“Challenge Yourself” — 2017 Internship in JAPAN (Part I)

--

…หลังจากที่เคยดู Ad ของ Cubic Creative คำถามนี้มันก็กลายเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองเรื่อยๆ มาในทุกๆ ช่วงเวลาที่ใกล้จะปิดเทอม แน่นอนว่าปีนี้ เป็นช่วงเวลาที่หลายๆ คนรอคอย (บางคนก็อาจจะไม่อยากรอคอย) นั่นคือช่วงเวลาปิดเทอมของนักศึกษาปีที่ 3 หรือเป็นช่วงเหมาะเจาะที่นักศึกษาที่กำลังจะเข้าสู่โลกแห่งการทำงานใน 1 ปีข้างหน้านั้น เริ่มต้นที่จะเรียนรู้ และสัมผัสกับโลกแห่งการทำงานจริง ในรอบนี้ผมนั้นเอง ก็ได้เลือกที่จะ Challenge Myself ด้วยการพาตัวเองมาเปิดประสบการณ์ในต่างแดน

ปิดเทอมนี้ทำอะไรดี ? — Cubic Creative Ad

ทำไมต้อง Go Aboard ?

…แน่นอนว่าสิ่งที่ได้รับย่อมแตกต่างกันแน่นอน และสำหรับผมนั้นเหตุผลที่ผมเลือกมาที่ต่างประเทศนั่นก็คือ การที่เราได้เรียนรู้โลก และวิธีการทำงานในมุมใหม่ ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งที่เราได้จากที่นี่น่าจะแตกต่างจากที่ไทยพอสมควรเลยล่ะ (ตอนนี้ยังได้แค่คาดหวังนะครับ เดี๋ยวรอดูกันว่า 2 เดือนหลังจากนี้จะเป็นไปอย่างที่คาดหวังหรือเปล่า)

Why I choose Japan ?

…ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันจะมาท่องเที่ยว สำหรับผมแล้ว ผม(เกือบจะ)มีโอกาสมาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นหลายครั้งแล้วแต่ก็ติดปัญหาในหลายเรื่องๆ จริงไม่ได้เดินทางมาสักที แรกสุดในรอบนี้นั้นมันเกิดจากว่า ผมบังเอิญไปเห็นข่าวประกาศรับสมัครทุนฝึกงานญี่ปุ่นในเว็บส่วนงาน Internation Relation (IR) ของคณะที่ผมศึกษาอยู่ (SIT KMUTT)ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว สมัครเลยละกัน (เห็นว่ามีทุนด้วย) แต่แล้วก็เป็นเหมือนเดิมอีกครั้งที่ไม่ติด ฮ่าฮ่า ด้วยประการใดก็แล้วแต่ หลังจากนั้นพี่หงส์ที่ IR ก็มาชวนให้ลองสมัครของ Kobe University ดู (รอบนี้เป็นทุนส่วนตัว) ก็เลยลองสมัครดู ปรากฏว่าได้ ก็เลยเป็นที่มาในการมาญี่ปุ่นในครั้งนี้ (ตอบคำถามไหมนิ ?)

เงินไม่มีทำยังไง ?

…หาสิครับ ไม่มีก็ทำให้มันมี ไอ้เราก็วัดดวงมาตั้งแต่แรกแล้ว ว่าถ้าประเมินค่าใช้จ่าย + เงินที่มีแล้วไม่พอ ก็จะไม่มา ฝึกงานบ้านเราก็ได้ไม่ง้อไม่แคร์ อิ แต่บังเอิญว่า ทางคณะมีเงินสนับสนุนสำหรับนักศึกษาภายในคณะที่จะไปแลกเปลี่ยน (ในปีการศึกษานี้ 2559 จำนวน 15 ทุน ทุนละ 10,000 บาท) และประกอบกับ International Affairs @ KMUTT มีโครงการ Enhancing Student Mobility 2017 ซึ่งให้ทุนสนับสนุนกับนักศึกษาที่จะไปทำการพัฒนาความสามารถที่ต่างประเทศ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กำหนด ก็ยืนสิครับ ประหยัดค่าใช้จ่ายของตัวเองบ้าง

เตรียมตัวกันอย่างไร ?

…แน่นอนครับว่า มาญี่ปุ่นเกิน 15 วันก็ต้องขอวีซ่า ซึ่งด้วยความกระชั้นชิดนั้น ทางTani — San จาก Student Affairs Section, Student Affairs Division, Graduate School of Engineering, Kobe University แนะนำให้พวกเราทำ Certificate of Eligibility (COE) เพื่อจะได้ขอ Visa ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเราก็ดำเนินการส่งเอกสาร กันเรียบร้อย และรอรับ Certificate of Eligibility (COE) และ Letter of Acceptance (LoA) โดย Certificate of Eligibility (COE) ที่พวกเราได้รับมานั้นเป็น สถานะนักเรียน และมีอายุถึง 6 เดือน ซึ่งนั่นส่งผลให้พวกเราได้รับ Student Visa เป็นเวลา 6 เดือนด้วยกัน (ถึงแม้ว่าระยะเวลาจริงที่อยู่ที่นี่คือ 2 เดือน ก็เถอะ) บอกเลยว่า เป็นประสบการณ์อันร้อนแรงสำหรับพวกเรามาก เพราะพวกเราได้รับเอกสารกันวันที่ 25 พฤษภาคม ยื่นขอวีซ่า 26 พฤษภาคม และได้รับเล่มคืนวันที่ 30 พฤษภาคมช่วงบ่าย ซึ่งพวกเรานั้นจองตั๋วเครื่องไว้วันที่ 30 พฤษภาคม ไฟล์เวลา 16:25PM (แนะนำว่าไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง)

Student Visa (ซ้าย) และ Certificate of Eligibility (COE) (ขวา)

พร้อมแล้วก็ Let’s Go !

…เราเลือกบินด้วย Veitnam Airlines เพราะมัน Full Services เวลาดี และมันยังถูกมากๆ อีกด้วย (ถ้าไม่นับ Scoot ที่มีโอกาส OverBooking สูง และ AirAsia ที่ราคาพอๆ กันซึ่งถ้าเพิ่มอีกประมาณเกือบ 2,000 บาทก็ได้ VA แล้ว) ซื้อผ่าน Expedia ด้วยนะคร้าบบ ได้ส่วนลดด้วยถึงแม้ว่าจะไม่กี่บาทแต่ก็จะเอา (ถูกกว่าซื้อกับเจ้าตัวโดยตรง อิอิ) และที่บังเอิญไปกว่านั้นหรือเป็นความตั้งใจของ Expedia และเราเองบ้าง ทุกที่นั่งในทุกไฟล์ทที่เราเดินทาง เรานั่งติดริมหน้าต่างหมดเลย (มีแอบเลือกเองตอนขากลับขอนั่งริมหน้าต่างน้า)

มีเด็กๆ มาส่งด้วย เย้ ♥

(ซ้าย) พร้อมออกเดินทางแล้ว (กลาง) ขึ้นเครื่องล่ะนะ (ขวา) บรรยากาศริมหน้าต่าง
(ซ้่าย) อาหารบนเครื่อง(ก็อร่อยดีนะแทนข้าวกลางวันเราได้) (ขวา) Tranfer Flight Counter @ Noibai International Airport (Hanoi, Veitnam)

ต่อเครื่อง 6 ชั่วโมง !

…หลังจากที่เราขึ้นเครื่องจากไทยตอนประมาณ 16:25PM(GMT+7) ก็เดินทางมาถึง Noibai International Airport (Hanoi, Veitnam) เพื่อต่อไฟล์ท ส่งแรกหลังจากออกมาจากเกทแล้วพบเจอคือ มันไม่มีอะไรเลย OMG สนามบินแบบนี้มีบนโลกด้วยเหรอ เป็น International Airport นะ จากที่ไม่รู้จะทำอย่างไร Internet ก็ไม่มี ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเราเองนั้น ก็เลยไปดูที่ Flight Information ปรากฏว่าไม่มีไฟล์ทเรา ก็เลยรีบพุ่งตรงไปสอบถามที่ Tranfer Flight Counter ได้รับคำตอบมาว่า อ๋อ อันนี้มันยังไม่อัปเดตน่ะ ถ้าอยากดูแบบ Real Time ต้องขึ้นไปดูข้างบน แต่ตอนนี้ ประตูมันเปิดแค่ฝั่ง Gate 30 เป็นต้นไป Flight เรามัน Gate 22 มันปิดอยู่ เราเลยถอยกรูกันมานั่งรอข้างนอกอีกครั้งจนมีคำถามในใจขึ้นว่า “6 ชั่วโมงทำอะไรดี ?” อย่างแรกเลยคือหิวมาก ฮ่าฮ่า นั่งไปสักพักทนไม่ไหว ไปถาม Security Guard ตรงประตูฝั่ง Gate 30 นางก็ขอดู Boarding Pass แล้วก็อนุญาตให้เราขึ้นไปได้ พอขึ้นมาได้เราก็พบว่ามีร้านอาหารจำนวนมาก (แต่ไม่มีคน) เราจึงเดินสำรวจไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายมาจบลงที่ Burger King (เหมือนที่ไทยไม่มีให้กิน)

มิติใหม่แห่งการปั่นงาน

แน่นอนว่าช่วงที่พวกเราเดินทางนั้นเป็นช่วงที่ พึ่งสอบเสร็จระยะแรก จึงมีงานตกค้างมาจากก่อนปิดเทอมกันพอสมควร ฝั่งนึงนั่งปั่น Take Home Exam และอีกฝั่งนั่งดู VMware Academy ด้วยความเข้าใจว่าหมดเขตส่งวันที่ 30 ก็เลยกะจะปั่นวันนี้ซึ่งพอเสร็จและส่งไป ได้คำตอบกลับมาว่า

ไว้อาลัยให้กับคะแนนของเราด้วยนะครับทุกคน

Ps.เราจะไม่บอกว่าเป็นวิชาอะไรแล้วใครเป็นคนสอนนะ

Let’s Strong Together !

หลังจากที่เรารอคอยจนได้ขึ้นเครื่อง (Flight เที่ยงคืนครึ่ง) แล้วนั้น เราก็ได้ขึ้นเครื่องไปต่อกันสักที ในเครื่องเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้นบอกเลยไม่รู้เรื่อง (สลึมสลือมาก) แต่ตื่น(แบบไม่มีสติ)ทุกครั้งที่กัปตันประกาศหรือมีเสียงสัญญาณต่างๆ บอกเลยว่า เป็นการนอนที่โหดร้ายมาก เหมือนไม่ได้นอนเลย จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมีพระอาทิตย์สติเราจึงกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับตกใจที่เราพบเห็นว่า มี Arrival Card ของญี่ปุ่น อยู่ในมือ (ไปรับมาตอนไหนฟะ ?) จากนั้นแอร์ก็เริ่มเสิร์ฟข้าวเช้าบนเครื่อง ด้วยความมึนงง (แอร์นางเข้าใจว่าเราเป็นเวียดนามไปซะงั้น) นางเลยคุยกับเราด้วยภาษาเวียดนาม ไอ้เราก็เงิบสิ T T แต่สุดท้ายก็เคลียกันได้ด้วยดี ฮ่าฮ่า

(ซ้าย) พระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้น ถึงแม้จะหลับ แต่ก็ถ่ายรูปได้ งง ตัวเอง (ขวา) -ข้าวเช้ามื้อแรกเป็นอาหารญี่ปุ่น

ถ้าไม่เราก็เดินทางมาถึง Kansei International Airport (KIX) สักที หลังจากนั้นเป็นด่านของตม. ซึ่งเขาต้องการที่พักของเราที่ละเอียดกว่ามหาวิทยาลัย อีกทั้งเนื่องจากเรามาใน Student Visa จึงต้องทำ Resident Card แล้วก็ฟังตม.นางอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ อย่างละรอบ ทายสิว่ากว่าจะผ่านตม.มาได้กี่โมงเอ่ย ?

(ซ้าย) ถึงแล้วเย้ ! (ขวา) เวลาที่ไทย ซึ่งปกติยังไม่ตื่น

จากนั้นเราก็ติดต่อ Skygate Shuttle (ของ MK Group ก็คือรถตู้บ้านเราเนี่ยแหละ แต่เป็น Shared Car นะจ๊ะ) ปกติแล้วเนี่ยมันต้องจองนะ แต่ถ้ามันว่าง เราก็สามารถ Walk-in ไปขึ้นได้เลย ซึ่งโชคดีที่วันที่เราไปมันว่างพอดี เย้ จากนั้นรถก็มาส่งถึงที่พักของเราแถวๆ Higashinada (2,300 Yen แต่ถึงหน้าบ้าน+ช่วยยกของ+บริการดีสุภาพมากๆ) ซึ่งพอเราถึงปุ๊ปก็พบกับเพื่อนอีก 2 คนที่บินมาก่อนหน้าเราแล้ว และยังไม่ทันได้ทำการใดๆ เราก็จะไปมหาลัยกันทันที (ไม่มีการอาบน้ำไม่มีการพักการนอนใดๆ) เนื่องจาก Anna (เจ้าของบ้านที่เราอยู่)นางมีสอนตอน 10:40 เรามาถึงก็ 10:00 แล้วโดยเราเดินลงจากเขา (บ้าน ?) ขึ้นรถไฟสาย Hankyu ที่สถานี Mikage ไปลงที่สถานี Rokko เพื่อเข้า(ขึ้นเขา)มหาวิทยาลัย ซึ่งไกลพอสมควร (เรียกได้ว่าขาลากกันตั้งแต่วันแรกเลย)

สถานี Rokko (ถ่ายวันนี้ พึ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปที่นี่เลย ตอนมาครั้งแรกรีบ ฮ่าฮ่า)
วิวใต้ IC สวยมาก ต้องเดินผ่านทุกวัน

วันนี้วันที่ 3 ที่อยู่ที่ญี่ปุ่น ฮ่าฮ่า ตอนต่อไปจะเขียนถึงวันแรกในมหาลัย และแนะนำแลปของเราแล้วกันนะ วันนี้นอนดีกว่าง่วงแล้ว :)

--

--

เจ้าหมาโง่ (V.4.0)

จงอย่าเอาอะไรกับ หมาโง่ๆ ตัวหนึ่ง :3 [朗朗乾坤 昭昭日月 ]