 ในนั้นเสียชีวิตเนื่องจาก ผู้ที่มีอาการมาก จะเข้ารับการวินัจฉัย จึงไม่แปลกที่จะตรวจพบช้า และเป็นรายที่มีอาการหนักแล้ว

นี่คือสถานการณ์ที่เหมือนกับกราฟแท่งของประเทศจีน ที่ ณ เวลาหนึ่ง เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีผู้ติดเชื้อจริงๆแล้วกี่ราย ถ้าเราตรวจพบเพียง 3 ราย แต่จริงๆแล้ว อาจจะมีผู้ติดเชื้อสูงกว่านั้นมาก และนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากซึ่งทางการจำเป็นต้องรู้ เราจะสามารถประเมินมันได้อย่างไรหละ? เห็นจะมีอยู่สองสามวิธี และผมได้สร้างโมเดลการทำนายไว้แล้ว ซึ่งทุกท่านสามารถลองใช้ได้ตามลิ้งค์นี้ (ลิ้งค์เพื่อcopyโมเดลไปใช้)

วิธีการแรกคือใช้จำนวนผู้เสียชีวิตในการประเมินจำนวนผู้ติดเชื้อจริงในพื้นที่ของคุณ เรารู้คร่าวๆว่าสำหรับผู้ที่เสียชีวิตนั้น ระยะเวลาตั้งแต่การติดโรคจนเสียชีวิต จะใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 17.3 วัน นั่นก็แปลว่าผู้ที่เสียชีวิตในวันที่ 29/2 อาจจะติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 12/2 ก็เป็นได้

อีกส่วนหนึ่งที่เราทราบคืออัตราการเสียชีวิต ในเคสนี้ผมจะใช้อัตราการเสียชีวิตที่ 1% (จะอธิบายต่อในรายละเอียด) นั่นก็แปลว่า ณ วันที่ 12/2 มีผู้ติดเชื้อจริงแล้วประมาณ 100 คนในพื้นที่นั้น ซึ่ง 1 รายในนั้นเสียชีวิตในอีก 17.3 วันต่อมา

ต่อมาเราใช้จำนวนวันเฉลี่ยที่จะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในที่นี้คือ 6.2 วัน นั่นก็แปลว่า ภายใน 17 วัน จำนวนผู้ติดเชื้อจะมีเพิ่มขึ้นประมาณ 8 เท่า (2^(17/6)) นั่นก็แปลว่า ถ้าวันนี้มีผู้เสียชีวิตจากโควิด 1 ราย ผู้ติดเชื้อจริงสะสมอาจจะสูงถึง 800 ราย

วันนี้ในรัฐวอชิงตันมีผู้เสียชีวิต 22 ราย หากคำนวนคร่าวๆจะได้จำนวนผู้ติดเชื้อจริงประมาณ 16,000 ราย ซึ่งมามากพอๆกับจำนวนผู้ที่ถูกวินิจฉัยแล้วในอิตาลี่แลอิหร่านรวมกัน

หากเราเจาะลึกลงไปในรายละเอียด จะเห็นได้ว่าผู้เสียชีวิต 19 ราย มาจากเหตุการณ์การแพร่เชื้อเดียวกัน ซึ่งอาจจะไม่ได้มีการแพร่กระจายในวงกว้าง เราจึงอาจจะนับผู้เสียชีวิต 19 รายนี้ เป็นกลุ่มเดียวกัน แล้วนำไปบวกกับผู้เสียชีวิตรายอื่นๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน (1+3) จะได้ทั้งหมด 4 ราย แล้วนำเลขนี้ไปอัพเดทการคำนวนใหม่ จะได้ผลออกมาว่า มีผู้ติดเชื้อจริงแล้วประมาณ 3,000 รายนั่นเอง

อีกวิธีการหนึ่งมาจากคุณ Trevor Bedford ให้ดูที่ตัวไวรัสและการกลายพันธุ์เพื่อที่จะประเมินจำนวนผู้ติดเชื้อจริง

สรุปสั้นๆว่า ขณะนี้อาจจะมีผู้ติดเชื้อจริงแล้วกว่า 1,100 รายในรัฐวอชิงตัน

ไม่มีวิธีการประเมินไหนที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งหมดก็ชี้ให้เห็นว่าถึงแม้เราจะไม่รู้จำนวนผู้ติดเชื้อจริง แต่จริงๆแล้วมันจะต้องมากกว่าที่เราตรวจพบอย่างแน่นอน และมันอาจจะไม่ใช่เพียงหลักร้อย แต่อาจจะเป็นหลักพันหรือมากกว่านั้น

อ่าวซานฟรานซิสโก

ถึงวันที่ 8/3 บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโกยังไม่มีผู้เสียชีวิต ซึ่งทำให้การคำนวนหาจำนวนผู้ติดเชื้อจริงเป็นเรื่องยาก จำนวนผู้ติดเชื้อที่ตรวจพบแล้วมีทั้งหมด 86 ราย แต่การตรวจที่ผ่านมานั้นอาจมีจำนวนน้อยเกินไป เนื่องจากชุดตรวจมีไม่มากพอ

ตามตารางด้านล่างเป็นจำนวนผู้ที่ได้รับการตรวจไวรัสโควิดในแต่ละประเทศ ณ วันที่ 3 มีนาคม

Sources for each number here

ยังไม่มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อในประเทศตุรกี แต่ประเทศนี้ได้ทำการตรวจหาผู้ติดเชื้อไปมากกว่าอเมริกาถึง 10 เท่าเลยทีเดียว สถานการณ์ก็ยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากจนถึงวันนี้อเมริกาเองได้ตรวจหาผู้ติดเชื้อไปเพียง 8,000 ครั้งเท่านั้น ซึ่งอาจจะเท่ากับเพียง 4,000 คนเท่านั้น (อ้างอิงจากแหล่งข่าวนี้)

ตอนนี้ทุกท่านสามารถใช้อัตราส่วนระหว่างจำนวนผู้ติดเชื้อที่ถูกตรวจพบและจำนวนผู้ติดเชื้อจริง แล้ววิธีการไหนหละถึงดีที่สุด สำหรับอ่าวซานฟรานซิสโก ทางการพยายามตรวจทุกคนที่เคยไปในพื้นที่เสี่ยงหรือใกล้ชิดผู้ป่วย ซึ่งแปลว่าพวกเขารู้ว่าใครบ้างคือคนที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยนั้นๆ แต่พวกเขาอาจจะไม่รู้หากเป็นเคสที่แพร่กระจายในพื้นที่

เรามาดูอัตราส่วนของเกาหลีใต้กันบ้าง ในขณะที่พบผู้ติดเชื้อแล้วประมาณ 86 ราย กว่า 86% ติดเชื้อมาจากการแพร่กระจายในพื้นที่ (เลข 86 เท่ากันโดยบังเอิญนะครับ)

จากอัตราส่วนของเกาหลีใต้ ทุกท่านสามารถคำนวนได้ง่ายๆว่า ถ้าอ่าวซานฟรานซิสโก มีผู้ติดเชื้อแล้ว 86 ราย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ติดเชื้อจริงประมาณ 600 รายเลยทีเดียว

ฝรั่งเศส และ กรุงปารีส

ทางการฝรั่งเศสแจ้งว่าขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสม 1,400 ราย และ ผู้เสียชีวิต 30 ราย หากใช้วิธีการคำนวนทั้งสองแบบตามที่กล่าวมาข้างต้น เราจะประเมินได้ว่า มีผู้ติดเชื้อจริงอยู่ระหว่าง 24,000 ถึง 140,000 ราย

จำนวนผู้ติดเชื้อจริงในฝรั่งเศส ณ วันนี้อาจจะอยู่ประมาณ 24,000 ถึง 140,000 ราย

หากทุกท่านยังไม่ค่อยแน่ใจ เรามาลองดูกราฟของอู่ฮั่นกันอีกครั้ง

Source: Tomas Pueyo analysis over chart and data from the Journal of the American Medical Association

ถ้าทุกท่านลองรวมจำนวนของแท่งสีเหลืองจนถึงวันที่ 22/1 คุณจะรวมได้ 444 ราย ทีนี้ลองรวมจำนวนของผู้ติดเชื้อจริงในแท่งสีฟ้า คุณจะได้ 12,000 ราย ซึ่งก็แปลว่าตอนที่อู่ฮั่นตรวจพบผู้ติดเชื้อทั้งหมด 444 ราย ในความเป็นจริงมีผู้ที่ติดเชื้อจริงและออกอาการแล้วสูงกว่านั่น 27 เท่า ซึ่งถ้าหากในประเทศฝรั่งเศสตรวจพบทั้งหมด 1,400 ราย ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีผู้ติดเชื้อจริงเกินกว่าหมื่นรายแล้ว

ลองใช้วิธีการคำนวนแบบเดียวกันกับกรุงปารีส ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ 30 ราย จำนวนผู้ติดเชื้อจริงน่าจะอยู่ที่หลักร้อย หรือมากกว่านั้น

สเปน และกรุงมาดริด

สเปนตรวจพบผู้ติดเชื้อจำนวนใกล้เคียงกับประเทศฝรั่งเศส (1,200 ราย กับ 1,400 ราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตเท่ากันที่ 30 ราย) นั่นก็แปลว่าทั้งสองประเทศอาจจะมีผู้ติดเชื้อจริงประมาณสองหมื่นรายเหมือนกัน

ตอนนี้ที่แคว้นมาดริดมีการตรวจพบกว่า 600 ราย และมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 17 ราย ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อจริงอาจจะอยู่ระหว่าง 10,000 ถึง 60,000 ราย

หากคุณคิดว่าตัวเลขนี้มันไม่น่าจะเป็นจริงไปได้ ให้ลองคิดดูว่า แล้วทำไมล่ะ อู่ฮั่นถึงปิดเมืองตั้งแต่ตรวจเจอผู้ติดเชื้อไม่ถึงหนึ่งพันราย

ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่เราเห็น ณ วันนี้ในประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สเปน ฝรั่งเศส อิหร่าน เยอรมัน ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ ล้วนอยู่ในระดับเดียวกันกับตอนที่อู่ฮั่นได้ถูกปิดไปแล้ว

และถ้าทุกท่านคิดว่า ก็อู่ฮั่นเป็นเพียงเมืองเมืองหนึ่ง ให้ลองคิดดูว่าที่อู่ฮั่นมีประชากรมากถึง 60 ล้านคน ซึ่งมากกว่าประเทศสเปน และขนาดก็ใหญ่พอๆกับประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศเลย

2. อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไวรัสโคโรนาแพร่กระจายออกไปจริงๆ

ความเป็นจริงคือไวรัสโคโรน่าอยู่ในหลายๆพื้นที่แล้ว ซึ่งกำลังแพร่กระจายอย่างมาก เพียงแต่พวกเราอาจจะตรวจหาไม่พบ

อัตราการเสียชีวิต

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ประกาศออกมาว่าอัตราการเสียชีวิตของโรคนี้อยู่ที่ประมาณ 3.4%

จริงๆแล้วสำหรับโรคนี้ในแต่ละประเทศจะมีอัตราการเสียชีวิตที่ไม่เท่ากัน ซึ่งอาจจะอยู่ระหว่าง 0.6% เฉกเช่นประเทศเกาหลีใต้ หรือ อาจสูงถึง 4.4% ดั่งในประเทศอิหร่าน แล้วมันจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ล่ะ มาดูกัน

ตอนนี้มีการคำนวนอัตราการเสียชีวิตอยู่2วิธีด้วยกันคือ นำจำนวนผู้เสียชีวิตหารด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด หรือ นำจำนวนผู้เสียชีวิตหารด้วยจำนวนเคสที่ปิดไปแล้ว(รักษาหายหรือตาย) วิธีแรกอาจจะเป็นการคาดการณ์ตัวเลขที่ค่อนข้างจะต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะว่ายังมีผู้ป่วยอีกเป็นจำนวนมากที่เรายังไม่ทราบผลสุดท้าย ส่วนวิธีที่สองนั้นคงจะเป็นการประเมินที่สูงเกินความเป็นจริง เพราะว่าผู้ที่เสียชีวิตจะตายในเวลาที่สั้นกว่าคนที่รอดนั่นเอง

ข้อมูลจากประเทศจีนชี้ให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตจะอยู่ระหว่าง 3.6%-6.1% ถ้าเราลองคาดการณ์ไปในอนาคตจนกระทั่งสถานการณ์จบลง ตัวเลขนี้น่าจะอยู่ราวๆ 3.8% — 4% เสียมากกว่า ซึ่งเป็นอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าไข้หวัดถึง 30 เท่า

ตัวเลขที่อ้างอิงนั้นมาจากข้อมูลของมณฑลเหอเป่ย์กับภูมิภาคที่เหลือของประเทศจีน

อัตราการเสียชีวิตของเหอเป่ย์เมื่อสิ้นสุดแล้วอาจจะอยู่ที่ประมาณ 4.8% ในขณะที่ส่วนอื่นๆของจีนอยู่ที่ 0.9%

ส่วนประเทศอื่นๆที่น่าสนใจคือ อิหร่าน อิตาลี และ เกาหลีใต้ เพราะเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงพอที่จะนำมาคำนวนแบบเชื่อถือได้

หากเรานำจำนวนผู้เสียชีวิตของอิหร่านและอิตาลี่ในตอนนี้รวมกัน แล้วหารด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่ตรวจพบทั้งหมด จะได้อัตราการเสียชีวิตที่ประมาณ 3% — 4% ส่วนตัวผมคิดว่าตัวเลขน่าจะจบที่ประมาณนี้เช่นกัน

เกาหลีใต้เป็นประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด เนื่องจากตัวเลขจากการคำนอนทั้งสองแบบนี้ยังไม่สัมพันธ์กันนัก หากคำนวนอัตราการเสียชีวิตด้วยวิธีแรกจะอยู่ที่เพียง 0.6% เท่านั้น แต่ถ้าใช้วิธีที่สองที่นำเคสที่ปิดแล้วมาเป็นตัวหาร อัตราการเสียชีวิตจะสูงถึง 48% ซึ่งเนื่องมาจากเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ตรวจหาผู้ติดเชื้อเยอะมาก และเคสอีกจำนวนมากยังไม่ถูกปิด ซึ่งในเคสที่เสียชีวิตจะปิดเร็วกว่ามาก ซึ่งอัตราการเสียชีวิตสุดท้ายนั้นน่าจะขึ้นอยู่กับระบบสาธารณสุขและการบริหารจัดการวิกฤติมากกว่า

ตัวอย่างสุดท้ายที่เกี่ยวข้องคือเรือสำราญไดมอนด์ปริ้นเซส ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 706 ราย จำนวนผู้เสียชีวิต 6 ราย และผู้ที่หายดีแล้ว 100 ราย จากตัวเลขนี้อัตราการเสียชีวิตจะอยู่ราวๆ 1% — 6.5%

อีกตัวแปรหนึ่งคือจำนวนผู้สูงอายุในแต่ละประเทศ เนื่องจากผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตสูงกว่ามาก ฉะนั้นในประเทศเช่น ญี่ปุ่นจึงมีโอกาสที่อัตราการเสียชีวิตจะสูงกว่า

สรุปเรื่องอัตราการเสียชีวิต

· ถ้าเราไม่นับประเทศเกาหลีใต้ และส่วนที่เหลือของประเทศจีนที่มีการเตรียมพร้อมดีกว่าประเทศอื่นๆมาก อัตราการเสียชีวิตโดยส่วนใหญ่น่าจะอยู่ราวๆ 3% — 5%

พูดอีกนัยหนึ่งคือประเทศที่เริ่มใช้มาตรการเร็วกว่า จะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ดีกว่าประเทศอื่นมาก

ประเทศที่เริ่มใช้มาตรการเร็วกว่า จะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ดีกว่าประเทศอื่นมาก

แล้วอะไรคือสิ่งที่แต่ละประเทศต้องเตรียมตัว?

ลองมาดูสิ่งที่จะทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศนั้นๆล่ม

ประมาณ 20% ของผู้ป่วยทั้งหมดจะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และกว่า 5% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดจะเป็นเคส ICU และอีกประมาณ 2.5% จำเป็นจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

ประเด็นหลักคือเครื่องช่วยหายใจในแต่ละประเทศนั้นมีน้อย ในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา มีเครื่องช่วยหายใจเพียง 250 เครื่องเท่านั้น

ซึ่งอยู่ดีๆถ้าเกิดมีผู้ป่วยประมาณ 100,000 ราย ตามอัตราส่วนที่กล่าวไปจะต้องมีผู้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประมาณ 20,000 ราย และกว่า 5,000 รายจะต้องเข้า ICU แค่นั้นยังไม่พอ เกินกว่า 1,000 ชีวิตจำเป็นจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งมีไม่พอ

ยังมีเรื่องของอุปกรณ์อื่นๆอีก เช่นหน้ากากอนามัย ในประเทศอย่างอเมริกานั้น ถ้าหากเพียง 1% ของบุคลากรทางการแพทย์ต้องการใช้หน้ากาก (N95, หรือหน้ากากอนามันอื่นๆ) จำนวนหน้ากากในประเทศนั้นจะมีเพียงพอแค่สำหรับ 2 สัปดาห์เท่านั้น

ในประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และ ประเทศจีน ได้มีการเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ดีกว่าประเทศอื่นๆในยุโรปมาก แล้วเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรหละ?

มาดูกันว่าเมื่อระบบสาธารณสุขล่มจะเป็นอย่างไร

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วกับมณฑลเหอเป่ย์ คล้ายคลึงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอิตาลีเป็นอย่างมาก เหอเป่ย์ได้สร้างโรงพยาบาลใหม่สองแห่งภายในสิบวัน แต่กระนั้นเองระบบสาธารณสุขของมณฑลนั้นก็ยังรับมือไม่ไหวอยู่ดี

ทั้งสองประเทศมีผู้ป่วยจำนวนมากจนจำเป็นจะต้องรักษาผู้ป่วยในโถงทางเดินเนื่องจากห้องและเตียงมีจำนวนไม่เพียงพอ

บุคคากรทางการแพทย์จำนวนมาก จะไม่สามารถหยุดงานได้ การทำงานเป็นกะจะไม่มีอีกต่อไป ทุกๆคนจะต้องเตรียมพร้อมทำงานอยู่เสมอ

Francesca Mangiatordi, an Italian nurse that crumbled in the middle of the war with the Coronavirus

จนกระทั่งวันหนึ่งบุคคลเหล่านี้อาจจะมีอาการป่วยซะเอง ซึ่งเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในประเทศที่มีการระบาดไปแล้ว เพราะว่าบุคคลเหล่านี้จะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเชื้อโรคนี้อยู่ตลอดเวลา เมื่อพวกเขาป่วย เขาจะต้องกักตัวเป็นเวลา14วัน นั่นทำให้บุคลากรทางการแพทย์ลดน้อยลงไปอีก

สิ่งที่แย่ที่สุดคือ เมื่อผู้ป่วยในห้อง ICU ต้องการเครื่องช่วยหายใจ แต่มีจำนวนเครื่องไม่เพียงพอ ทำให้หมอต้องตัดสินใจว่าจะช่วยใคร นั่นหมายถึงผู้ที่ไม่ได้รับการช่วยเหลืออาจถึงกับชีวิตได้

“หลังจากที่เหตุเกิดเพียงไม่กี่วัน พวกเราต้องเลือกว่าใครจะได้ใช้เครื่องช่วยหายใจ เราตัดสินใจด้วยอายุและสุขภาพของผู้ป่วย ณ เวลานั้น” — คริสเตียน ซาราโรลี่ แพทย์ชาวอิตาลีกล่าว

Medical workers wear protective suits to attend to people sickened by the novel coronavirus, in the intensive care unit of a designated hospital in Wuhan, China, on Feb. 6. (China Daily/Reuters), via Washington Post

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ส่งผลกระทบกับอัตราการเสียชีวิตโดยตรง ซึ่งหากถึงขั้นวิกฤต อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึง 4% แต่ถ้าหากรับมือได้ดี อาจจะอยู่เพียง 0.5%

Satellite images show Behesht Masoumeh cemetery in the Iranian city of Qom. Photograph: ©2020 Maxar Technologies. Via The Guardian and the The New York Times.

3. เราควรทำอย่างไรล่ะ?

ทำให้กราฟต่ำลง (ลดอัตราการติดเชื้อ)

เราไม่สามารถทำให้การระบาดหายไปได้ แต่เราจะต้องทำให้อัตราการแพร่กระจายของมันลดลง

ในบางประเทศอย่างเช่นไต้หวันทำได้ดีมาก ถึงแม้ว่าไต้หวันจะมีพรมแดนติดกับประเทศจีน แต่ถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อเพียง 50 รายเท่านั้น ในงานวิจัยก่อนหน้าได้อธิบายมาตรการต่างๆของไต้หวันไว้อย่างละเอียด

ไต้หวันได้ป้องกันการระบาดเป็นอย่างดี แต่ในอีกหลายประเทศที่ไม่มีความเชี่ยวชาญนั้น ผลที่ได้รับอาจจะต่างกันมาก

ถ้าหากเราลดอัตราการติดเชื้อให้ต่ำที่สุด นั่นหมายความว่าระบบสาธารณสุขจะยังคงรับมือได้ และอัตราการเสียชีวิตจะต่ำลงมาก การลดอัตราการแพร่ระบาดไม่ได้ทำให้โรคนี้หายไป แต่หากเรารักษาระดับได้นานเพียงพอจนวัคซีนได้ถูกผลิตออกมา สถานการณ์ก็อาจจะคลี่คลายได้

Source

ยิ่งเราสามารถกดกราฟนี้ให้ต่ำลงได้มากเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นผลดีกับทุกฝ่าย และทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลงเป็นอย่างมาก

แล้วการกดกราฟลงต้องทำอย่างไร?

โซเชียล ดิสแทนซิ่ง Social Distancing

หากเรากลับไปดูเคสของอู่ฮั่น จะเห็นได้ว่าผู้คนจะต้องอยู่ในบ้านและไม่อนุญาตให้พบกัน นั่นทำให้ไวรัสหยุดการแพร่กระจาย

ในทางวิทยาศาสตร์ ไวรัสตัวนี้สามารถฟุ้งกระจายในอากาศได้ไกลถึง 2 เมตร เมื่อมีการไอหรือจาม เมื่อเวลาผ่านไปละอองของไวรัสจะตกลงสู่พื้นและไม่ทำให้ผู้อื่นติดเชื้ออีก

สิ่งที่แย่ที่สุดคือ เมื่อไวรัสอยู่บนพื้นผิวของสิ่งต่างๆ แล้วเราไปจับมัน เช่นลูกบิดประตู โต๊ะทำงาน หรือ ปุ่มในลิฟท์ แล้วเรานำมือนั้นมาสัมผัสหน้าของเรา อาจทำให้ติดเชื้อไวรัสนี้ได้ และเชื้อนี้สามารถอยู่บนพื้นผิวของวัสดุบางประเภทได้นานถึง 9 วัน

หนทางเดียวที่จะลดการแพร่กระจายได้คือ การให้คนอยู่บ้าน และต้องนานพอที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

วิธีนี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วเมื่อปี 1918 เมื่อมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน

ดูจากกราฟ เราจะเห็นว่าเมือง St Louis ทำได้ดีกว่าเมือง Philadelphia มาก เนื่องจากทางรัฐได้บังคับใช้มาตรการเร็วกว่า

ข้างล่างเป็นกราฟของเมือง Denver ซึ่งมีการบังคับใช้มาตรการเช่นกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้มีการผ่อนปรนจึงทำให้เกิดการระบาดระลอกที่สองเกิดขึ้น และใหญ่กว่ารอบแรก

เมื่อเรานำสถิติของทุกเมืองมาดู จะได้ตามกราฟด้านล่าง

ในกราฟแสดงให้เห็นว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในบางรัฐอย่าง St Louis ต่ำกว่าเมือง Pittsburgh มาก เนื่องจากทางการบังคับใช้มาตการต่างๆก่อนถึง 6 วัน โดยเฉลี่ยแล้วถ้าบังคับใช้มาตรการเร็วขึ้น 20 วัน จะทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงถึงครึ่งหนึ่ง

ในที่สุดทางการของอิตาลีได้ก็ปิดเมืองลอมบาร์ดี หลังจากนั้นเพียง 1 วัน ทั้งประเทศก็ได้ปิดลง เพราะพวกเขาได้เข้าใจสิ่งที่ทำผิดพลาดและตระหนักได้ว่าจำเป็นที่จะต้องปิดทั้งประเทศ

หลังจากที่ปิดประเทศนั้น จะต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่จะเห็นการลดลงของจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ ถ้าดูจากกราฟของเมืองอู่ฮั่นในตอนต้นของบทความ อาจจะต้องใช้เวลาถึง 12 วันหลังปิดประเทศถึงจะเห็นผล

ทางการของแต่ละประเทศสามารถทำอะไรได้บ้าง?

การป้องกันการแพร่กระจาย

การป้องกันคือเราจะต้องมั่นใจว่าเราสามารถติดตามผู้ติดเชื้อทุกคนได้ และควบคุมให้ไม่เกิดการติดเชื้อต่อไปอีก ด้วยวิธีนี้คือเราจะต้องพยายามหาคนที่ติดเชื้อให้เจอเร็วที่สุด และกักตัวแยกไว้ บุคลากรทางการแพทย์จะต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันอย่างรัดกุม มาตรการนี้จะใช้ได้เป็นอย่างดีก็ต่อเมื่อประเทศของท่านได้เตรียมรับมือไว้ล่วงหน้าแล้วเท่านั้น

ไต้หวันได้ใช้มาตรการนี้เป็นอย่างดี และจีนเองก็เก่งเช่นกัน พวกเขาให้คนกว่า 1,800 ทีม ทีมละ 5 คน ในการติดตามผู้ป่วยแต่ละราย รวมถึงผู้ที่ใกล้ชิด และ ทุกคนที่เกี่ยวข้อง

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ประเทศทางตะวันตกทำ และตอนนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้วสำหรับบางประเทศ อย่างประเทศสหรัฐอเมริกาเองได้ประกาศมิให้ผู้คนจากประเทศยุโรปเดินทางเข้ามา แต่มาตรการนี้ถูกใช้ตอนที่จำนวนผู้ป่วยในอเมริกาสูงกว่า เหอเป่ย์ถึง 3 เท่า มาตรการนี้เพียงพอต่อการหยุดยั้งการแพร่ระบาดหรือไม่ เราสามารถดูได้จากการห้ามเดินทางของคนในอู่ฮั่น

Link to source

กราฟได้แสดงผลลัพธ์ของการห้ามเดินทางของอู่ฮั่น มาตรการนี้ช่วยเพียงชะลอการแพร่ระบาดเท่านั้น ขนาดของวงกลมแสดงถึงจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันนอกอู่ฮั่น หากเราไม่ทำอะไรเลยจะเป็นอย่างบรรทัดบนสุด บรรทัดที่สองคือเมื่อลดการเดินทางลง 40% และบรรทัดสุดท้ายคือเมื่อลดการเดินทางลง 90% กราฟนี้ถูกสร้างโดยนักระบาดวิทยา

หากคุณไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง นั่นก็เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้น เพราะว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่เปลี่ยนแปลงการแพร่ระบาดของโรคด้วยการลดการเดินทางเพียงอย่างเดียว

งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า การห้ามการเดินทางของอู่ฮั่นนั้นช่วยเพียงชะลอการระบาดลง 3–5 วันเท่านั้น

ช่องด้านบนของกราฟคือกราฟที่ผ่านมา แต่ช่องตรงกลางแสดงให้เห็นว่า ถ้าหากเราลดอัตราการติดเชื้อลงอีก25%ด้วยวิธี Social Distancing จะเป็นอย่างไร และช่องล่างสุดคือเมื่อลดอัตราการติดเชื้อได้ 50% คุณจะสามารถชะลอการระบาดได้มากถึง14สัปดาห์ นั่นหมายถึงการชะลอออกไปกว่า1ไตรมาสเลยทีเดียว

มาตรการเพื่อบรรเทา หรือ การปราบปราม

ตามบทความใหม่ในเรื่อง Coronavirus: The Hammer and the Dance ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้

มาตรการเพื่อบรรเทานั้นในช่วงแรก จะใช้การตรวจหาผู้ติดเชื้อให้มากที่สุดและนำผู้คนเหล่านั้นไปกักตัวแยกไว้ ซึ่งเป็นการพยายามลดความชันของกราฟ แต่ไม่ได้เป็นการหยุดการแพร่ระบาดของโรค

แต่การปราบปรามเป็นการที่พยายามลดอัตราการติดต่อจากคนหนึ่งไปยังคนอื่นอีก 2–3 คน ให้เหลือต่ำกว่า 1 คน นั่นทำให้การแพร่ระบาดหยุดลงในที่สุด

ซึ่งแน่นอนว่าการทำแบบนี้จะต้องใช้มาตรการอันเด็ดขาดเช่นการปิดโรงเรียน การให้ผู้คนทำงานจากที่บ้าน และเมื่อสถานการณ์ย่ำแย่ลง มาตรการเหล่านี้ก็จะทวีความเข้มข้นมากขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่อิตาลีจำเป็นต้องทำในที่สุด ฝรั่งเศส สเปน และประเทศอื่นๆอีกมากจำเป็นจะต้องปิดประเทศเพื่อหยุดยั้งไวรัสนี้

ยังมีอีกหลายประเทศที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก แต่จำนวนผู้ติดเชื้อจริงอาจจะสูงกว่านั้น ซึ่งพวกเขาไม่ยอมที่จะปิดประเทศ ด้วยมาตรการขั้นต้น ประเทศเหล่านี้อาจจะลดอัตราการแพร่จาก 2.5 คน เหลือ 2.2 หรือ 2 คน แต่นั่นไม่เพียงพอที่จะหยุดการแพร่ระบาดอย่างแน่นอน

คำถามต่อมาก็คือ แล้วผลกระทบที่จะตามมา หากเราลดอัตราการแพร่กระจายมีอะไรบ้าง นี่คือมาตรการที่อิตาลีใช้ ณ ตอนนี้

· ห้ามทุกคนเข้าหรือออกจากพื้นที่ที่ถูกปิด ยกเว้นแต่ผู้ที่จำเป็นจะต้องทำงานเท่านั้น (เช่นบุคลากรทางการแพทย์)

· ห้ามออกจากที่อยู่อาศัย

· ผู้ที่มีอาการหรือมีไข้ ให้อยู่ในบ้านเท่านั้น

· บุคลากรทางการแพทย์จะทำงานแบบไม่มีเวลาพัก

· ต้องปิดโรงเรียน รวมทั้งสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก

· แม้แต่การเยี่ยมผู้ป่วยเองจะถูกจำกัด

· กีฬาและการแข่งขันต่างๆจะถูกห้าม

และหลังจากนั้นสองวัน มีการประกาศเพิ่มว่า เราจำเป็นจะต้องปิดทุกอย่างที่ไม่จำเป็น จะเหลือเพียงแต่ระบบขนส่งบางประเภท ร้านขายยา และ ซุปเปอร์มาเก็ตเท่านั้น

แล้วเราควรจะเลือกมาตรการต่างๆในช่วงเวลาที่แตกต่างกันอย่างไร? สามารถศึกษาได้จากบทความนี้ครับ Coronavirus: The Hammer and the Dance หนึ่งวิธีคือการค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการต่างๆ แต่นั่นก็หมายถึงว่าเราจะเปิดเวลาให้ไวรัสยังคงระบาดเพิ่มได้ หากต้องการวิธีที่ปลอดภัยที่สุดให้ดูอู่ฮั่นเป็นตัวอย่าง ในตอนแรกผู้คนอาจจะโวยวาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาจะเข้าใจในที่สุด

ผู้นำองค์กรต่างๆสามารถช่วย Social Distancing ได้อย่างไรบ้าง?

ถ้าหากคุณเป็นผู้นำในบริษัทต่างๆแล้วหละก็ สิ่งที่คุณควรทำนั้นสามารถศึกษาได้จากที่นี่ครับ Staying Home Club

ตามลิงค์จะประกอบถึงนโยบายการทำ Social Distancing ของบริษัทเทคโนโลยีต่างๆในอเมริกากว่า 328 นโยบาย

จริงๆแล้วมีเรื่องอีกมากที่บริษัทจะต้องคิด อย่างเช่นการอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้าน หรือการลดการเดินทางลง

บางอย่างที่จะต้องหาทางออกเพิ่มเช่น จะทำอย่างไรกับชั่วโมงการทำงานของพนักงาน จะต้องเปิดออฟฟิสไหม จะประชุมกันอย่างไร หากคุณอยากรู้ว่าบริษัท Course Hero ทำอย่างไร คุณสามารถศึกษาได้จากช่องทางนี้ครับ

4.เมื่อไหร่?

ถ้าหากคุณเห็นด้วยกับทั้งหมดที่ผมกล่าวมา และสงสัยว่าเราจะเริ่มใช้แต่ละมาตรการเมื่อไหร่หละก็ ลองคิดอีกวิธีหนึ่งครับ เรามาดูกันว่าอะไรจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเราควรเริ่มมาตรการไหนแล้วบ้าง

โมเดลที่ดูตัวชี้วัดจากความเสี่ยง

สำหรับโมเดลนี้ ผมได้ทำการสร้างไฟล์ไว้ที่นี่แล้ว

เพื่อที่จะได้ลองคาดการณ์ว่า จะมีผู้ติดไวรัสในที่ทำงานของท่านแล้วหรือยัง นั่นก็เป็นอีกตัวชี้วัดหนึ่งว่าคุณควรให้พนักงานทำงานจากที่บ้านแล้วหรือยัง

สิ่งที่คุณสามารถทดลองได้กับโมเดลนี้คือ

· ถ้าหากบริษัทคุณมีพนักงานจำนวน 100 คนในรัฐวอชิงตันที่มีผู้เสียชีวิตแล้ว 11 ราย ณ วันที่ 8/3 โมเดลจะทำนายว่ามีโอกาส 25% ที่พนักงานของคุณติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 1 คน และคุณควรจะปิดออฟฟิสเดี๋ยวนี้

· ถ้าหากบริษัทของคุณมีพนักงาน 250 คน และอยู่ใน South Bay ซึ่งตรวจพบผู้ติดเชื้อแล้ว 22 ราย และอาจจะมีผู้ติดเชื้อจริงประมาณ 54 ราย ในวันถัดมาโมเดลจะทำนายว่า บริษัทของคุณมีโอกาสประมาณ 2% ที่พนักงานของคุณติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 1 คน และคุณก็ควรที่จะปิดออฟฟิสเช่นกัน

· [อัพเดทวันที่ 12/3] ถ้าบริษัทคุณอยู่ในกรุงปารีส และมีพนักงานกว่า 250 คน วันนี้มีโอกาสที่พนักงานของคุณจะคิดเชื้อแล้วอย่างน้อย1คน กว่า 95% และคุณก็ควรที่จะปิดออฟฟิสแน่นอน

ในไฟล์โมเดลนั้น จะใช้คำว่า “Company” และ “Employee” แต่นั่นก็หมายถึงคุณสามารถที่จะใช้มันกับโรงเรียน หรือ สถานที่ต่างๆได้เช่นกันฉะนั้นถ้าคุณมีบริษัทที่มีพนักงานประมาณ 50 คนในกรุงปารีส แต่พนักงานนั้นเดินทางมาจาเมืองอื่นๆอีก นั่นแปลว่าความเสี่ยงของคุณยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน

ถ้าหากคุณยังเพิกเฉยๆกับสิ่งเหล่านี้ ลองมาดูข้อนี้กัน กว่า26% ของการติดต่อ เกิดขึ้นก่อนที่บุคคลเหล่านั้นจะมีอาการ

สรุป: ผลกระทบของการรอ

มันอาจจะเป็นเรื่องน่ากลัวที่จะต้องตัดสินใจในวันนี้ แต่มาลองติดแบบนี้ดีกว่า

กราฟนี้แสดงถึงพื้นที่ที่แตกต่างกัน เส้นสีดำคือพื้นที่ที่ไม่ใช้ Social Distancing พื้นที่ของเส้นสีแดงบังคับใช้มาตรการนี้ช้ากว่าพื้นที่ของเส้นสีเขียว 1 วัน สิ่งนี้แสดงให้เห็นความสำคัญของการเริ่มใช้มาตรการเร็วขึ้นเพียง1วัน ในเหอเป่ย์ ณ วันที่มีผู้ติดเชื้อใหม่กว่า 6,000 คนต่อวัน คุณจะเห็นว่าหลังการบังคับใช้ ตัวเลขของการพบผู้ติดเชื้อจะยังไม่ลดลง แต่ในความเป็นจริง การติดเชื้อเพิ่มนั้นจะหยุดชะงักไปแล้ว

แล้วเคสสะสมเป็นอย่างไร?

ตามโมเดลทางคณิตศาสตร์โดยอ้างอิงข้อมูลของเหอเป่ย์ การออกมาตรการช้าหนึ่งวัน จะทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 40% ฉะนั้นหากทางการปิดเมืองเหอเป่ยในวันที่ 22 แทนที่จะเป็นวันที่ 23 พวกเขาอาจจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้มากถึง 20,000 รายเลยทีเดียว

และอย่าลืมว่ามันไม่ใช่เพียงจำนวนข้อผู้ติดเชื้อเท่านั้น แต่จำนวนของผู้เสียชีวิตอาจจะลดลงมากกว่า 40% เพราะว่า เมื่อเราสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้ นั่นก็หมายถึงคนที่ต้องไปโรงพยาบาลจะน้อยลง และบุคลากรทางการแพทย์ก็จะสามารถช่วยชีวิตคนได้มากขึ้นเช่นกัน

ความเสี่ยงของทุกๆวันที่เพิ่มขึ้น เป็นความเสี่ยงแบบทวีคูณ ถ้าหากการบังคับใช้มาตรการต่างๆช้าออกไปเพียงหนึ่งวัน นั่นมิได้หมายถึงจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นเพียงน้อยนิด แต่อาจจะมากถึงร้อยหรือพันเคสเลยทีเดียว หากเรายังไม่เริ่มใช้ Social Distancing ในวันนี้ นั่นหมายถึงจำนวนของผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ

แชร์บทความนี้ออกไป

นี่อาจเป็นเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่การแชร์บทความอาจจะหมายถึงการช่วยชีวิตคนไว้ได้ ทุกๆคนควรจะมีความเข้าใจถึงสถานการณ์เพื่อเตรียมตัวที่จะป้องกันภัยอัตรายข้างหน้า พวกเราต้องเริ่มช่วยกันตั้งแต่วันนี้

--

--

Aiesoon Sumransub
Aiesoon Sumransub

Written by Aiesoon Sumransub

MSc Data Science Candidate — City, University of London /Data Intelligence Engineer

No responses yet