Love & Relationship 101— รักอย่างไรให้ตั้งใจที่สุด? (even with or without one’s significant other)

Pattharin O.
2 min readAug 20, 2015

--

Note* For English-language readers, please check this out instead :)

ช่วงนี้มีโอกาสได้ฟังและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับรุ่นพี่รุ่นน้องหลายคนเกี่ยวกับหัวข้อสนทนาที่ปกติแล้วไม่ได้มีโอกาสมานั่งอัพเดทกันบ่อยๆ อย่างเรื่องความรัก คุยๆไปแล้วก็ขำดีที่เราก้าวเข้ามาถึงวัยที่บทสนทนาในเรื่องแบบนี้ กลายเป็นประเด็นที่จริงจังและลึกซึ้งเกินกว่าเรื่องแค่คนนั้นคนนี้รักใคร ชอบใคร พอถึงเทศกาลสำคัญแล้วฝ่ายไหนทำอะไรให้ มาเป็นเรื่องว่านิสัย การใช้ชีวิตและการดูแลของอีกฝ่ายเป็นยังไง ปรับตัวเข้าหากันได้หรือไม่ มีความสุขกับทุกวันนี้แค่ไหน และมองอนาคตไว้อย่างไรบ้าง หลายๆเรื่องที่เมื่อไม่นานมานี้รู้สึกว่าไกลตัวจัง วันนี้กลายเป็นว่า เพื่อนที่เห็นกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกกำลังจะเป็นเจ้าสาวซะแล้ว :)

ยิ่งเรื่องราวของเพื่อนสนิทอีกคนที่เพิ่งถูกแฟนขอแต่งงาน คบกันกับแฟนในสายตาเพื่อนๆตลอดมาตั้งแต่สมัยมัธยมรวมได้เกือบ 10 ปี แม้ว่าเพื่อนหลายต่อหลายคนจะเลิกรากับใครไปกี่รอบแค่ไหน สองคนนี้ก็ยังจับมือกันมาอยู่เรื่อยๆ มีทั้งผ่านช่วงสุขทุกข์บ้าง เงียบๆเรื่อยๆบ้าง โพสต์รูปออกสื่อลง Facebook หรือ Instagram ให้เพื่อนๆได้กรี๊ดอยู่เป็นพักๆบ้าง และแม้จะคบจะรู้จักนิสัยใจคอกันมานานแค่ไหน ก็มีพลั้งเผลอ ทะเลาะและไม่เข้าใจกันอยู่เรื่อยๆบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่ก็คือชีวิตจริง ของคนที่เกิดและโตมาจากคนละครอบครัว คนละสิ่งแวดล้อมกัน ต่อให้โตมาในสภาพการเลี้ยงดูหรือการศึกษาที่คล้ายคลึง มีทัศนคติภาพรวมไปในทิศทางเดียวกันแค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่านิสัยใจคอคนเราล้วนแล้วแต่แตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อย ย่อมเป็นไปได้ที่จะพบเจอเรื่องราวที่ต่างฝ่ายอาจมีความคิดความเห็นที่ไม่ตรงกัน การกระทำและการแสดงออกต่อบางสิ่งจึงอาจไม่เป็นไปตามความคาดหวังของอีกฝ่าย ก็คงมีบ้างที่อาจต้องมีเรื่องผิดใจ กระทบกระทั่งทางความรู้สึกกันบ้างเป็นธรรมดา

ตอนเด็กๆหลายคนคงต่างเคยตั้งสเปคไว้ว่า เราชอบคนประมาณไหน คนที่เราชอบต้องมีคุณลักษณะแบบนั้น คุณสมบัติแบบนี้ เป็นคนประมาณนั้น ประมาณนี้ เวลาอ่าน Pantip แล้วเจอคนแชร์กระทู้ประเภทชายหนุ่มตามหารักแท้ บอกว่าขอคนที่รักและดูแลผมแค่นั้นเอง ไม่เรื่องมาก จบด้วยตอนท้ายลิสต์สเปคไว้ยาวเหยียด “ถ้าขาว ถ้าสวย ถ้าหมวย ถ้าโง้นงั้นงู้นงี้ จะดีมากครับ etc. etc. etc.” — เล่นเอาสาวๆที่อดหมั่นไส้ไม่ได้พากันตอบกลับซะยาวเหยียดขอดูโพรไฟล์เจ้าของกระทู้บ้าง นี่เธอเป็นใครกันหนอ

อันที่จริงเราคงไม่อาจติหรือทักท้วงอะไรได้หากใครจะเลือกชอบคนสักคนโดยพิจารณาจากหน้าตา บุคลิกลักษณะก่อน เพราะในชีวิตจริง มนุษย์ไม่ว่าทั้งชายหญิง เป็นธรรมชาติที่เราต่างรับภาพประทับใจแรกของบุคคลคนหนึ่งได้จากภายนอก เหตุผลเดียวกับที่การแต่งตัวดูดีไปสัมภาษณ์งานทำให้คนเรามีชัยไปกว่าครึ่ง

หากแต่ต้องไม่ลืมว่าภายนอกนั้นบ่งบอกอะไรได้ไม่หมด
เพราะความสัมพันธ์กับใคร ไม่ว่าในแง่มุมใดของชีวิต
ลองสังเกตดูจะพบว่า จะดีและยืนยาวได้ ก็เมื่อเรารู้จักบริหารภายใน ปรับตัวเข้าหากัน พัฒนาความสามารถ นิสัยใจคอ

ตามความเชื่อของสังคมประเพณีไทย และแม้กระทั่งสังคมตะวันตกในบางพื้นที่เองก็ตาม หลายครั้งที่ผู้ชายมักจะถูกคาดหวังและวางบทบาทให้เป็นผู้นำ ต้องเก่ง ต้องเข้มแข็ง คอยดูแล ปกป้องฝ่ายหญิง ทำงานนอกบ้านหาเลี้ยงครอบครัว ในขณะที่เพศหญิงเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่า ต้องเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ เก่งงานบ้านงานเรือน

หลายๆครั้ง ที่สังคมและสื่อสอนและหล่อหลอมให้เราคิดแบบนั้น มีภาพหรือลักษณะความคิดที่ตายตัว (stereotype) ของชายหญิง ละครหรือนิยายหลายเรื่องยังคอยปลูกฝังความเชื่อซ้ำๆอีกอย่างที่ว่า ชีวิตคนเรานั้นจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อเราได้ค้นพบคนที่เรารัก ในชีวิตจริงคนเราต้องมีพระเอก นางเอกของเรารออยู่ที่ไหนซักแห่ง และคนที่ไม่เจอคนข้างกาย คือคนที่ยังขาดอะไรไปในชีวิต และก็ยังคงต้องรอหรือเดินค้นหากันต่อไป จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม

….แล้วถ้าไม่เจอล่ะ ต้องโทษอะไร?

ได้เคยดูรายการของอเมริกาชื่อดังเกี่ยวกับจิตวิทยาความรักและการใช้ชีวิตรายการหนึ่ง อย่าง Dr.Phil เป็นรายการที่เต็มไปด้วยข้อคิดดีๆ ดูแล้วได้คิดอะไรเยอะมาก มีหลายคนที่แก้ปัญหาชีวิตไม่ตก มาปรึกษาคุณหมอซึ่งเป็นจิตแพทย์และผู้ดำเนินรายการ ชอบเป็นพิเศษเพราะมุมมองและวิธีคิด ความตรงไปตรงมาของคำปรึกษาที่คุณหมอให้ หลายคนได้คำตอบกลับไปอย่างจุกๆ ไม่มีการเอาใจหรือปลอบใจ ให้ความหวังคนที่กำลังเศร้าอย่างลมๆแล้งๆแม้แต่น้อย

นี่เป็นตอนนึง มีผู้หญิงคนนึง มาปรึกษาว่า เธอโสด

“คือมีความรู้สึกว่าที่ตอนนี้ต้องโสดเพราะตัวเองใช้ชีวิตคนเดียวได้สบายไปอะค่ะคุณหมอ รู้สึกว่าไม่เห็นจะต้องการใครเลย อยู่ได้ด้วยตัวเองหมด จะปีนเขา จะลุยป่า ทำเองได้สบาย รู้สึกว่าตัวเองต่างจากผู้หญิงคนอื่นมาก ทำไมคนอื่นดู needy ดูต้องเรียกร้องความสนใจนั่นนี่ ทำตัวอ่อนแอให้ผู้ชายจัง คือตอนนี้สงสัยอะค่ะว่าถ้าอยากจะมีแฟนนี่ต้องทำตัวแบบนั้นเลยหรอ ทำไมผู้ชายถึงชอบผู้หญิงดราม่า ไม่เข้าใจจริงๆ นี่ปัญหาคือรู้สึกตัวเองไม่เป็นผู้หญิงแบบนั้น ไม่เรียกร้องต้องการอะไรจากผู้ชายอะค่ะ นี่หรือเพราะไม่แกล้งทำเป็นอ่อนแอบอบบาง เลยไม่เคยเจอผู้ชายดีๆอยากมาดูแลเลย”

“ผมว่ามันไม่เหมือนกันนะ สำหรับผม การที่เราแสดงออกถึงความต้องการใครซักคน แสดงให้ใครซักคนเห็นว่าเรามี a need for/to be with that person มันไม่ได้เป็นการแสดงความอ่อนแอ แต่มันคือการที่เค้าแสดงให้ผมเห็นว่า เค้าต้องการผมเป็นเพื่อนร่วมทาง พร้อมจะเข้าอกเข้าใจกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน การที่ภรรยาผมจะแสดงออกว่าเค้าเข้าใจและภูมิใจในสิ่งที่ตัวผมเป็นหรือสิ่งที่ผมทำ มันทำให้ผมรู้สึกดีและรู้สึกได้ถึงคุณค่าในตัวเอง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมอยากได้รับและอยากรู้สึก ผมไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องของความอ่อนแอตรงไหน กับการที่ผมอยากให้คนที่ผมรัก อยากให้ภรรยาหรือครอบครัวผมแสดงออกว่าอยากมีกันและกันในชีวิต ผมว่าการแสดงความต้องการในระดับที่พอดีมันเป็นอะไรที่ healthy นะ มันดีต่อความสัมพันธ์”

….

นั่งฟังจบแล้วชอบมาก ชอบเพราะมันทำให้ตกผลึกอะไรได้หลายอย่างย้อนจากการดูคนที่เค้าคิดว่าเค้ามีปัญหา ได้ทบทวนความเดียงสาผสมทิฐิอันไม่น่ารักบางอย่างของมนุษย์ นึกย้อนแล้วตลกตัวเองสมัยยังเป็นวัยรุ่น กับ mindset ที่ว่า ชีวิตคนอย่างเราไม่จำเป็นต้องมีคนรัก คิดเข้าข้างตัวเองไปเรื่อยเปื่อยตลอดว่า ชีวิตนี้อยู่คนเดียวได้สบาย มีหน้าที่มากมายที่ต้องจัดการด้วยตัวเอง เชื่อว่าชีวิตเราทุกอย่าง นอกจากครอบครัวและเพื่อนแล้ว ไม่ต้องไปหาความรักให้รู้สึกชีวิตครบสมบูรณ์จากที่ไหน ไม่ทุกข์ใจและไม่ไขว่คว้า และสามารถทำหน้าที่และใช้ชีวิตของตัวเองไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ได้ต้องการใคร หรือความสัมพันธ์พิเศษแบบไหนมาเติมเต็ม ถามว่าความคิดนี้เมื่อให้ย้อนคิดกลับไป รู้สึกอยากจะแก้ไขหรือเปลี่ยนความคิดไหม คำตอบคือ ถ้าทุกวันนี้ยังอยู่คนเดียว ก็คิดว่ามันคงยังเป็นหลักอะไรที่อยากใช้เตือนสติตัวเองอยู่นะ เพราะเชื่อว่าความสุขของคนเรา ลึกๆมันก็อยู่ที่ใจเราวางเองนี่แหละ คิดให้ดีมันก็ดี ให้เหงามันก็เหงา

แต่ยอมรับว่าพอโตแล้ว ได้พบเจอเรื่องราวที่สร้างมุมมองใหม่ในชีวิต คนที่เข้ามามีอิทธิพลดีๆกับชีวิต มันทำให้ระบบความคิดหลายอย่างเปลี่ยนไป แม้ส่วนใหญ่ยังต้องใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ที่เคยมองว่าเราอยู่คนเดียวได้ ก็ยังค้นพบว่าอยู่คนเดียวได้ ยังต้องรัก ยังต้องดูแลตัวเองอยู่ ต้องทำงาน ต้องเรียนหนังสือ มีหน้าที่มีภาระของตัวเองที่ต้องรับผิดชอบ แต่เอาอีโก้เดิมๆสมัยเด็กๆมาปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมื่อเจอความรักดีๆ มันมีกำลังใจและมีเป้าหมายที่อยากจะทำหน้าที่ของตัวเองมากขึ้น คิดว่านั่นคือความสำคัญของความรักมากกว่า การได้เจอคนที่ยอมรับและเข้าใจในตัวเรา การได้รับและได้เป็นกำลังใจให้กันและกันในชีวิต อย่างที่ Dr.Phil บอก มันคือ a need for companionship มีคนที่สนับสนุนกันคอยร่วมทาง

และยิ่งโตก็ทำให้เรียนรู้ว่า การเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ในเรื่องของลักษณะการดูแลความสัมพันธ์ หรือสเปคหลายๆอย่างที่คนเรามักชอบตั้งไว้ มันช่างไม่มีอะไรตายตัว ผู้ชายไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งตลอดกาล ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องอ่อนหวานตลอดไป มันสำคัญที่การเข้าใจบทบาทของตัวเองในแต่ละสถานการณ์ เรียนรู้ว่าเราควรต้องแสดงออกอย่างไร วันนี้เธอเข้มแข็ง พรุ่งนี้เธอก็อ่อนแอได้ ไม่ได้แปลว่าเป็นเพศชายแล้วต้องไม่มีความรู้สึก ไม่มีความเสียใจ สำคัญที่ถ้าฝ่ายนึงไม่ไหว อีกฝ่ายอย่าลืมที่จะให้กำลังใจและคอยประคับประคอง คงเหมือนที่โบราณเปรียบไว้ เพื่ออุณหภูมิที่เหมาะสม หากฝ่ายนึงเป็นน้ำร้อน อีกฝ่ายต้องเป็นน้ำเย็น

รักกันไม่ใช่การคาดหวังว่าเธอต้องทำหน้าที่ผู้ชาย ฉันต้องทำหน้าที่ผู้หญิง การช่วยดูแลความรู้สึกซึ่งกันและกัน และการไม่สร้างบทบาทหรือความคาดหวังในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของอีกฝ่าย จึงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากจริงๆในการประคับประคองความสัมพันธ์

Stephen Hawking บอกไว้ว่า

“One, remember to look up at the stars and not down at your feet.
Two, never give up work. Work gives you meaning and purpose and life is empty without it.
Three, if you are lucky enough to find love, remember it is rare and don’t throw it away.”

อ่านแล้วรู้สึกมันดีต่อทั้งคนที่มีคนข้างกาย และคนที่ไม่มี อาจไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีที่จะเจอความรัก เพราะเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ไม่อาจคาดหวังได้เลย ว่าจะมาไหม หรือจะมาเมื่อไหร่ ถ้าไม่เจอก็ขอแค่อย่าลืมว่าชีวิตเราก็ยังมีเป้าหมายให้ได้ไขว่คว้ากันเหมือนเดิม ตั้งใจทำชีวิตและอนาคตได้เหมือนเดิม และคุณค่าของคนเราก็อยู่ที่การทำตัวเองให้มีคุณค่าด้วยตัวเองนี่ล่ะ

และถ้าใครที่โชคดีได้เจอความรักดีดี ดูแลประคับประคองไว้ให้ดีเสมออาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คงไม่ยากเกินไปหากเราตั้งใจ

:)

--

--