เรื่องสั้นจากประสบการณ์ชีวิต (ตอนที่ 2)

“ร้านเหล้าริมทะเล” ก็เป็นเรื่องสั้นที่ได้มาจากประสบการณ์ของผู้เขียน แล้วมามาปรุงแต่ง ตัดต่อ ตกแต่ง ด้วยศิลปะแห่งเรื่องสั้น ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

“ร้านเหล้าริมทะเล”

“ร้านปิดกี่โมงครับ?”

หลังสั่งเหล้าไปแบนหนึ่งพร้อมกับแกล้มอีกเล็กน้อย ผมเอ่ยถามหญิงสาวเจ้าของร้านเหล้าริมทะเลเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ไกลผู้ไกลคน เธอเดินมารับรายการอาหารด้วยตัวเอง ค่าที่เด็กเสิร์ฟวัยรุ่นชาย 2 คน กำลังยุ่งกับการให้บริการแขกโต๊ะอื่นอยู่

เธอเป็นหญิงสาวสวยทีเดียวครับ อายุราว 20 ปีปลายๆ ผมตรงยาวลงมาจนถึงกลางหลัง รับกับดวงหน้าเรียบเรื่อยที่มีรอยยิ้มจางๆ ดวงตาทอประกายราวกับมีดวงดาวอยู่ในนั้น

“3 ทุ่มค่ะ” หญิงสาวตอบ

เหตุที่ถาม ก็เพราะเกิดติดใจกับอะไรหลายๆ อย่างภายในร้านเหล้าแห่งนี้ ทั้งบรรยากาศเงียบสงบ เสียงเพลงไทยเก่าๆ เคล้าไปกับเสียงคลื่น ดวงดาวเต็มทุ่งท้องฟ้า และภาพเรือหาปลาลำเล็กๆ ที่มีแสงไฟวับแวมลัดเลาะอยู่ตรงเส้นขอบฟ้า ทั้งหมดนี้ทำให้ผมอยากอยู่กับมันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทว่าเมื่อเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มหนึ่งแล้ว ผมคงอยู่กับมันได้เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง

1

ระหว่างรออาหารและเครื่องดื่ม อดหัวเราะเบาๆ กับการมาเยือนที่นี่ของผมไม่ได้ ก็เมื่อเช้าผมยังอยู่ที่บ้านปทุมธานีดีๆอยู่เลยนี่นา แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ที่หาดเจ้าสำราญ เพชรบุรี ไปเสียได้ ความคิดย้อนกลับไปยังเหตุการณ์เมื่อเช้านี้

เพราะเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่หน้าร้อน ในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัย ผมจึงพอมีเวลาว่างที่จะทำนู่นทำนี่ส่วนตัวได้ เมื่อเช้าผมจึงเอารถออสตินเพื่อนยาก ไปตรวจเช็คกับลุงนักซ่อมรถออสตินวัย 60 เศษ ที่รู้จักกันมาราว 3 ปีเศษแล้ว นับจากวันที่ได้รถในฝันเมื่อวัยเยาว์มาไว้ในครอบครอง จากคนไม่คุ้นเคยในวันแรกกลายมาเป็นเพื่อนรักต่างวัยกันในภายหลัง

3 โมงเย็นนู้นแหละครับ ลุงจึงตรวจเช็ครถเสร็จ เราทั้งสองจึงออกไปทดสอบรถกัน โดยมีผมเป็นคนขับ เพราะถนนในช่วงปิดเทอมโล่งว่าง ประกอบกับรถที่วิ่งดีผิดหูผิดตา ผมจึงขับมันไปไกลขึ้นๆ ทะลุถนนเส้นนั้น ออกเส้นนี้ ขับไปขับมาอีท่าไหนไม่รู้ได้ จู่ๆ จึงมาโผล่พรวดที่หาดเจ้าสำราญ ในตอนเย็นใกล้ค่ำพอดี

เมื่อมาถึง ไอ้ครั้นจะขับกลับบ้านเลย ก็รู้สึกเหนื่อยล้าเกินไปสำหรับคนวัยสี่สิบกว่าอย่างผม ผมจึงชักชวนลุงหาที่พักค้างแรมมันเสียที่นี่เลย ลุงตอบรับ เพราะช่วงนี้แกเองก็ไม่มีงานอะไรค้างคาอยู่ อ่อ ผมลืมบอกไปครับว่า ลุงแกอยู่คนเดียว เมียตายแล้ว ส่วนลูกชายคนเดียวก็ออกเรือนไปแล้วเช่นกัน นั่นทำให้ลุงไม่มีใครที่จะต้องห่วงหาและคล้ายบางทีอาจไม่มีใครห่วงใยแกด้วยเช่นกัน ล็อคบ้านปิดประตูรั้วแล้วก็แล้วกัน ส่วนหนุ่มโสดอย่างผม นอกจากแม่และน้องสาวแล้วก็ไม่มีใคร แค่โทรไปบอกน้องสาวให้ดูแลแม่ให้ดีๆ แค่นั้นก็จบ

เราแวะหาซื้อข้าวของที่จำเป็นกับการพักแรมหนึ่งคืนที่ร้านค้าริมชายหาดก่อน แล้วเลือกเข้าพักใน รีสอร์ทห่างไกลจากชุมชน เพราะตัวผมนั้นไม่ค่อยชอบความวุ่นวายของผู้คนมากนัก รีสอร์ทที่ว่าอยู่ไม่ไกลจาก ร้านเหล้านี้ เพียงแค่เดินไม่กี่สิบก้าวก็ถึงแล้ว

หลังอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ผมทิ้งเจ้าออสตินไว้ที่หน้ารีสอร์ท นัดแนะกับลุงว่าจะมารอกินเหล้ากินข้าวอยู่ที่ร้านแห่งนี้ ขณะที่อีตาลุงขอตัวงีบสักพัก แล้วจึงจะค่อยเดินตามมา

เสียงวางเครื่องดื่มและจานอาหารลงบนโต๊ะพาผมกลับสู่ปัจจุบัน ภาพตรงหน้าคือ หญิงสาวเจ้าของร้านกำลังผสมเหล้าให้ผมอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มละไม

2

เหล้าหมดไปครึ่งแบน จนคล้ายมองเห็นแสงดาวม้วนตัวลงมาอยู่ในแก้วเหล้าแล้ว แต่อีตาลุงก็ยังไม่มาเสียที แขกในร้านค่อยๆทยอยจากไป จนเหลือผมเพียงแค่โต๊ะเดียว ฉับพลันจึงมีชายหนุ่มรุ่นกระทง 5 คน เดินเข้ามาในร้าน ทุกคนล้วนผมยาวรุงรัง ร่างกายใหญ่โตราวกับนักเพาะกาย แถมยังใส่เสื้อกล้ามโชว์รอยสักลายพร้อยไปทั่วร่าง กางเกงขาสั้นสีสันฉูดฉาดทำให้มองเห็นกล้ามเนื้อขาเป็นมัดๆ ดูน่ากลัวชะมัด และที่สำคัญต่างเมามายกันมาแล้วเสียด้วยสิ พวกเขาส่งเสียงโหวกเหวกลั่นร้านขณะเลือกหาโต๊ะนั่ง สุดท้ายพวกเขาเลือกโต๊ะตัวที่ติดกับผม ใครคนหนึ่งในกลุ่มที่ถือเหล้าครึ่งขวดติดมือมา วางมันลงตรงกลางโต๊ะเสียงดังสนั่น “โครม !”ก่อนสั่งโซดา น้ำแข็งและกับแกล้มมาดื่มกินเสียงดังไม่เกรงใจใคร

จากประสบการณ์การดื่มเหล้ามายาวนานของผมบอกว่า สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก ความคิดของผมถูกเพ่ง เพราะจังหวะหนึ่ง ใครบางคนในกลุ่ม ดูท่าจะเมาหนักกว่าเพื่อน จู่ๆ นัยน์ตาขวางแดงก่ำคู่นั้นก็จ้องมองมาที่ผมเหมือนจะหาเรื่อง ผมรีบหลบสายตาคู่นั้นทันที แสร้งมองออกไปยังริมหาดทรายอันเวิ้งว้างไร้ผู้คน พึมพำเบาๆ เหมือนข่มใจตัวเองว่า

“เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวสวยๆ”

ฉับพลัน จึงรู้สึกเหมือนมีใครปรี่มายืนอยู่ข้างๆ ผมสะดุ้งโหยงขึ้นสุดตัว โพล่งพูดขึ้นขณะสะบัดหน้าไปยังร่างนั้นว่า

“เปล่าครับๆ ลูกพี่ ผมแค่บอกว่าทะเลที่นี่สวยดีต่างหาก ไม่เกี่ยวกับลูกพี่เลยจริงๆ”

แต่ไม่ทันแล้ว เพราะร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้า หาใช่จิ๊กโก๋ที่ไหน หากแต่เป็นหญิงสาวเจ้าของร้านเหล้านั่นเองที่มายืนทำหน้าตกใจ ก่อนละล่ำละลักคำพูดออกมาว่า

“เออ คุณคะ เป็นอะไรมากหรือเปล่า ฉันก็แค่เห็นน้ำแข็งหมด เลยจะมาถามคุณว่า จะรับเพิ่มอีกไหมเท่านั้น”

ผมรีบพูดน้ำเสียงแข็งๆ แก้เขินออกไปว่า “น้ำแข็งหมด ก็เอามาสิครับ”

หลังเธอจากไปแล้ว ผมได้แต่เป่าปากพรืด มันเป็นเวลาเดียวกันกับที่ ลุงนักซ่อมรถออสตินเดินยิ้มเผล่และเข้ามานั่งตรงข้ามพอดี คว้าแก้วเหล้ามาดื่มอักๆ ด้วยท่าทีเบิกบาน แต่ทันทีที่เสียงเอ็ดตะโรของเจ้าเด็กหนุ่มโต๊ะข้างหลังดังขึ้น ลุงหันไปมองอย่างผู้มีประสบการณ์ และแล้วท่าทีเริงรื่นเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเงอะงะๆ มีรอยยิ้มแหยๆ ปรากฏบนดวงหน้า

3

เวลาผ่านไปจนถึง 3 ทุ่ม ใกล้เวลาปิดร้านแล้วตามคำบอกของหญิงสาว พร้อมๆกับที่ เหล้าแก้วสุดท้ายของผมและลุงก็ล่วงลงคอไปแล้วด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ ตลอดเวลาของการดื่มกิน เราทั้งสองต่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวกันอย่างถึงที่สุด ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังแม้แต่สักแอะเดียว ต่างจากโต๊ะของเจ้าเด็กหนุ่มที่มีแต่เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นอยู่ตลอดเวลา สลับกับการส่งเสียงแซวเจ้าของร้านแสนสวยเป็นระยะๆ

ผมลุกไปเข้าห้องน้ำ กะว่าหลังกลับมาแล้วจะเรียกเด็กเสิร์ฟมาคิดเงิน แต่เมื่อออกมา จึงพบว่าไฟในร้านปิดลง ยกเว้นที่โต๊ะของผมและโต๊ะของกลุ่มเด็กหนุ่มเหล่านั้น มองเห็นหลังไวๆ ของเจ้าเด็กเสิร์ฟ 2 คน ที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไปจากร้านพอดี

ผมมารู้ทีหลังว่าเหตุที่ทั้งสองรีบกลับ เพราะเมื่อหมดเวลางานจากที่นี่แล้ว พวกเขาต้องไปเสิร์ฟให้กับร้านอาหารในละแวกใกล้เคียงอีกต่อไป ปล่อยให้เจ้าของร้านนั่งหน้าตาอึดอัดอยู่หลังเคาน์เตอร์เก็บเงินเพียงลำพัง กับโต๊ะของผม และโต๊ะของกลุ่มเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งดื่มกินกันต่อไป โดยไม่ยอมเลิกราลงไปง่ายๆ แม้จะได้เวลาปิดร้านแล้วก็ตาม เหลือบมองเหล้าขวดใหม่ที่เพิ่งพร่องไปนิดเดียว ผมรู้แล้วว่าราตรีนี้ยังคงอีกยาวไกลสำหรับพวกเขาแน่นอน

อะไรบางอย่าง ทำให้ผมเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน แทนที่จะเรียกคิดเงินและจากไป ผมกลับส่งเสียงบอกลุงเบาๆ มองตาแกอย่างมีความหมาย

“ลุงครับ อีกสักแบนนะ”

ลุงทำท่าตกใจ ดวงตาครุ่นคิดหนัก ก่อนพยักหน้าอย่างเนือยๆ พึมพำติดตลกขึ้นมาว่า “ผมยังไม่เขียนพินัยกรรมไว้เลยนะครับ อาจารย์ แต่ช่างเหอะ ตายไปก็ไม่รับรู้แล้ว เอาก็เอาวะ” จากนั้น ผมจึงขอเหล้าแบนใหม่จากหญิงสาวเจ้าของร้าน ในตอนนั้นเธอคล้ายสับสนลังเล แต่ที่สุดจึงเดินไปหยิบมันมาให้กับเรา

4

ขณะละเลียดเหล้าแบนที่สอง ท่ามกลางเสียงเฮฮาของกลุ่มเด็กหนุ่มเจ้าของรอยสัก และแล้ว ปรากฏการณ์นรกก็อุบัติขึ้นจนได้

เมื่อดวงตาของผมดันเกิดไปปะทะเข้ากับดวงตาขวางๆ ของเจ้าขี้เมาคนเดิมอีกแล้ว ด้วยอารามตกใจ ผมเกิดนั่งตัวแข็งทื่อเป็นรูปปั้น ดวงตาค้างเติ่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น นั่นจึงดูเหมือนว่า ผมกำลังจ้องมองหน้าเขากลับไปอยู่เช่นกัน ทันใดนั้น เจ้าหมอนั่นก็ทำปากพะเยิบพะยาบ หลุดคำพูดฝากลมทะเลลอยมาให้ผมว่า

“กล้วย..ย..ย..ย..”

จังหวะนั้น ผมรีบตะโกนสวนกลับไปภายในใจทันทีว่า

“อ้าวๆ มาให้ผมแบบนี้ แล้วลูกพี่จะเอาอะไรไว้ใช้ฉี่ละคร๊าบ”

ก่อนจะรีบก้มหน้ามุดมองไปที่พื้นด้วยกังวลว่าเขาจะได้ยิน !

ภาวนาด้วยหัวใจตุ๊มๆ ต้อมๆ, ว่า ขออย่าให้มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงตามมาอีกเลย เช่น ขวดเหล้าลอยมาที่โต๊ะผม หรือไม่ เจ้าหมอนั่นก็เดินตรงเข้ามาหา กระชากคอเสื้อแล้วก็กระแทกหมัดโครมเข้าที่ใบหน้าผมอย่างในหนังไทยที่เคยดูมา

คำภาวนาของผมดูจะเป็นผล เพราะในเวลาต่อมา ไม่มีเหตุการณ์ร้ายๆ อย่างที่คิดตามมา เมื่อแน่ใจแล้ว ผมจึงค่อยๆ เงยหน้าพลางเหลือบตามองไปที่เจ้าหมอนั่น แล้วจึงลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อพบว่า เขาไม่ได้มองมาที่ผมอีกต่อไป แต่กำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่กับเพื่อนร่วมก๊วนอย่างเมามัน หลังจากที่ใครบางคนส่งเสียงแซวอะไรบางอย่างกับหญิงสาวเจ้าของร้าน

5

5 ทุ่มกว่าๆ เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นจึงเรียกคิดเงิน ด้วยท่าทีทุลักทุเลยิ่ง และระหว่างที่หญิงสาวกำลังคิดเงินอยู่หลังเคาน์เตอร์ พวกเขายังคงพูดจาแทะโลมเธอต่อไปอย่างไม่ลดละ

และอย่างไม่คาดฝัน จู่ๆ เจ้าตาขวางคนเดิมก็ผลุนผลันเดินเซๆ ไปที่เคาน์เตอร์ พร้อมกับเอ่ยปากขอเบอร์โทรศัพท์มือถือเจ้าของร้าน ท่ามกลางเสียงเชียร์ เสียงเป่าปากวี้ดวิ่วดังกระหึ่มของเพื่อนๆร่วมวงที่นั่งเกาะติดสถานการณ์กันอยู่ที่โต๊ะ หญิงสาวมีสีหน้าอึดอัดกับท่าทีคุกคามของชายคนที่ว่าจนเห็นได้ชัด ร่างงามสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

ขณะที่ผมและลุงได้แต่นั่งอ้าปากค้าง จ้องมองตากันสลับกับการเฝ้าดูเหตุการณ์อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ สถานการณ์ดูอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ ทุกทีๆ แต่ละวินาทีดูเชื่องช้าเนิ่นนาน แวบหนึ่ง หญิงสาวก็หางานมาให้ผมจนได้ เมื่อเธอทอดสายตามองมาที่ผมและลุงเหมือนขอความช่วยเหลือ สิ่งนี้นำพาเจ้าหมอนั่นมองตามมาและ หยุดดวงตาขวางๆนั้นไว้ที่ผมที่นั่งเผชิญหน้ากับเขาอยู่พอดี ฉับพลันสีหน้าของหมอนั่นก็เหมือนคลุ้มคลั่งเคียดแค้นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พลางย่างสามขุมเดินตรงมาหาผม

ในตอนนั้น ผมคล้ายรู้สึกว่า ยมทูตกำลังจะมาเอาชีวิตผมแล้ว ฝ่ายตาลุงเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็ทำท่ากระตุกตัวเหมือนจะลุกขึ้นวิ่งหนีเอาตัวรอดไปเสียดื้อๆ แต่ดีที่ว่าผมหันขวับไปจ้องตาแกไว้เป็นเชิงให้หยุดยั้งความคิดนั้นเสีย เมื่อมาก็มาด้วยกัน กินก็กินด้วยกัน ถ้าจะต้องตายก็ต้องตายพร้อมกัน แกจึงตัดใจทรุดลงนั่งเหมือนอย่างเดิม ใบหน้าซีดเผือดคล้ายรับรู้ได้ว่า อวสานของชีวิตแกก็ใกล้จะมาถึงแล้วเช่นกัน

แต่แล้ว ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนั้น จู่ๆ แม่ครัววัยราว 50 เศษ กับน้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่าร้อยกิโล มีมีดอีโต้เล่มโตอยู่ในมือ ก็ก้าวพรวดๆ ออกมาจากในครัวหลังร้านตรงมายังเจ้าหมอนั่น พร้อมกับโพล่งพูดเสียงดังๆขึ้นว่า

“จะเอาเบอร์มือถือใช่ไหม? พ่อหนุ่ม เอาเบอร์ของป้าไปแทนก่อนละกันนะ “

สิ้นเสียงแม่ครัว ไอ้ตาขวางชะงักเท้า ผงะถอยร่างคล้ายสร่างเมา ก่อนหมุนร่างกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง ขณะที่พวกเพื่อนๆ ก็พากันเงียบกริบราวกับเป่าสาก ข้างฝ่ายผมและลุงต่างคนต่างพากันกลั้นหัวเราะเอาไว้เสียแทบแย่ พร้อมๆ กับที่รู้สึกว่าได้ยกภูเขาออกไปจากอกเสียที

หลังจากจ่ายเงินโดยมีแม่ครัวร่างยักษ์ที่ในมือยังคงกำมีดอีโต้ยืนคุมเชิงอยู่ พวกเขาจึงจากไปอย่างไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรง

6

เมื่อเหตุการณ์สงบลง ผมจึงเป็นฝ่ายเรียกคิดเงินบ้าง ทันทีที่หญิงสาวเอาเงินทอนมาให้ เธอเอ่ยเสียงสดใสขึ้นมาว่า

“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ”

“ขอบคุณทำไมครับ?” ผมทำหน้างงๆ และเก๊กเสียงเล็กน้อยให้ดูไม่เมาและหล่อ

“ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนกัน”

“อ่อ ..เออ.. ผมไม่ได้คิดจะอยู่เป็นเพื่อนใคร เอิ๊ก … เพียงแต่ผมชอบบรรยากาศของร้านนี้และอยากจะอยู่กับมันให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้เท่านั้นเอง”

หญิงสาวยิ้มเก้อๆ กับคำตอบนั้น และก่อนที่เธอจะตั้งตัวทัน ผมรีบชักชวนลุงออกมาจากร้านเหล้าแห่งนั้นทันที

หลังเที่ยงคืนคืนนั้น ภายใต้ท้องฟ้ากว้าง แสงดาวและสายลมเหงา หากจะมีใครผ่านมาบริเวณถนนเลียบชายทะเลที่มีร้านเหล้าเล็กๆ ตั้งอยู่ จะได้เห็นหนุ่มใหญ่คนหนึ่งกับชายชราอีกคนหนึ่ง เดินกอดคอกันเซไปเซมา แหกปากร้องเพลงไปตามประสาคนเมาอย่างมีความสุข โดยมีหญิงสาวผมยาวยืนส่งพวกเขาไปจนสุดสายตา….

………………………

#สาขาวิชาบรอดคาสติงและสื่อสตรีมมิง
#คณะวิทยาการจัดการ
#มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

#การเขียน #เรื่องสั้น #ประสบการณ์ชีวิต #เล่าเรื่อง #ชีวิต #ShortStory #ShortStoryWriting

--

--