Review in 2018

Ganchana Youpaisan
4 min readDec 31, 2018

--

สำหรับคนทั่วไปชีวิตคงเริ่มตอนที่เกิดมาใช่่มะ แต่มันไม่ใช่สำหรับผมเพราะ “ชีวิตของผมเริ่มต้นในปีนี้ ปี 2018”

อาจจะฟังดูแปลกๆนะ งั้นผมจะมาเล่าให้ฟังเองว่าเพราะอะไร

บทที่ 1

จากเด็กที่วันๆเอาแต่เรียน เลิกเรียนกลับห้อง นอน เล่นเกมส์ใช้ชีวิตธรรมดาๆคนนึง เปลี่ยนตัวเองให้เริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ก้าวออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง

จุดเริ่มต้นก็มาจากเพื่อนคนนึงที่ชื่อว่า”พรีรูท” คนที่ชักชวนให้ลองมาทำงานของมหาลัย(โดยใช้การไปเที่ยวญี่ปุ่นมาล่อนะ 5555) แล้วจะเหลืออะไรละครับ ผมตอบ ตกลง โดยงานแรกที่เราทำนั้นคือ ค่ายstartupที่สจล.วิทยาเขตชุมพร

พวกเราเดินทางไปกันทั้งหมด 6 คนมี ผม เติ้ล บิ๊ก พรีรูท พี่ฟ้าและฟร๊องซ์ โดยเป็นค่ายการแข่งขันที่เกี่ยวกับstartupค่ายแรก(ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า startup คืออะไร 5555)พวกเราใช้เวลา 3 วันในการ workshopและแข่งขัน จนสุดท้ายทีมของผมก็ชนะเลิศ(ดีใจ ตบมือ แปะๆ เป็นรางวัลแรกตั้งแต่ขึ้นมหาลัยเลย) พร้อมเงินรางวัล 20,000 บาท แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินคือ มิตรภาพที่ได้กลับมา

คนที่ชุมพรน่ารักมากก เป็นกันเองสุดๆ เฮฮาและต้อนรับพวกเราอย่างดี พวกเราจะไม่ลืมเลย

และอีกหนึ่งมิตรภาพนั้นคือ พวกเราทั้ง 6 คนนั้นเอง ที่สนิทกันมากจากที่ไม่ค่อยรู้จักกันมาก่อนเลย โดยเฉพาะ “พี่ฟ้า” คนที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนต่อไปในชีวิตของผม

บทที่ 2

ในช่วงที่เราพึ่งกลับมาจากชุมพรก็เป็นช่วงที่ใกล้สอบปลายภาคพอดี พวกเราได้มาอ่านหนังสือสอบกันที่โรงอาหารของมหาลัย ระหว่างที่เรากำลังอ่านหนังสือกันนั้น

“พี่ฟ้า” ได้แนะนำให้รู้จักกับโครงการ “Founder Appentice” พวกเราลังเลกันมากที่จะสมัครดีไหม เพราะมันเป็นช่วงสอบ อารมณ์แบบมีกล้วยหอมจอมซน บี1 บี2 เกาะอยู่ที่ไหล่

“เห้ย บี1 นายจะสมัครไหม”

“แล้วนายละจะสมัครหรือป่าว บี2”

แล้วทั้งสองก็พูดพร้อมกันว่า “สมัครรรร Go!!!”

สุดท้ายพวกเราก็ส่งโครงการนี้ พวกเราผ่านรอบ Online และรอบสัมภาษณ์กับพี่ NIA (พี่ๆน่ารักมากกกกก)จนไปถึงรอบสัมภาษณ์กับบริษัท โดยผมนั้นได้สัมภาษณ์กับ 3 บริษัทคือ HealthatHome Applicad และRicult

เริ่มสัมภาษณ์กันที่แรก HeathatHome พี่หมอตั้ม น่ารักมาก เป็นกันเองสุดๆ เป็นคนที่น่าทำงานด้วยมากๆ ต่อด้วยApplicad และสุดท้ายRicult โดยสัมภาษณ์เป็นคนแรกเลยจ้า เมื่อเข้าไปถึงคำถามแรกคือ พูดภาษาอังกฤษได้ไหม? สตั้นไป 2 วิเลยครับ แล้วก็ตอบไปว่า ได้นิดหน่อยแต่กำลังฝึกๆอยู่ครับ ในระหว่างที่ตอบคำถามรู้สึกถึงความงงๆของตัวเอง แต่ก็ตอบในแบบที่เป็นตัวเองสุดๆ

หลังสัมภาษณ์เสร็จในใจคิดไว้เลยว่าอยากได้ที่นี้มากนะ แต่ไม่ได้แน่ๆ ดูจากแต่ละคนที่สัมภาษณ์ ต่อแล้วโหดมากกกแถมรับแค่ 2 คน เราต้องเป็นคนที่สัมภาษณ์ได้ห่วยที่สุดแน่ๆ

บทที่ 3

หลังจากสัมภาษณ์ประมาณหนึ่งอาทิตย์ มีโทรศัพท์เข้ามาบอกว่าเราได้ทำที่ Ricult ก็รู้สึกงงๆนะ แล้วเค้ารับ 3 คนก็ยิ่งงงใหญ่ว่า ติดได้ไงวะ 55555

แต่ที่พีคกว่านั้นคือ มีอยู่วันนึงเรากำลังทำงานพิเศษอยู่ที่กระทรวงวิทย์มีสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรเข้ามา เมื่อรับสายก็เป็นเสียง ผญ ( พี่โบว์ Managerที่สัมภาษณ์เรา ) บอกว่า

“ ยินดีด้วยนะได้ทำงานที่ Ricult พี่อยากจะเริ่มฝึกงานก่อนวันเลย น้องตี๋สะดวกไหม”

ด้วยอาการตอนนั้นที่ทำงานเอกสารจนตาลายเลยตอบไปสั้นๆว่า “ครับ”

พี่โบว์แสดงอาการงงๆ “น้องไม่ตื่นเต้น ดีใจเลยหรอออ”

แล้วผมก็ตอบไปว่า “ดีใจอยู่ครับแต่พอดีทำงานอยู่เลยงงๆ 5555”

นั้นคือจุดเริ่มต้นการทำงานของผม

แล้วก็มาถึงวันที่พี่โบว์นัดเผื่อออกไปฟิลด์ในครั้งแรกด้วยความที่บ้านอยู่ไกลจากที่นัดมากกกกกเรียกว่าไกลสุดในคนทั้งหมดเลย แต่ถึงคนแรกโว้ยยย(ความรู้สึกของผู้ชนะ 5555)

ในการออกฟีลด์ครั้งแรกก็สนุก ได้พบปะผู้คนมากมายยย แล้วก็ได้รู้จักอีก 2 คนใหม่นั้นก็คือ พี่อุ้มและพี่นุ๊บนิ๊บ เอาจริงทุกคนสนิทกันไวมาก โดยเฉพาะพี่อุ้มที่สนิทกันไวเกิ๊นนนน
ปล.สนิทกันวันแรกก็มีภาพหลุดๆเลยจ้าาาา

บทที่ 4

ก่อนที่เราจะเข้าฝึกงานจริงมันก็ต้องมีการ traning กันก่อนใช่มะ มีหรอโครงการดีๆแบบ Founder Appentice จะไม่มี เป็นไปไม่ได๊

โดยในโครงการมีการ traning ทั้งหมด 5 วันโดยแบ่งคนเป็นทั้งหมด 6 ทีมเพื่อคิดงานขึ้นมากหนึ่งชิ้น ผมได้ลองทำอะไรใหม่ๆเยอะมากเช่น การออกไปสัมภาษณ์คนที่เราไม่รู้จักมาก่อนเลยและการออกไปpitch ideaที่ไลฟ์สดผ่าน facebook

เอาจริงพี่ๆในทีมมีทักษะในการพูดหรือการสัมภาษณ์มากกว่าผมมากๆเลยนะ แต่พี่ๆเลือกที่จะให้โอกาสน้องแบบผมได้ลองทำมัน ผมรู้สึกขอบคุณพี่ๆมากเลย(พี่ซีมสุดสวยยย พี่ไช้และพี่เนย์) ต้องบอกเลยว่าเป็นทีมที่ดีมากเลยจริงๆ

5 วันที่ผ่านมานี้มีครบทุกอารมณ์จริงๆ สนุก สุดมันส์ เครียด กังวล แต่มันมีค่ามากจริงๆ เพราะมันทำให้เราเปลี่ยน mindset ในชีวิตหลายๆด้าน ได้เจอพี่ที่คอยให้คำแนะนำดีๆในการทำงานและที่สำคัญเลยคือเราได้เจอมิตรภาพใหม่ๆที่ดีมากๆ มิตรภาพที่ไม่มีทางลืมเลย

บทที่ 5

ในวันเริ่มฝึกงานในแรกที่นี้เข้างานได้เจอกับพี่ที่ทำงานมากมาย(พี่โบว์ พี่นุ้บนิ้บ พี่ตูน พี่เบล พี่นิศา พี่เอิร์นCEOสุดหล่อของเรานั้นเอง) แล้วก็มีเด็กฝึกงานอีก 3 คนเป็นคนมาจากโครงการ 2 คน(พี่เบลและเจมส์)และอีกคนคือฝึกงานปกติจากม.เกษตร(พี่อุ้ม)

ทุกคนเป็นกันเองมาก ต้อนรับพวกเราอย่างดี โดยมื้อกลางวันมีการเลี้ยงต้อนรับที่ร้านPanda King (ร้านประจำของพี่โบว์และทีมOperation) และการต้อนรับอีกอย่าง
นึงคือ… เสนอโปรเจคในตอนบ่ายเลยจ้า และก็จบลงด้วยการที่ผม fail 5555 ผมจบวันแรกอย่างมีไฟในการคิดไอเดียใหม่ๆเพื่อพัฒนากระบวนการต่างๆในการปลูกข้าวโพด ( อารมณ์แบบเป็นซุเปอร์ไซย่าเลย ไฟมาาาา )

วันที่ 2 ก็พีคจ้าาา เจมส์และผมเป็นคนสอน โดยผมเองเป็นคนโดนสัมภาษณ์ในการทำ Design thinking เรียกว่าทุกคนรู้หมดว่าเราคิดยังไง เป็นคนแบบไหน ครั้งนั้นได้ข้อสรุปของการพัฒนาตัวเองคือ ให้ไปเล่น Tinder 55555 ทุกคนจบกิจกรรมนี้ไปด้วยความเฮฮาและความสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก

ผมทำงานที่นี้อย่างมีความสุขได้ออกไปต่างจังหวัดบ้างทำงานที่ออฟฟิศบ้าง

อะๆเกือบลืมว่าทำงานให้มหาลัยด้วย งั้นเราตัดฉากกลับไปที่งานมหาลัยกันดีกว่ากับทริปที่เรารอคอย ทริปไปญี่ปุ่นนนนนน

บทที่ 6

ตัดกลับมาที่งานมหาลัยเรากำลังเดินทางไปที่เมืองคุมาโมโต้ ประเทศญี่ปุ่น มันเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกของผมเอง ครั้งแรกก็ไปญี่ปุ่นเลยอะ ต้องบอกเลยว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี การได้ทำกิจกรรมและรู้จักเพื่อนคนญี่ปุ่น

แต่ที่สำคัญคือ การได้เที่ยว นั้นเองงงง กิจกรรมที่เราทำจะเริ่มในตอนเช้าจนเย็นแต่หลังจากนั้นคือ Free time!!!

7 วันที่อยู่โน้นบอกเลยว่าเที่ยวทุกวันได้ไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ไปออนเซ็น เดินช๊อปปิ้ง ไปดูภูเขาไฟและอีกต่างๆมากมาย เป็นช่วงเวลาที่มีค่าอีกช่วงของปีเลยทีเดียว

บทที่ 7

เมื่อกลับมาจาก ญี่ปุ่นก็ทำงานที่ Ricult ต่อเรื่อยๆจนครบเวลา

อยากขอบคุณทุกคนมาก ชอบความเป็นกันเองของพี่เอิร์น ชอบความเก่งของพี่เบลและพี่นิศา ชอบความรู้กันของพี่ตูน ชอบความเป็นห่วงเป็นใยของพี่นุ้บนิ้บ ชอบความสนิทกันเกิ๊นของแก๊งเด็กฝึกงานและชอบความพร้อมรับฟังของ พี่โบว์ ( Managerของผมเอง ) ที่นี้คือ ครอบครัวนึงที่ดีมาก ทุกคนพร้อมจะเข้าใจซึ้งกันและกัน ผมมีความสุขมากๆที่พี่ให้โอกาสและได้มาทำงานที่นี้

การทำงานรวมกันมันไม่ใช่แค่งานที่ได้รับมอบหมายเพียงอย่างเดียว แต่มันรวมถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ดี สิ่งๆนี้ก็สำคัญในการทำงานที่ดีเช่นกัน

Ricult จะอยู่ในความทรงจำของผมไปตลอดกาล “ขอบคุณนะครับ”

บทที่ 8

แล้วก็มาถึงงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลาคือ งานจบของโครงการ Founder Appentice เป็นงานที่พวกเราเหล่าเด็ก founder เตรียมกัน

โดยผมอยู่ฝ่ายสถานที่ซึ่งได้ทำงานกับพี่ปิงพี่ชายจากรั้วลาดกระบังเหมือนกัน ซึ่งบอกเลยว่าสนุกมากกกกก ไปนู้นทำนี่ เรียกว่าแทบจะอยู่กินกันเลย 55555 หยอกๆ เป็นพี่ชายอีกคนนึงที่อยากขอบคุณมากๆในปีนี้ แล้วก็ขอบคุณพี่ๆของทาง NIA และ CareerVisa ทุกคนที่ให้โอกาสผมได้เข้าโครงการดีๆแบบนี้

ในงานผมต้องขึ้นไปพูดประสบการณ์และความสำเร็จในการฝึกงานที่ Ricult ก็เป็นอีกครั้งที่ต้องพูดต่อหน้าคน ยังตื่นเต้นเหมือนเดิมนะ แต่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีขึ้น

“เราโตขึ้นแล้วนะตัวฉัน”

บทที่ 9

กลับมาทำงานของมหาลัยโดยเป็นผู้จัดค่าย ISTS 2018 เป็นความรับมือของทางไทยและญี่ปุ่น โดยมีผู้เข้าร่วมจาก 5 ประเทศได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย สิงค์โปร ฮ่องกงและญี่ปุ่น

เป็นค่ายที่ต้องทำหลายๆหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นออแกไนเซอร์และfacilitator มันเป็นค่ายที่เปิดประสบการณ์กับชาวต่างชาติ ความต่างกันของวัฒนธรรมไทยกัยญี่ปุ่น มีปัญหามากๆแต่พวกเราก็ผ่านมันไปได้ “เก่งมากๆเจ้าเพือนยากทั้งหลาย”

บทที่ 10

มาถึงบทสุดท้ายละ งานสุดท้าย Youth Co:lab Thailand 2018 เป็นงานที่ทำกับโรสและเจมส์ เป็นงานที่เปลี่ยนแนวคิดในการทำธุรกิจเพราะเป็นงานแข่งของธุรกิจเพื่อสังคม SE การทำงานสุดมันส์ของ Dream team จึงได้เริ่มต้นขึ้น เรา 3 คนทำกัน

เดอะ ปิ่นโต (The Pintho) แพลตฟอร์มสื่อการระหว่างผู้สูงอายุกับลูกค้าในการขายอาหารและหารายได้เพิ่มเติม พวกเราตั้งแต่คิดโปรเจคว่าจะเอาแบบไหน จะไปในแนวทางไหน จนกระทั่งการลงมือทำจริง(อันนี้ขอกราบขอบพระคุณพี่แก๊บ Young happyมากๆ ที่ให้โอกาสพวกเราได้ลองทำจริง)

แม้ตอนจบรายการนี้จะไม่ได้รางวัล แต่ที่เราได้คือ รอยยิ้มของคนที่กินอาหารเรา รอยยิ้มของพี่ๆในงานและที่สำคัญคือ “รอยยิ้มของเพื่อนทั้ง 2 คนของเรานั้นเอง”

ปีนี้เป็นปีที่มีอะไรเกิดขึ้นมากมายๆจริงๆในชีวิต ขอบคุณทุกคนที่เข้ามา ทั้งยังอยู่และออกไปแล้ว ขอบคุณจริงๆนะ
Thank you
Good Friends
Good Experiences
Good Opportunities
.
.
.
Good Memories

--

--