แคลอรี่ (Calories)หมายถึงหน่วยวัดพลังงานอย่างหนึ่งของของกิน ส่วนมากแล้ว จะซึ่งก็คือพลังงานที่ได้รับจากการบริโภคของกินแล้วก็เครื่องดื่ม หรือพลังงานที่ร่างกายใช้ทำกิจกรรมต่างๆมักเรียกว่า “กิโลแคลอรี่” (Kilocalories) ซึ่งจะเขียนอยู่บนฉลากของกินว่า kcal โดยปกติ ร่างกายอยากแคลอรี่ เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานสำหรับเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆตั้งแต่หายใจไปจนกระทั่งกิจกรรมที่จำต้องเคลื่อนร่างกาย ดังเช่นว่า การเดินหรือการวิ่ง อย่างไรก็แล้วแต่ แม้รับปริมาณแคลอรี่มากยิ่งกว่าที่เผาผลาญออกไป ร่างกายจะดัดแปลงพลังงานพวกนั้นเป็นไขมันส่วนเกินเก็บสะสมตามร่างกาย ทำให้น้ำหนักตัวมากขึ้น

แคลอรี่

ความต่างระหว่างกิโลแคลอรี่ (kcals) แล้วก็กิโลจูล (kJ)

โดยธรรมดา ฉลากของสินค้าของกินและก็เครื่องดื่มต่างๆจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับน้ำหนักของของกินหรือเครื่องดื่ม องค์ประกอบของของกินหรือเครื่องดื่ม ส่วนประกอบที่อาจก่อให้มีการแพ้ แนวทางรักษาสินค้า และก็เนื้อหาเกี่ยวกับจำนวนพลังงานที่ได้รับจากการบริโภคของกินหรือเครื่องดื่มนั้นๆโดยเนื้อหาเกี่ยวกับแคลอรี่หรือจำนวนพลังงานที่กำลังจะได้รับเรียกว่าข้อมูลทางโภชนาการ ข้อมูลดังที่กล่าวผ่านมาแล้วจะช่วยทำให้คนซื้อสามารถคำนวณจำนวนพลังงานที่ได้รับในทุกๆวันได้อย่างเหมาะควร หน่วยพลังงานหรือแคลอรี่ที่กำหนดบนฉลากของสินค้าแต่ละอย่าง จะใช้ว่า kcals ซึ่งย่อมาจาก Kilocalories (กิโลแคลอรี่) คำว่ากิโลแคลอรี่ นับว่าเป็นคำเรียกของแคลอรี่อีกคำหนึ่ง ดังนี้ ยังปรากฏคำเรียกสำหรับหน่วยวัดพลังงานหรือแคลอรี่ว่า “กิโลจูล” (Kilojoules, kJ) โดยคำนี้เป็นหน่วยวัดแคลอรี่ระบบเมตริกที่ใช้กันอย่างล้นหลามในสากล

พลังงานปริมาณ 1 กิโลแคลอรี่ พอๆกับพลังงานปริมาณ 4.2 กิโลจูล แม้อยากได้แปลงหน่วยพลังงานจากกิโลแคลอรี่เป็นกิโลจูล สามารถทำเป็นโดยนำปริมาณพลังงานของหน่วยกิโลแคลอรี่คูณกับ 4.2 ก็จะได้ปริมาณพลังงานในหน่วยกิโลจูล

ปริมาณแคลอรี่ที่ควรจะได้รับ

โดยปกติ ร่างกายควรจะได้รับพลังงานในทุกๆวันอย่างพอเพียงแล้วก็สมควร โดยเพศชายควรจะได้รับพลังงานจากการบริโภคของกินหรือเครื่องดื่มในจำนวน 2,500 กิโลแคลอรี่ (10,500 กิโลจูล) ส่วนเพศหญิงควรจะได้รับพลังงานในทุกๆวันไม่เกิน 2,000 กิโลแคลอรี่ (8,400 กิโลจูล) ดังนี้ เด็กแต่ละวัยมีความต้องการแคลอรี่ต่างกัน โดยเด็กโตอยากพลังงานสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆมากยิ่งกว่าเด็กตัวเล็กๆ ส่วนวัยรุ่นอยากพลังงานในปริมาณที่ใกล้เคียงกับคนแก่ แต่ จำนวนพลังงานที่ได้รับในทุกวันนั้นบางทีอาจนานับประการตามต้นเหตุอื่น อย่างเช่น เพศ อายุ น้ำหนักแล้วก็ความสูงของร่างกาย หรือกิจกรรมที่ทำในทุกๆวัน ข้อมูลทางโภชนาการที่เจาะจงบนฉลากสินค้าต่างๆนับว่าเป็นอุปกรณ์ช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจปริมาณแคลอรี่ของของกินหรือเครื่องดื่มที่กินเข้าไปได้ โดยข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจะเจาะจงข้อมูลของไขมัน ไขมันอิ่มตัว คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล โปรตีน แล้วก็เกลือ ในจำนวน 100 กรัม หรือหนึ่งหน่วยบริโภคของของกินหรือเครื่องดื่มนั้นๆ

ยิ่งกว่านั้น ฉลากของสินค้าของกินรวมทั้งเครื่องดื่มยังกำหนดจำนวนสารอาหารที่ควรจะได้รับในทุกวัน (Reference Intake: RI) ไว้ด้วย ซึ่งมีข้อมูลของสารอาหารต่างๆและก็พลังงานที่ต้องต่อสถาพทางร่างกาย โดยธรรมดา คนแก่ที่ทำกิจกรรมตามเดิมควรจะได้รับพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่ จากสารอาหารแต่ละอย่างในจำนวนที่สมควร ยกตัวอย่างเช่น ไขมันทั้งปวง 70 กรัม ไขมันอิ่มตัว 20 กรัม คาร์โบไฮเดรต 260 กรัม น้ำตาลทั้งหมดทั้งปวง 90 กรัม โปรตีน 50 กรัม รวมทั้งเกลือ 6 กรัม โดยมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้

ไขมัน เป็นสารอาหารที่จำเป็นต้องต่อสภาพร่างกาย โดยจะช่วยทำให้ร่างกายได้รับพลังงานรวมทั้งซับวิตามินต่างๆดังเช่นว่า วิตามินเอหรือวิตามินดี รวมถึงสร้างเสริมไขมันจำเป็นจะต้องบางสิ่งที่ร่างกายไม่อาจจะสร้างได้เอง แม้กระนั้น คนซื้อควรจะกินไขมันในจำนวนที่เหมาะเจาะ โดยไขมันแบ่งได้เป็น 3 จำพวกหลัก เป็นต้นว่า ไขมันอิ่มตัว (Saturated Fats) ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงคนเดียว (Monounsaturated Fats) รวมทั้งไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fats) สินค้าของกินจำนวนมากมักมีไขมันอีกทั้ง 3 ประเภทรวมกันอยู่ นอกจากนั้น ไขมันอิ่มตัวแล้วก็ไขมันทรานส์ (Trans Fats) ยังจัดเป็นไขมันที่ไม่ใช้เรื่องดีสำหรับสุขภาพ ส่วนไขมันประเภทไม่อิ่มตัวนับว่าเป็นไขมันดีที่มีสาระต่อสถาพทางร่างกาย พบได้มากในเมล็ดพืช เมล็ดพืช ถั่วต่างๆผัก รวมทั้งผลไม้ เป็นต้นว่า ถั่วเหลือง ข้าวโพด น้ำมันงา น้ำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันที่ทำจากมะกอก ช่วยเพิ่มระดับไขมันดีให้กับร่างกาย ดังนี้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดลิ่มเลือด ปรับระดับการเต้นของหัวใจให้ปกติ และก็ฟื้นฟูร่างกายให้ดียิ่งขึ้นข้างหลังเจอสภาวะหัวใจล้มเหลว แม้กระนั้น สินค้าของกินมักเจาะจงจำนวนไขมัน 2 ชนิดที่ควรจะได้รับ ยกตัวอย่างเช่น ไขมันทั้งผอง รวมทั้งไขมันอิ่มตัว ดังต่อไปนี้
ไขมันทั้งสิ้น จำนวนไขมันทั้งหมดทั้งปวงที่กำหนดบนฉลากสินค้าของกินหรือเครื่องดื่มนับได้ว่าเป็นสารอาหารที่ต้องต่อสถาพทางร่างกายมากมาย เพราะไขมันทุกประเภทจะให้ปริมาณแคลอรี่เสมอกัน
ไขมันอิ่มตัว ไขมันอิ่มตัวจะเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลภายในร่างกายให้สูงมากขึ้น ซึ่งทำให้เสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ ผู้ใช้ควรจะแทงบอลออนไลน์กินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวในจำนวนน้อย โดยไขมันประเภทนี้พบได้มากในน้ำมันหมู เนย หรือไขมันสัตว์ เค้ก บิสกิต สินค้าเนยนมที่มีไขมันสูง
คาร์โบไฮเดรต คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย โดยร่างกายจะแปลงคาร์โบไฮเดรตมาเป็นพลังงานในรูปของเดกซ์โทรส เพื่อช่วยทำให้อวัยวะต่างๆดำเนินงานได้ตามเดิม รวมถึงรักษามวลกล้ามในร่างกายเอาไว้ แม้ร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตน้อยเกินไป ก็จะนำกรดไขมันมาดัดแปลงเป็นพลังงานสำหรับเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆขั้นตอนการดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วจะมีผลให้กำเนิดคีโตน ซึ่งจะต้องสลายตัวโปรตีนแล้วก็ทำให้สูญเสียมวลกล้ามได้ คาร์โบไฮเดรตแบ่งได้เป็น 2 จำพวก ดังเช่นว่า น้ำตาลเชิงโดดเดี่ยว (Simple Sugars) รวมทั้งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrates) โดยคาร์โบไฮเดรตรูปแบบน้ำตาลเชิงคนเดียวจะดัดแปลงเป็นพลังงานได้เร็ว พบมากในน้ำตาล ไซรัป น้ำเชื่อม น้ำผึ้ง หรือน้ำตาลมะพร้าว อย่างเช่น แยมทาขนมปัง ทอฟฟี่ น้ำผลไม้ ส่วนคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะเบาๆถูกดัดแปลงเป็นพลังงานให้ร่างกาย เจอในของกินที่มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่แล้ว ได้แก่ นม ผัก ผลไม้ ขนมปัง ข้าว หรือมันฝรั่ง
น้ำตาลทั้งปวง น้ำตาล เป็นสารให้ความหวาน แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ตัวอย่างเช่น น้ำตาลสังเคราะห์ที่ใช้เพิ่มรสในของกินหรือเครื่องดื่มต่างๆอย่างเช่น ซูโครส หรือเดกซ์โทรส และก็น้ำตาลที่มาจากธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น น้ำผึ้ง ไซรัป น้ำผลไม้ที่ไม่เพิ่มน้ำตาลสังเคราะห์ เลวูโลสในผลไม้ หรือแลคโทสในนม ผู้ซื้อควรจะบริโภคน้ำตาลแม้กระนั้นน้อย เพราะว่าน้ำตาลให้พลังงาน แม้กระนั้นมิได้ให้สารอาหารเพื่อไปสร้างเสริมหลักการทำงานของร่างกาย ดังนี้ น้ำตาลมีอยู่แล้วในของกินทั่วๆไป คนซื้อไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มเติมน้ำตาลเพื่อเพิ่มรส เพราะว่าการบริโภคน้ำตาลมากจนเกินความจำเป็นจะก่อให้ฟันผุ โดยเด็กควรจะบริโภคของกินหรือเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลในจำนวนที่สมควร ดังต่อไปนี้
เด็กอายุ 4–6 ปี ควรจะบริโภคน้ำตาล 19 กรัม หรือน้ำตาล 5 ก้อน
เด็กอายุ 7–10 ปี ควรจะบริโภคน้ำตาล 24 กรัม หรือน้ำตาล 6 ก้อน
เด็กอายุ 11 ปี หรือมากยิ่งกว่านั้น ควรจะบริโภคน้ำตาล 30 กรัม หรือน้ำตาล 7 ก้อน
โปรตีน โปรตีนนับเป็นสารอาหารที่จำเป็นต้องต่อสถาพทางร่างกายอีกอย่างหนึ่ง เนื่องมาจากจะช่วยสร้างเสริมแนวทางการซ่อมเยื่อส่วนที่สึกกร่อน และปรับปรุงร่างกายให้เจริญวัยตามธรรมดา แม้ได้รับโปรตีนในจำนวนมากเกินสิ่งที่ต้องการ ร่างกายจะนำไปดัดแปลงเป็นพลังงาน เพื่อใช้ทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน
แนวทางตรวจปริมาณแคลอรี่บนฉลากของกินรวมทั้งเครื่องดื่ม

ผู้ซื้อที่เลือกซื้อสินค้าของกินหรือเครื่องดื่มมารับประทานนั้น สามารถคำนวณจำนวนพลังงานที่ได้รับจากการบริโภคของกินหรือเครื่องดื่มต่างๆโดยไตร่ตรองว่าของกินหรือเครื่องดื่มมีไขมันทั้งสิ้น ไขมันอิ่มตัว รวมทั้ง ufabet น้ำตาลในจำนวนที่สูงเกินความจำเป็นไหม ดังต่อไปนี้

ไขมันทั้งผอง
จำนวนสูง: มากยิ่งกว่า 17.5 กรัม ของจำนวนไขมัน 100 กรัม
จำนวนต่ำ: 3 กรัม ของจำนวนไขมัน 100 กรัม หรือน้อยกว่านั้น
ไขมันอิ่มตัว
จำนวนสูง: มากยิ่งกว่า 5 กรัม ของจำนวนไขมันอิ่มตัว 100 กรัม
จำนวนต่ำ: 1.5 กรัม ของจำนวนไขมันอิ่มตัว 100 กรัม หรือน้อยกว่านั้น
น้ำตาล
จำนวนสูง: มากยิ่งกว่า 22.5 กรัม ของจำนวนน้ำตาลทั้งผอง 100 กรัม
จำนวนต่ำ: 5 กรัม ของจำนวนน้ำตาลทั้งปวง 100 กรัม หรือน้อยกว่านั้น
แนวทางนับแคลอรี่

ลูกค้าที่อยากคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในวันแล้ววันเล่าด้วยตัวเอง สามารถทำเป็นโดยพิจารณาจำนวนของ

สารอาหารต่างๆที่กำหนดบนฉลากสินค้าของของกินหรือเครื่องดื่มที่บริโภค ขึ้นรถของกินแต่ละอย่างมีปริมาณแคลอรี่ในจำนวน 1 กรัม ดังต่อไปนี้

คาร์โบไฮเดรต 4 กิโลแคลอรี่ (16 กิโลจูล) โดยคาร์โบไฮเดรตแต่ละอย่างบางทีอาจให้พลังงานแตกต่าง
โปรตีน 4 กิโลแคลอรี่ (17 กิโลจูล)
ไขมัน 9 กิโลแคลอรี่ (37 กิโลจูล) โดยกรดไขมันบางสิ่งบางอย่างบางทีอาจให้พลังงานแตกต่าง
แอลกอฮอล์ 7 กิโลแคลอรี่ (29 กิโลจูล)
เส้นใย 3 กิโลแคลอรี่ (13 กิโลจูล)
น้ำกิน 0 กิโลแคลอรี่ (0 กิโลจูล)
เมื่อรู้จำนวนของสารอาหารแต่ละอย่างแล้ว ให้นำจำนวนกรัมของสารอาหารที่อยากได้คำนวณแคลอรี่ มาคูณกับปริมาณแคลอรี่ในจำนวน 1 กรัม ของสารอาหารนั้นๆดังเช่นว่า มันฝรั่งแผ่นปริมาณ 20 แผ่น มีจำนวนไขมัน 10 กรัม ให้นำจำนวน 10 กรัม คูณกับปริมาณแคลอรี่ของไขมันจำนวน 1 กรัม ซึ่งพอๆกับ 9 กิโลแคลอรี่ จะสำเร็จลัพธ์ 90 ซึ่งแสดงว่าคนซื้อจะได้รับพลังงานของไขมันจากการกินมันฝรั่งแผ่น 90 กิโลแคลอรี่

การนับแคลอรี่จะช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถคำนวณแคลอรี่หรือจำนวนพลังงานที่ควรจะได้รับอย่างเหมาะควรตามสิ่งที่จำเป็นของแต่ละคน อย่างไรก็แล้วแต่ คนที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานหรือเผชิญภาวการณ์อ้วน ควรจะกินอาหารที่ไขมันหรือแต่งด้วยน้ำตาลหรือแอลกอฮอล์ให้ลดลง เพราะว่าของกินหรือเครื่องดื่มที่มีสารอาหารพวกนี้ในจำนวนสูงจะให้พลังงานมากเกินสิ่งที่มีความต้องการของร่างกาย ส่วนเด็กควรจะกินอาหาร เพื่อได้รับพลังงานที่พอเพียงกับความปรารถนาของร่างกายในทุกวัน โดยเลือกทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ในจำนวนที่สมควร

--

--