Day 7–9 : Working Day (14–16/11/16)
วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง (ไหนว่ะตลิ่ง???)
อ๊ะสวัสดีครับคุณผู้ชม วันนี้เราจะมาพูดถึงในช่วงในลอยกระทงของผมกันนะครับ
ก่อนอื่นเลยผมขอบอกก่อนเลยว่า การเขียนครั้งนี้จะเป็นการควบสามวันติด คอมโบคูณสามกันไปเลยยย เนื่องจากมี สองเหตุผลหลักๆคือ
1) เพื่อความสดใหม่ อัพเดตตลอดแบบวันต่อวัน
2) เริ่มจำเรื่องเก่าๆไม่ได้แล้ว ย้อนไกลเกิ๊นนนน (และมันคือเหตุผลหลัก)
เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและความทรงจำอันเลือนลางของกระผมมาเริ่มที่
วันที่ 7 : 14/11/16
วันนั้นทุกคนก็คงรู้ดีว่ามันคือวันลอยกระทงใช่มะ แต่ที่ญี่ปุ่นก็เหมือนเป็นปกติวันหนึ่งทั่วไป แล้วแถมฝนตกบังพระจันทร์อีก อิหอยหลอดด
คือวันนี้อ่ะก็ทำงานปกติแหละ ก็เริ่มคุ้นชินกับทุกคนในแผนก ทำอะไรหลายๆเป็นแล้ว โดยที่ไม่ต้องพึ่ง หรือถามเค้า หรือเรียกว่า ปีกกล้าขาแข็งขึ้นนั่นแหละ ก็เลยทำงานตั้งแต่เช้ายันเย็นตามเวลางาน และอาจจะได้แอบอู้(นั่ง) ตอนไปเบิกสินค้า อย่างเช่นแผงวงจรไฟฟ้า เพราะต้องเสียเวลานับเลยนั่งนับ(+อู้เลย)
โดยปกติแล้วทุกเช้าของผมเมื่อกินข้าวเสร็จ จะกินชาร้อน (ซึ่งที่โรงงานตู้กดฟรีเยอะมาก เยอะกว่าตู้กดน้ำเปล่าบ้านเราอีกมั้ง 5555) และจะกินโกโก้ร้อนอีกถ้วย คือที่โรงงานนอกจากน้ำฟรีก็มีน้ำเสียเงิน คือตู้กดน้ำขวดๆ กับ ตู้ชงกาแฟหรือโกโก้ร้อนหรือเย็นอีก (ดีไปอีกกกกกก) แถมราคาไม่ค่อยสูงมาก เพียง 60–80 เยนเอง แต่ก็พักได้ไม่ได้นาน แค่ 15 นาทีก็ต้องไปทำงานแล้ว อย่างที่เคยเล่าๆมานั่นแหละ ถ้าไม่รู้ก็ย้อนกลับไปอ่านสิ !!! จะให้เล่าซ้ำเพื่ออออ
หลังจากทำงานเสร็จวันนั้นก็ไปซื้อกล้วยที่ห้าง อิอ้ง หรือ อีอ้อน นั่นแหละ ซื้อมา 6 ลูก 300 กว่าเยน ลองกล้วยมาสองแบบคือกล้วยจากฟิลิปปินส์ที่เป็นเจ้าตลาด กับกล้วยกัวเตมาลา สรุปกล้วยกัวเตมาลาอร่อยกว่า แต่ถ้าจะให้อร่อยอีกนิดก็ต้องรอสักวันสองวัน หลังจากนั้นก็กางร่มเดินกลับหอ (สุขสันต์วันลอยกระทง)
วันที่ 8 : 15/11/16
วันก็เป็นอีกวันที่ธรรมด๊า ธรรมดามาก แต่ร่างกายตัวเองนี่แหละที่เริ่มไม่ธรรมดา คือร่างกายเริ่มงอแงจากการอาการทำงานที่ต้องยืนก้มทำงานเกือบทั้งวัน เริ่มเกิดอาการปวดหลัง ปวดเอว และปวดคอ หรือมีใครมาขี่คอกูวะ? จะบ้าหรอ = =! ก็ต้องมีการบริหารร่างกาย บริหารไปๆมาๆ จนหัวหน้าแผนกคุณซาโต้มาเห็น จนต้องเดินมาคุยแล้วถามว่า เป็นอะไร เจ็บตรงไหนเปล่า
อ๋อ เจ็บไหล่และหลังนิดหน่อยครับ
แล้วไปทำไรมาถึงเจ็บ???
(ชิบหายละจะบอกว่าความจริงก็กลัว กลัวเค้าคิดว่าเราโยนความผิดไปอีก ทั้งๆที่มันก้มมากไปแหละ)อ๋อ สงสัยเดินเยอะมั้งครับ อยู่ไทยไม่ค่อยชินแหะๆ กับทำงานเดิมๆเป็นเวลานานๆมั้งครับ แหะๆ (อ๋ออีกอย่างที่ไม่บอกความจริงไม่ใช่อะไรหรอก แปลญี่ปุ่นไม่ถูกกกก และนั่นอาจจะเป็นประเด็นหลัก 5555)
อ๋องั้นหรอ งั้นดูแลตัวเองดีๆนะ แล้วก็ออกกำลังกายบ่อยๆ ด้วยละ
ลืมบอกไปว่าญี่ปุ่นจะแยกการออกกำลังกายเป็นสองแบบใหญ่ๆมั้งเท่าที่รู้คือUndou (อุนโด) คือการออกกำลังกายโดยมีอุปกรณ์ช่วยพวกแบตมินตัน บาสฯ ไรงี้กับอีกแบบคือ Taisou (ไทโซ) คือการออกกำลังกายโดยที่ไม่มีอุปกรณ์หรือการวอร์มร่างกายไรงี้อ่ะ นั่นแหละ นางก็ให้ไปไทโซบ่อยๆ เพื่อคลายกล้ามเนื้อ

พอเสร็จก็ถึงพักเที่ยงก็มากินข้าว โดยวันนี้เป็นเมนูเหมือนฉู่ฉี่ปลาซาบะ แต่ไม่รู้มันคืออะไรเหมือนกัน แต่รสชาติอร่อยดีเหมือนกัน กับสลัดที่ใส่กระเจี๊ยบสดด้วย
หลังจากนั้นก็ทำงานต่อก็ยังรู้สึกปวดตามจุดต่างๆเหมือนเดิม แต่ผ่านไปสักสองชั่วโมงบ่ายสามมั้ง ก็เริ่มคุยกับป้า 3 in 1 นั่นแหละรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บไม่รู้ว่ามันเกิดจากการที่เราเครียดทำแต่งานเดิมๆหรือเปล่า ไม่พูดจาไม่มีการผ่อนคลายไรงี้ พอได้พูดแล้วรู้สึกเหมือนหายเจ็บน้อยลง แต่ก็เจ็บอยู่ดีแหละ
วันนี้ทำงานเสร็จไว 16:50 ก็เสร็จแล้วจีงมีโอกาสได้คุยกับป้าต่อ ป้าก็พูดขึ้นมาว่า
วันนี้งานเสร็จเร็วดีจังเลย รู้สึกดี
ใช่ๆ อ๋อแล้ววันเสาร์ อาทิตย์ต้องมาทำโอทีด้วยหรือเปล่า
อ๋อปกติก็ไม่นะ ถ้างานเสร็จก็ไม่มีโอที แต่ถ้างานไม่เสร็จก็จะมีโอที ซึ่งทุกคนจะเกลียดมากเพราะอยากจะมีเวลาวันหยุดเป็นของตัวเองด้วย ดังนั้นการทำงานน่ะ ทุกคนถึงได้เคร่งเครียด ช่วยเหลือกันและกัน เพื่อที่จะให้งานออกมาดี และไม่ต้องมาทำโอทีด้วย
นี่ก็คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนญี่ปุ่นเขาถึงเคร่งเครียดขมักเขม่นในการทำงานสินะ เพื่อที่จะได้มีเวลาส่วนตัวของแต่ละคนด้วย ก็น่าคิดเหมือนกันนะ
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาเลิกงานทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนอาหารเย็นก็เป็นมาม่าเหมือนเดิม
วันที่ 9 : 16/11/16
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ทำงานปกติ จะให้แปลก ให้พีคทุกวันก็ไม่ดีม้างงงงง
แล้วก็พึ่งพาตนเองทำเองได้หมดแล้ว (คือแทบรู้เบื้องต้นหมดแล้วอะ รู้แค่ภาษาญี่ปุ่นที่ไม่รู้ ถ้าบรรจุเป็นพนักงานก็ทำได้แล้วอะ พูดจริง น่อออออ) แต่ในช่วงบ่ายของวันนั้นมีเรื่องอยู่ว่า
คุณซาโต้เดินมาหาแล้วบอกว่า ว่างไหม เดี๋ยวพาไปดูแผนก 2 (ในตอนนี้อยู่แผนก 3) ไอเราก็โอเค ก็งงๆ ว่าทำไม ที่ไหนได้คือ…
เดี๋ยวตั้งแต่พรุ่งนี้นะ ให้มาทำงานที่นี้นะ
(อะไรนะ กูกำลังเพลินกับการทำงานเลย ย้ายกูแล้ว ม่ายยยย T T) อ๋อโอเคครับๆ
ซึ่งหัวหน้าแผนก 2 ก็ชื่อคุณซาโต้เหมือนกัน (ทำไมหลายซาโต้จังว่ะ)
ไอเราก็แอบเสียใจนิดๆนะ ว่าต้องจากคนในแผนกแล้วจริงๆหรอ
ในวันนั้นก็เลยทำงานทุกอย่างให้เสร็จหมด เพื่อเป็นการตอบแทนที่เขาช่วยเหลือเรามาด้วย จนก็มีเวลาว่าง ในช่วง 17:00 ก็ยืนคุยกันเหมือนเดิม ผมจึงพูดขึ้นมาว่า
ขอโทษนะ ผมอยากได้ชื่อที่เป็นตัวคันจิ (คือปกติชื่อคนต่างชาติจะใช้ตัว คาตาคานะ ไว้เขียนทับศัพท์ต่างประเทศ แต่ไอเราอยากได้คันจิให้เหมือนคนญี่ปุ่นบ้างไง)
คือตอนแรกก็คิดกับป้าคนเดียว ไปๆมาๆ ป้าไปดึงเพื่อนร่วมงานอีกสองคนช่วยกันคิด คือแบบยิ่งใหญ่มาก เค้าก็ถามที่มาโน่นนี่นั่น ว่าจะเอายังไงดี
จนสุดท้ายได้เป็นการทับศัพท์จากชื่อ คานาคานะ คือชื่อสองนี่แหละ (Song,ソーン)
ได้เป็นว่า
蘇音
อ่านว่า so-on (โซโอง = สอง) แปลว่า เสียงของผู้ที่กลับมาเกิด
เหยดดดด ยิ่งใหญ่สาดดดด รู้สึกภูมิใจกับการได้ชื่อคินจิมากกกก
หลังจากนั้นก็หมดเวลาทำงานพอดี ก็เลยขอบคุณป้าและคนอื่นๆที่ช่วยกันดูแลกันมา
แล้วเราจะคิดถึงป้าตลอดไป
สำหรับสามวันนี้ก็จบลงแล้วนะครับ มันอาจจะเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่ไม่ได้พีคอะไรมาก แต่ก็ทำให้เห็นมุมๆนึงของคนญี่ปุ่นเหมือนกันว่าเค้ารู้สึกหรือเขาเป็นอย่างไร ชีวิตเรามันคงสุขอย่างเดียวไม่ได้หรอกเนอะ ยิ้มทั้งวันก็เป็นคนบ้านะสิ !
ส่วนสำหรับตอนถัดไปก็จะอัดคอมโบ สองวันติด ให้จุใจกันไปเลยกับการย้ายแผนกใหม่ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไงบ้างน๊อ ขอให้เจอเพื่อนร่วมงานดีๆด้วยเถิดดด
สำหรับวันนี้ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้
Sayonara
dinosong in resuscitated of voice