การปฏิวัติระบบขนส่งในเมืองคือการต่อสู้เพื่อรับมือกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ
เวลาคนพูดถึงกิจกรรมการต่อสู้เพื่อลดผลกระทบหรือปรับตัวต่อผลกระทบที่เกิดจากสภาวะภูมิอากาศที่กำลังเปลี่ยนไปสู่สถานะที่มีความผันผวนมากขึ้น มักจะพูดในประเด็นที่ดูห่างไกลจากชีวิตประจำวัน อย่างการปฏิรูปตลาดพลังงานของประเทศ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดูดกลับคาร์บอน การออกแบบกองทุนระหว่างประเทศสำหรับการลงทุนเพื่อเศรษฐกิจสีเขียว ยิ่งใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ อย่าง mitigation และ adaptation ยิ่งทำให้ความหมายของคำเหล่านี้มันเลือนลาง หรือถ้าเป็นประเด็นที่อยู่ในชีวิตประจำวัน ประเด็นเรื่องการจัดการขยะคือประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุด (ตามความรับรู้ของผู้เขียน) ซึ่งว่ากันจริง ๆ แล้ว ต่อให้เรามีการจัดการขยะที่ดีขึ้น ทั้งการคัดแยกเพื่อรีไซเคิล หรือการลดปริมาณขยะ มีผลต่อปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับมาตราการอื่น ๆ ภาพข้างล่างมาจากงานวิจัยของ Seth Wynes and Kimberly Nicholas ที่ทำการประเมินมาตราการการลดก๊าซเรือนกระจกที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้ (ซึ่งก็นานมาแล้ว และก็มีประเด็นเรื่องมาตราการการงดมีลูก) ถ้าตัดประเด็นอื่นออกไปและมองในมุมมองการลดก๊าซเรือนกระจกเพียงอย่างเดียว จะเห็นว่ามาตราการเกี่ยวกับการรีไซเคิลขยะนั้นมีส่วนช่วยต่อการลดก๊าซเรือนกระจกค่อนข้างน้อย หากสังเกตุมาตราการในฝั่งขวามือของภาพ ที่สามารถช่วยเรื่องโลกร้อนได้เยอะจะเป็นมาตราการที่เกี่ยวกับการเดินทาง คมนาคมทั้งสิ้น
แต่ไม่ใช่แค่เพียงว่าการเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางในเมืองมีศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกที่สูงเท่านั้น ที่ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่าการปฏิวัติระบบขนส่งในเมืองเป็นสิ่งจำเป็นต่อการบรรเทาสถานการณ์โลกร้อน แต่การปฏิวัติระบบขนส่งเป็นปมใหญ่ปมแรกที่เมืองต่าง ๆ ในประเทศไทยต้องคลายออกให้ได้ หากเราจะมีหวังที่จะสามารถลดผลกระทบของโลกร้อนต่อสังคมเมืองที่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้ อาจจะไม่ได้อ้างอิงงานวิจัยอย่างเป็นระเบียบมากนัก แต่เรียบเรียงจากข้อมูลที่เคยอ่านมา ประสบการณ์การทำงาน และประสบการณ์ส่วนตัวที่สนใจเรื่องการใช้จักรยานในเมือง ของผู้เขียนเอง
ภูมิอากาศโลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่สถานะใหม่ เมืองของเราจำเป็นต้องเปลี่ยนโฉมเพื่อที่จะปรับตัวเข้าสู่ระบบใหม่เช่นกัน
เฉกเช่นเดียวกับโรคระบาด สงคราม วิกฤติทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ที่ได้เปลี่ยนโฉมของเมืองตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ทำให้เมืองเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมสลายตามวัฎจักร ประวัติศาสตร์การขึ้นและลงของเมืองต่าง ๆ ทำให้สัญฐานของเมือง โครงสร้างพื้นฐาน รูปแบบการใช้ที่ดิน รวมถึงพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย เปลี่ยนรูปแบบไปอย่างต่อเนื่อง หลาย ๆ คนคงเคยเห็นรูปถ่ายที่แสดงให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมของเมืองในอดีต และเมื่อเทียบกับปัจจุบันแล้ว ทุกคนคงเคยมีความคิดในหัวว่า “โห แต่ก่อนมันเป็นแบบนี้หรอเนี่ย นึกภาพไม่ออกเลย” วิกฤติทางสภาวะภูมิอากาศครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน หากแต่มันจะกระทบในทุกมิติของชีวิตมนุษย์เมืองอย่างเรา ๆ นั้นเป็นเพราะอารยธรรมของมนุษย์ปัจจุบันตั้งอยู่บนพลังงานฟอสซิล ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากจะหยุดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิและทำให้ระบบของโลกเข้าสู่ภาวะสมดุลใหม่นั้น พลังงานฟอสซิลเหล่านี้จะต้องแทบหายไปอย่างสมบูรณ์จากชีวิตประจำวันของเรา และนั้นจะเป็นสิ่งที่ถอนรากถอนโคนภาพจำของเมืองที่เรามี ณ ปัจจุบัน
เมืองจะพลิกโฉมได้ รูปแบบการเดินทางต้องเปลี่ยน
ลักษณะสำคัญของเมืองคือความหนาแน่นของประชากร การเชื่อมต่อภายใน และรูปแบบการบริโภค เมืองตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันถูกกำหนดรูปร่างโดยโครงข่ายการเชื่อมต่อของสถานที่และการใช้ที่ดิน ถนนและลำน้ำคือเส้นเลือดที่ไหลเวียนไปทั่วเมือง ลำเลียงปัจจัยในการดำรงชีวิตและผู้คนที่นำพาความคิดที่แตกต่างหลากหลายติดตัวไปด้วย การพบเจอกันของแนวคิด องค์ความรู้ และประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ไหลไปพร้อมกับผู้คน คือบ่อเกิดของความคิดสร้างสรรค์และเป็นสเน่ห์ที่ดึงดูดให้คนไหลเข้ามาอยู่ในเมือง แต่ว่าในเมืองสมัยใหม่ที่เราอยู่กันนั้น การออกแบบเมืองและเส้นทางเชื่อมต่อ ไม่ได้มีโจทย์ที่ว่าจะนำพาผู้คนและปัจจัยต่าง ๆ ไปยังสถานที่ที่ต้องการได้อย่างไร แต่มีโจทย์คือ “จะทำอย่างไรให้รถยนต์ส่วนตัวสามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยมากที่สุด” แนวคิดนี้ฟังดูเหมือนตั้งอยู่บนหลักของเหตุและผล ที่ว่ารถยนต์ส่วนตัวเป็นรูปแบบการเดินทางที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และมอบอิสระภาพให้แก่ผู้อยู่อาศัยในเมืองมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วความคิดนี้เป็นเพียงสิ่งที่สะท้อนอุดมการณ์ของนักวางผังเมืองและวิศวกรจราจรสมัยใหม่ ที่มีความเชื่อว่ารูปแบบการเดินทางโดยรถยนต์นั้นดูทันสมัย ปลอดภัย เป็นระเบียบ และมอบอิสระภาพให้แก่ผู้ขับขี่ที่จะหลีกหนีออกจากเมืองที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยมลภาวะ ไปยังบ้านพักชานเมืองที่กว้างขวางและสงบสุข ทำให้นโยบายและกฎเกณฑ์ที่ออกตามมาพยายามที่จะทำให้ความเชื่อนี้เป็นจริงซึ่งใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษ ผ่านการ lobby ของกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทน้ำมัน เพื่อโน้มน้าวให้รัฐบาลสนับสนุนความคิดของการออกแบบเมืองโดยมีรถยนต์ส่วนตัวเป็นศูนย์กลาง คลื่นอิทธิพลทางความคิดนี้แผ่ขยายจากอเมริกา มายังยุโรป จนมาถึงประเทศไทย ลงท้ายกลายเป็นรูปแบบเมืองที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ เมืองหลักของประเทศไทย ทั้ง กรุงเทพ เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ ล้วนเป็นเมืองที่ถูกสร้าง ขยาย และออกแบบเพื่อให้รถยนต์สามารถวิ่งไปได้ทุกที่อย่างสะดวกและปลอดภัยกว่ารูปแบบการเดินทางประเภทอื่น ซึ่งหากว่ากันตามจริงแล้ว การเดินทางโดยรถมอเตอร์ไซค์เป็นรูปแบบที่คนเลือกใช้มากที่สุด ดังนั้นถนนควรออกแบบเพื่อให้คนใช้มอเตอร์ไซค์สะดวกและปลอดภัยมากกว่า แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น อุบัติเหตุบนถนนมักเกิดขึ้นกับผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ และจำนวนผู้เสียชีวิตที่ชับขี่รถมอเตอร์ไซค์ ก็มีจำนวนมากกว่าผู้ขับขี่รถยนต์มาก บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะมอเตอร์ไซค์มีระบบป้องกันผู้ขับขี่ที่น้อยกว่ารถยนต์อยู่แล้ว และเป็นเพราะพฤติกรรมของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์เองที่มักมีความประมาท แต่ลองหยุดคิดอีกทีว่า ถ้าโจทย์การออกแบบถนนเป็นเพื่อทำให้การขี่มอเตอร์ไซค์สะดวกและปลอดภัยมากที่สุด ถนนที่เราเห็นคงไม่เป็นแบบที่เห็นอย่างนี้ ใช่มั้ย?
ความคิดการออกแบบถนนเพื่อรถยนต์ฝังอยู่ในวิธีคิดของข้าราชการ นักการเมือง และแม้แต่ประชาชนทั่วไปมาอย่างยาวนาน(ก็ไม่นานมากแต่เรามักคิดว่าความคิดที่ครอบงำสังคม เป็นความจริงแท้ที่เป็นแบบนี้มานานแล้ว) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจำนวนเงินมหาศาลที่ภาครัฐเองได้ลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรองรับรถยนต์ส่วนตัว และที่ประชาชนเองที่ได้ตัดสินใจลงทุน ทั้งการเลือกซื้อบ้านที่อยู่ไกลสถานที่ที่จำเป็นแลกกับราคาที่ถูกลงและพื้นที่ที่มากขึ้น พร้อมกับการซื้อรถยนต์ส่วนตัว ทำให้เกิดสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฝั่งประชาชนเองที่เป็นคนกำหนดอุปสงค์ ก็จำเป็นที่จะต้องสนับสนุนการอำนวยความสะดวกให้รถยนต์ ไม่เช่นนั้นเงินที่ลงทุนไปกับบ้านและรถจะให้ผลตอบแทน (ในรูปแบบของประโยชน์ใช้สอย) ที่ไม่เป็นไปตามคาด และภาครัฐเองเมื่อเห็นว่าแรงสนับสนุนการใช้รถยนต์ส่วนตัวยังคงมี (รวมถึงพลังจากกลุ่มทุนที่ผลักดัน) ก็จำเป็นที่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสีเทานี้ต่อไป กลายเป็นภาพของโครงการก่อสร้างถนนซ้อนถนน และก็ซ้อนถนนอีกที ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบไม่รู้จักจบสิ้น ที่คนกรุงเทพและปริมณฑลเห็นจนชินชา แต่ก็ต้องอดทน ด้วยความหวังที่ว่าเมื่อโครงการเหล่านี้เสร็จสิ้นจะทำให้รถติดน้อยลง
โครงสร้างพื้นฐานสีเทาเหล่านี้ (สีเทาในความหมายทั้งสีจริง ๆ ของวัสดุคอนกรีต) นอกจากจะทำให้เมืองดูแข็งกระด้าง หันไปทางไหนก็มีแต่โครงสร้างทึบ ๆ ครอบหัว สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับความร้อนชั้นดี ทั้งพื้นถนน เสาตอม่อ ลานจอดรถคอนกรีต ทำให้อุณหภูมิของเมืองอย่างกรุงเทพมหานครร้อนกว่าปริมณฑลถึง 4 องศาในเวลากลางวัน นอกจากความร้อนที่ถูกดูดซับแล้ว โครงสร้างแข็งเหล่านี้ได้รุกคืบไปบนพื้นที่ธรรมชาติเก่า ทั้งพื้นที่สีเขียวรกร้างที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบ เพราะดูสกปรก อันตราย ไม่สวย แต่มีประโยชน์มากมายทั้งในด้านระบบนิเวศน์ ฟื้นฟูเยียวยาจิตใจ และช่วยทำให้อุณหภูมิของเมืองในเขตร้อนอย่างกรุงเทพให้เย็นลงได้ พื้นที่ลำคลองและคูน้ำธรรมชาติ ที่ไม่ถูกถม ก็ถูกซ่อนไว้ใต้โครงสร้างถนน ทำให้ทางผ่านน้ำธรรมชาติ (floodway) ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ระบบระบายน้ำธรรมชาติเหล่านี้ ถูกแทนที่ด้วยระบบทางวิศวกรรมที่ทำหน้าที่จำลองระบบระบายน้ำ โดยใช้เครื่องสูบน้ำและท่อขนาดใหญ่ที่ฝังไว้ใต้ถนน ซึ่งมีปัญหาเรื่องความยืดหยุ่นนการปรับตัวต่อความเข้มข้นของปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ครั้งใดที่ฝนในกรุงเทพตกสะสมเกิน 50 mm เมืองทั้งเมืองก็กลายเป็นอัมพาตในทันที สิ่งแวดล้อมดั้งเดิมที่ทำหน้าที่ส่งเสริมความอยู่ได้ (habitable) และความน่าอยู่ (livable) ของเมืองคือโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว ทั้งพื้นที่สีเขียวธรรมชาติและพื้นที่ชุ่มน้ำ ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างพื้นฐานสีเทาที่มีความยืดหยุ่นต่ำกว่า และในห่วงโซ่การผลิตของวัสดุก่อสร้างยังสร้างผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย แม้ถนนและลานจอดรถจะไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้เกิดการขยายตัวของโครงสร้างคอนกรีตหรือการกระจายตัวของเมือง แต่ถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ส่งเสริมให้เมืองกระจายตัว รวมถึง ก่อปัญหาสุขภาพ (ฝุ่นควัน เสียง เวลาเดินทางที่ยาวนาน) ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อน (การขนส่งในกรุงเทพมหานคร เป็นภาคส่วนที่ใช้พลังงานเยอะที่สุด และปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 1 ใน 3 ของทุกกิจกรรมอื่น ๆ รวมกัน)
การออกแบบเมืองโดยมีรถยนต์ส่วนตัวเป็นศูนย์กลาง ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงจิตวิทยาของผู้คนในเมือง เมื่อความรับรู้ต่อพื้นที่และเวลา (space-time) เปลี่ยนไป เพราะความเร็วที่เพิ่มขึ้นของผู้เดินทาง ทำให้รูปแบบการใช้ที่ดินเปลี่ยนไปด้วย ความเร็วที่เพิ่มขึ้นทำให้ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กัน ระยะทางระหว่างสถานที่ถูกยืดออก ในช่วงแรกก็ดีอยู่หรอก เราอาจจะยังใช้เวลาเท่าเดิมในการเดินทางระหว่างสองจุดหมาย แต่เวลาผ่านไป ถนนที่กว้างขึ้นได้เชื้อเชิญให้ผู้คนหันมาใช้รถมากขึ้น สุดท้ายระยะทางที่ถูกยืดขยายนั้นยังเท่าเดิม แต่เวลาที่ใช้เดินทางกลับมากขึ้น จนในที่สุดความห่างเชิงกายภาพได้ส่งกระทบต่อความห่างเชิงความรู้สึกของเรากับสถานที่นั้นจริง ๆ หลายคนคงเคยเจอประสบการณ์แบบนี้ ในขณะที่เราอยากไปเดินเล่นออกกำลังกายในสวนสาธารณะ ไปพบปะเพื่อนฝูง ไปกินร้านอาหารอร่อย ๆ ที่กินประจำ แต่ต้องยอมแพ้ให้กับระยะทาง เวลา และราคา ที่ใช้ในการไปถึงจุดหมาย
วิศวกรถนนได้ทำการยึดครองสถานที่ที่เคยเป็นของสาธารณะนั้นคือถนน ให้กลายเป็นที่ที่ไม่ใช่สถานที่ (non - place) อีกต่อไป โดยการเน้นการเพิ่มความสามารถของถนนในการลำเลียงรถยนต์ให้ได้มากที่สุด ปลอดภัยที่สุด และรวดเร็วที่สุด ความกว้างของถนนถูกยึดครองความหมายให้กลายเป็นแค่ตัวแปรกำหนดปริมาณรถยนต์ที่จะจุได้ สิ่งกีดขวางที่ทำให้รถยนต์เคลื่อนที่ได้ช้าถูกนำออกไป อะไรที่อาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ขับรถถูกกันออกจากแนวถนน นั้นรวมถึงคนเดินเท้าและคนขี่จักรยาน ถนนที่เคยเป็นสถานที่พบปะ ทำกิจกรรม ค้าขาย พักผ่อน ได้กลายเป็นเพียงอาณาเขตที่อันตรายและไม่เชื้อเชิญให้ผู้คนใช้เวลาอยู่อ้อยอิ่งอยู่นานนัก ไม่มีใครอยากเดินเล่นบนฟุตบาทที่โล่งเตียนและร้อนจัด บรรดาผู้ใหญ่ในเมืองต้องคอยเตือนเด็ก ๆ ว่า ถ้าไม่อยากถูกรถชน ต้องคอยระวังอย่าไปเล่น หรือ ทำอะไรอยู่ใกล้ถนน ไม่มีใครอยากใช้เวลาบนถนน แม้แต่คนขับรถยังอยากขับผ่านระยะทางอันยาวไกลนี้ไปให้ไว ๆ เลย
การปฏิวัติถนนของวิศวกรรมทางถนนนี้ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จดี ทั้งในเชิงกายภาพที่เราสามารถขับรถออกจากบ้านของเรา เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่มากพอที่ทำให้บรรยากาศทิวทัศน์ของบ้านใกล้เรือนเคียงพร่าเลือน เลี้ยวเข้าถนนเส้นใหญ่ที่เป็นเส้นตรง สะพานลอยช่วยกันคนเดินเท้าให้ออกไปจากถนนของเรา ทำให้เราทำความเร็วได้มาก ไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว นำรถเข้าจอดในลานจอดรถกว้างขวางสะดวกสบาย แล้วทำธุระที่จุดหมายปลายทาง เมื่อเสร็จกิจก็กลับบ้านด้วยรถยนต์ ในขณะเดียวกันถนนสมัยใหม่ได้ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมของผู้คนได้สำเร็จอย่างงดงงามเช่นกัน ผู้คนสมยอมให้กับความเชื่อที่ว่าถนนมีเพื่อรถยนต์เท่านั้น เป็นเช่นนั้นตลอดมาและตลอดไป และวิธีที่จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น คือการขยายโครงข่ายถนน เพิ่มที่จอดรถ และเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมและสังคมสามารถทำได้โดยการเลือกบริโภคสินค้าที่ถูกต้อง โครงข่ายทางสังคมที่อ่อนแอลงจากระยะห่างที่มากขึ้นสามารถแก้ได้โดยเครือข่ายที่เชื่อมต่อผ่านสังคมออนไลน์ ส่วนปัญหาท้องถิ่นทำได้แค่รอกลไกการเมืองระดับประเทศพัฒนาขึ้น แล้วระบบการจัดการท้องถิ่นจะถูกพัฒนาขึ้นอัตโนมัติ ชีวิตที่ดีจะกลับมา
ฉะนั้นกระบวนการการแก้รูปแบบการเดินทางในเมืองไม่ได้เป็นเพียงโจทย์ทางวิศวกรรมเท่านั้น แต่มันเป็นโจทย์ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมด้วย ชุดความคิดและความเชื่อของแง่มุมเหล่านี้เป็นตัวกำหนดรูปแบบการเดินทางและรูปแบบเมือง ณ ปัจจุบัน ดังนั้นการปฏิวัติระบบขนส่งในเมืองจะต้องเข้าไปปะทะกับชุดความคิดเดิม จัดวางความรู้และความเชื่อต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ และนั้นจะส่งผลให้โครงสร้างทางกายภาพเมืองเปลี่ยนไปด้วยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
สร้างคำนิยามใหม่ให้แก่องค์ประกอบของเมืองและชีวิตในเมือง
อะไรคือชีวิตที่มีความสุขและเมืองที่สนับสนุนชีวิตแบบนั้นควรเป็นอย่างไร? เป็นคำถามที่อาจจะไม่ค่อยถูกถามคู่กันนัก เรามักจะถามตัวเองว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุขผ่านการกระทำเชิงปัจเจกของเราเอง แต่มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เหมือนกับสัตว์ประเภทอื่น ๆ คือ มีการวิวัฒนาการเชิงพฤติกรรมเพื่อปรับตัวเข้าหาสภาพแวดล้อม เมืองซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เราสร้างขึ้นจึงมีผลกระทบต่อเราเช่นเดียวกับแลงเม่าที่ตอบสนองต่อแสงไฟยามค่ำคืนในเมือง เราเกิดความเครียดโดยที่ไม่รู้สึกตัวเวลาได้ยินเสียงแตร ตอบสนองต่อผู้คนที่อัดแน่นบนรถไฟฟ้า หลีกหนีการเข้าสังคมเพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนานในแต่ล่ะวัน สภาพแวดล้อมของเมืองไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากคนใดคนหนึ่ง แต่คือผลของการกระทำแบบร่วมหมู่ของสังคมเรา แม้นิยามชีวิตที่มีความสุขจะต่างกัน แต่สัญชาตญาณการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา และสิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อความสุขเชิงประจักษ์
ทุก ๆ คนรู้ว่าการได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติทำให้เรามีความสุขและเครียดน้อยลง การได้ออกกำลังกายทำให้เราสุขภาพกายและใจดี การใช้เวลากับการเดินทางน้อยลงเป็นผลดีต่อสุขภาพจิต การได้มีเวลาเข้าสังคมกับเพื่อนฝูงหรือแม้แต่มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนแปลกหน้า ก็ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นได้ แต่เมื่อมองไปยังเมืองที่เราอาศัยอยู่ ทำไมราวกับความเมืองนี้ไม่ได้ออกแบบเพื่อให้เรามีความสุขเลย? การมีห้างสรรพสินค้าที่มากกว่าจำนวนพื้นที่สีเขียวสาธารณะ โครงสร้างคอนกรีตขนาดยักษ์ที่ใช้ลำเลียงยานพาหนะ ถนนกว้าง ๆ โล่ง ๆ ที่มีรถยนต์ถมจนเต็มพื้นที่ การขาดพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนสามารถพบปะกันได้โดยไม่ต้องเดินทางไกลหรือเสียเงินซื้อเครื่องดื่มราคาแพงเพื่อจะได้นั่งพักผ่อนมองกิจวัตรของผู้คนที่ผ่านไปมา และพบปะผู้คนใหม่ ๆ สิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ทำไมเราจึงไม่ออกแบบให้ใจกลางเมืองเป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นแต่ผู้คนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้? ทำไมเราถึงออกแบบเมืองให้ตามความฝันแบบอเมริกันที่ส่งเสริมให้คนมีบ้านหลังใหญ่ชานเมืองและรถยนต์ส่วนตัว?
การปฏิวัติระบบขนส่งต้องอาศัยความตั้งใจทางการเมือง และความเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้คน
อนาคตที่กำลังจะมาถึงพ่วงด้วยความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเข้ามาสั่นคลอนปัญหาดั่งเดิมของสังคมเมืองที่มีอยู่แล้วให้เผยรอยร้าวออกมา รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เมื่อถึงจุดที่เส้นทางการพัฒนาของเทคโนโลยีหลากหลายด้านมาบรรจบกัน จะทำการพลิกโฉมความรับรู้ของเราต่อโลกรอบตัวอย่างที่รถยนต์ได้ทำให้เกิดขึ้นแล้ว สองปัจจัยนี้ทำให้การคาดการณ์อนาคตแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างหนึ่งที่แน่นอนคือการเปลี่ยนแปลงนี้จะฉับพลันและรุนแรง ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่เราต้องตัดสินใจลงมือทำ และการตัดสินใจนี้จะอยู่กับเราไปอีก 30–40 ปี การปฏิวัติรูปแบบการเดินทางในเมืองคือโจทย์ที่ต้องอาศัยพลังในการจินตนาการอย่างมาก เราต้องจินตาการถึงชีวิตที่ดีกว่านี้ว่าต้องประกอบไปด้วยอะไร คำนึงถึงความเสี่ยงทางกายภาพที่เมืองจะเจอ แล้วสร้างโครงสร้างเมืองให้สอดคล้อง ผ่านการออกแบบการใช้ที่ดินและรูปแบบการเดินทางเสียใหม่จากฐานขึ้นมา
การรื้อถอนระบบเมืองที่ถูกสร้างเพื่อรถยนต์นั้นเป็นกระบวนการทางการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่า หากผลของการที่ถนนถูกออกแบบเพื่อความสะดวกและปลอดภัยของรถยนต์ส่วนตัวเป็นหลัก เกิดจากการที่กระบวนการสร้างถนนไม่เคยมีผู้ที่สัญจรโดยวิธีอื่นอยู่ในสมการ สิ่งที่เราต้องทำคือเรียกร้องให้กระบวนการออกแบบถนนต้องเปิดพื้นที่ประชาธิปไตยให้ผู้เดินทางรูปแบบอื่นได้แสดงความต้องการของตัวเอง ให้สิทธิและศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกันของผู้ใช้ถนนทุกรูปแบบ นำเอาผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ ผู้ปกครองที่บ้านอยู่ติดถนนใหญ่ ผู้ใช้จักรยาน ผู้พิการ ผู้ใช้รถเมล์ ผู้สัญจรเท้า เมื่อนั้นการเจรจาต่อรองเพื่อถนนในฐานะพื้นที่สาธารณะจึงจะเกิดขึ้น
การทำลายภาพจำของถนนในฐานะเครื่องมือทางวิศวกรรมที่ใช้ลำเลียงรถยนต์ส่วนตัว ต้องอาศัยการสร้างภาพใหม่ ๆ (หมายถึงสถานการณ์ หรือฉากที่เห็นในชีวิตประจำวัน) ให้แทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันของผู้คนในเมือง การออกมาปั่นจักรยานท่ามกลางรถยนต์ส่วนตัวก็เป็นการกระทำทางการเมืองอย่างหนึ่ง การเดินเท้าบนเส้นทางที่ไม่มีฟุทบาทก็เป็นการกระทำทางการเมือง แต่จำนวนหรือมวลของผู้เข้าร่วมนั้นมีผล เพราะหากคนรู้สึกว่าคนในสังคมส่วนใหญ่เชื่อแบบนั้น ความปกติใหม่ของเมืองจะถูกสถาปนาขึ้นทันที รูปแบบกิจกรรมที่ยึดครองถนนเพื่อพยายามสร้างภาพจำของการใช้ถนนในรูปแบบอื่น ๆ จึงเป็นเครื่องมีที่ใช้ต่อสู้ทางความคิดที่สำคัญอย่างหนึ่ง
การที่จะสร้างแรงสนับสนุนในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของถนน จำเป็นอย่างมากที่กลุ่มผู้ใช้ถนนในรูปแบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่รถยนต์ต้องรวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็น คนเดินเท้า ผู้ใช้จักรยาน ผู้ใช้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ผู้ใช้ขนส่งสาธารณะ ผู้ปกครอง และประชาชนที่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยทางถนน รวมถึงผู้ที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นหลัก ที่ถูกบีบให้จำยอมจากการที่เมืองไม่เสนอทางเลือกอื่นในการเดินทาง เพราะพวกเราทั้งหมดคือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการที่เมืองถูกออกแบบเพื่อรถยนต์ส่วนตัว เราไม่ได้เป็นอื่นใดนอกจากมิตรสหายร่วมอุดมการณ์และเพื่อนร่วมเมืองที่แบ่งปันอากาศที่หายใจและพื้นที่สาธารณะในเมืองนี้ แต่ล่ะเมืองมีความท้าทายและโอกาสในการเปลี่ยนผ่านที่ต่างกัน เราอาจจะต้องออกมาแสดงออกในที่สาธารณะ เข้าร่วมเวทีเสนอความคิดเห็น ยื่นข้อเสนอทางนโยบาย โน้มน้าวเจ้าหน้าที่รัฐ ทำโครงการที่ร่วมออกแบบการใช้พื้นที่ถนนในรูปแบบใหม่ ๆ ขยายแนวร่วมไปยังกลุ่มผลประโยชน์อื่น ๆ และสุดท้ายคือดึงคนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นหลักมาเป็นแนวร่วมให้ได้ เพราะการคืนพื้นที่ถนนให้แก่สาธารณะ ไม่ได้เป็นการช่วงชิงอะไรไปจากใคร แต่มันคือการมอบสภาพแวดล้อมและสังคมที่ดีขึ้นในกับทุกคน
ระบบขนส่งเปลี่ยน เมืองเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน
หากพื้นที่เมืองที่ถูกยึดครองโดยโครงสร้างพื้นฐานสีเทาสำหรับรถยนต์ถูกปลดปล่อย ไม่ว่าจะเป็นถนน ทางด่วน และลานจอดรถ ลองคิดดูว่าเราจะได้พื้นที่คืนมามากขนาดไหน? เราสามารถแทนที่พื้นที่เหล่านั้นด้วยพื้นที่สีเขียว ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้ธรรมชาติรุกคืบกลับเข้ามา กลายเป็นระบบนิเวศน์ที่รกชัฏแต่สมดุลและเต็มไปด้วยชีวิต หรือการสร้างสวนสาธารณะสำหรับคนในชุมชนที่จะได้เข้าถึงพื้นที่สีเขียว มาออกกำลังกาย ได้เจอหน้าเพื่อนบ้านกันบ้าง มาหลบร้อน หรือแค่มานั่งเล่นนอนเล่นในวันที่ไม่มีอะไรทำ การถดถอยของพื้นที่คอนกรีตจะถูกแทรกซึมโดยโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว ที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบของอากาศที่ร้อนขึ้นในอนาคต การเพิ่มพื้นที่สีเขียวจะช่วยลดอุณหภูมิอากาศในเมืองลงได้ หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าอากาศที่ร้อนจะกลายเป็นภัยร้ายแรงของเมือง ที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตในทุก ๆ วันได้ โดยเฉพาะถ้าเราทำงานในห้องแอร์ ที่พักก็ติดแอร์ ภัยจากความร้อนดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในเมืองยังมีกลุ่มคนที่ไม่สามารถทำงานในห้องปรับอากาศได้เป็นจำนวนมาก กว่าครึ่งทำงานในระบบเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ เช่น การค้าขายอาหาร สินค้าเครื่องใช้ การรับจ้างก่อสร้าง ซึ่งคอยช่วยเหลือให้แรงงานในเมืองใหญ่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เมืองสามารถสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปได้ นอกจากนั้น อุณหภูมิของอากาศ ยังส่งผลต่อความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมของผู้คนในเมืองอีกด้วย เพราะฉะนั้น การรับมือกับอากาศที่ร้อนขึ้นจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เมืองมีความสุขมากขึ้รฃน นอกจากนั้น การฟื้นชีวิตให้ลำคลองและพื้นที่ชุ่มน้ำในเมืองย่อมช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่เมืองในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาต้องเจอนั้นเป็นประจำ เพิ่มแหล่งที่อยู่ของนกและสัวต์ และเป็นที่ผ่อนคลายของคนหลากหลายฐานะอีกด้วย
เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทางในเมืองจะเป็นโดมิโนตัวแรกที่จะรื้อทำลายแนวคิดวิศวกรรมแบบเก่าที่แยกปัญหาออกเป็นส่วน ๆ แล้วนำแนวคิดที่ผสมผสานศาสตร์และวิทยาศาสตร์หลายแขนงเข้าด้วยกัน รวมทั้งไม่ใช่แค่สิ่งของที่จับต้องได้ที่จะเปลี่ยนไป แต่โครงสร้างของเศรษฐกิจสังคม ยิ่งต้องเปลี่ยนไปในทิศทางที่น่าตกใจยิ่งกว่า ลองนึกว่าอะไรเป็นสิ่งที่จะทำให้คนที่ขับรถยนต์คันใหญ่ตามหลังคนที่ขี่จักรยานบนถนนไม่เบียดแทรกหรือบีบแตรไล่ อะไรจะทำให้คนที่ขับรถยอมหยุดให้คนเดินเท้าข้ามถนนทันทีเมื่อเห็น คำตอบอาจจะเป็นการบังคับใช้กฎหมาย หรือการออกแบบถนน ซึ่งก็สามารถช่วยตรงนี้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่เกิดแรงตึงเครียดระหว่างกันคือการยอมรับว่าทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน เครื่องจักรที่เราใช้ขับขี่เป็นแค่ยานพาหนะ ไม่ใช่เครื่องแสดงอำนาจและชนชั้น เมื่อรถยนต์เป็นแค่เครื่องมือไม่ใช่สิ่งที่ยึดติดกับความเป็นตัวตนของผู้ใช้ การละทิ้งและเปลี่ยนผ่านจากการแก้ปัญหาเรื่องการเดินทางเชิงปัจเจก โดยการให้แต่ล่ะคน แต่ล่ะครอบครัวครอบครองรถยนต์ (การแก้ปัญหาในฐานะผู้บริโภค) ไปสู่การแก้ปัญหาแบบรวมหมู่ ร่วมกันต่อรอง เจรจา เพื่อสร้างเมืองรูปแบบใหม่ขึ้นมา (แก้ปัญหาในฐานะพลเมือง) สามารถทำได้ง่ายขึ้น
วิธีคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหาวิฤกติสภาวะภูมิอากาศ ความเชื่อที่ว่าเราสามารถแก้ปัญหาได้โดยการเลือกบริโภคสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาจช่วยทำให้เราลด carbon footprint ของเราได้ แต่ไม่สามารถช่วยทำให้เราลดผลกระทบของสภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว ยังมีหลายปรากฎ์การณ์ที่เราไม่เข้าใจ รวมถึงกลไกที่ผลกระทบทางกายภาพของภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นจะส่งผลต่อระบบนิเวศน์ เศรษฐกิจ และสังคมมนุษย์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ การรวมตัวเพื่อแบ่งปันทรัพยากรเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้ภัยพิบัติที่ซัดกระแทกเมือง ไม่ทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของสังคมรับผลกระทบมากเกิดไปจนไม่สามารถฟื้นฟูได้ ซึ่งอาจะเป็นโดมิโนตัวแรกที่ทำให้สังคมสมัยใหม่ที่เรารู้จักพังทลายลงมา การเปลี่ยนแก้ปัญหาจากเชิงปัจเจก เป็นเชิงรวมหมู่ เปรียบได้เหมือนกับแทนที่โครงสร้างพื้นฐานสีเทาของเมืองด้วยระบบธรรมชาติ ทั้งสองสิ่งนี้คือการเพิ่มความในการปรับตัวต่อภัยพิบัติฉับพลัน(Resilience) ของเมือง สังคมมนุษย์ และระบบนิเวศน์
การปฏิวัติระบบขนส่งเมืองจะสร้างการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ หรือ paradigm shift ที่ทำให้เมืองที่เราอยู่อาศัย เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบที่เราอาจจะไม่เคยคิดจินตนาการมาก่อน และนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการรับมือผลกระทบของ Climate Change ซึ่งกำลังเคลื่อนโลกเราเข้าสู่สถานะใหม่ ที่สังคมมุษย์ยังไม่เคยเจอเช่นกัน
ปล. บทความนี้ไม่ได้อ้างอิงเอกสารวิชาการใด ๆ อย่างเป็นระบบ แต่ประมวลจากข้อมูลที่ผ่านสมอง และประสบการณ์ของผู้เขียนมา ยินดีเป็นอย่างยิ่งหากผู้อ่านคนไหนจะไม่เชื่อและช่วยเช็คข้อมูลให้
ปล. คลิป Why car-centric cities are a great idea