Digital Advertising 2019

Krongkhanatsiri
6 min readOct 5, 2019

โฆษณากับดิจิตอลรวมตัวกันได้อย่างไรและจะส่งผลอย่างไรในยุคนี้….

อย่างที่เราทุกคนรู้จักหรือได้เห็นได้ดูโฆษณากันมาไม่ว่าจะเป็นแบบหนังสือพิมพ์ ใบปลิว หรือวิทยุแต่คำว่าดิจิตอลเราพึ่งเคยได้ยินได้ไม่นานจึงอยากรู้ว่า

คำว่าดิจิตอลเข้ามามีความสัมพันธ์อย่างไรกับโฆษณา

(คุณครองคณัฐสิริ รวยภิรมณ์ นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล แห่งประเทศไทย) กล่าวว่า “ดิจิทัล 4.0” และ “ดิจิทัลไทยแลนด์” เป็นวลีที่คนไทยเริ่มจะได้ยินบ่อยขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าหมายถึงอะไร เกี่ยวข้องกับพวกเรายังไง ส่งผลอะไรต่อชีวิตเราบ้าง และประเทศไทยในตอนนี้อยู่ในยุคใด คนไทยมีชีวิตผูกติดกับดิจิทัลมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้อินเทอร์เน็ต ซื้อขายออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ ทำธุรกรรมการเงินผ่านแอพพลิเคชั่น การสื่อสาร แต่เพียงเท่านี้ยังไม่พอที่จะพาสังคมไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล 4.0 ได้

ก่อนที่จะศึกษานิยามของ Digital 4.0 เรามาทำความรู้จักยุคแรกๆของโลกดิจิทัลกันก่อน 1.0 ถึง 3.0 คืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไร

Digital 1.0 เปิดโลกอินเตอร์เน็ต

ยุคนี้เป็นยุคเริ่มต้นของ “Internet” เป็นช่วงเวลาที่กิจกรรมและการดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนจากออฟไลน์ (offline) มาเป็นออนไลน์(online) มากขึ้น เช่น การส่งจดหมายทางไปรษณีย์ก็เปลี่ยนมาเป็นการส่งอีเมล์ E-mail และอีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การถือกำเนิดของเว็บไซต์ Website ที่ทำให้เราเข้าถึงทุกอย่างได้ง่ายขึ้นและทั่วถึง การอัพเดตรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบครั้งใหญ่และเป็นวงกว้าง การดำเนินกิจกรรมสะดวกและรวดเร็ว เริ่มมีกิจกรรมเชิงพาณิชย์และโฆษณาผ่านเครื่องมือออนไลน์เสมือนกับมีหน้าร้านที่ทุกคนบนโลกจะเห็นเราได้ง่ายขึ้น

Digital 2.0 ยุคโซเชียลมีเดีย

ต่อยอดจากยุค 1.0 ก็จะเป็นยุคที่ผู้บริโภคเริ่มสร้างเครือข่ายติดต่อสื่อสารกันในโลกออนไลน์ เครือข่ายสังคม Social Network นี้เริ่มจากการคุยหรือแชทกับเพื่อน สมาคม กลุ่มเล็กๆของผู้คนที่ต้องการความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสาร จุดเล็กๆนี้เริ่มพัฒนาและขยายวงกว้างไปสู่การดำเนินกิจกรรมในเชิงธุรกิจ โดยนักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่า Social Media เป็นเครื่องมือเชื่อมต่อและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้แก่พวกเขาได้เป็นอย่างดีด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังช่วยในการพัฒนา Brand วัดผลการดำเนินงานของธุรกิจ ส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ เสมือนว่า Social Media เป็นกระบอกเสียงและเวทีเสนองานแก่นักธุรกิจสู่สายตาชาวโลกเป็นอย่างดี เครื่องมือโซเชียลยังสามารถเป็นอำนาจในการต่อรองของผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจเลือกสินค้าและบริการ เนื่องจากมีตัวเลือกและร้านค้าให้เห็นมากขึ้นอีกด้วย

Digital 3.0 ยุคแห่งข้อมูลและบิ๊กดาต้า

ยุคแห่งการใช้ข้อมูลที่วิ่งเข้าออกเป็นล้านๆดาต้าให้เป็นประโยชน์ การเติบโตของโซเชียลมีเดียและ E-Commerce จากยุค 2.0 ทำให้เกิดการขยายของข้อมูลอย่างมหาศาล ทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น สื่อโซเชี่ยล เว็บเบราวเซอร์ หรือแม้แต่ธุรกิจอย่างธนาคาร โลจิสติกส์ ประกันภัย รีเทล ต่างมีข้อมูลเข้าออกเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน และเริ่มมีการนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังคำกล่าวที่ว่า “ใครมีข้อมูลมาก ก็มีอำนาจมาก”

ข้อมูลถูกนำมาประมวลผล จับสาระ วิเคราะห์ถึงความต้องการของผู้บริโภคเพื่อสร้างสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองโจทย์ของลูกค้าได้ ทุกองค์กรต่างเห็นความสำคัญของการนำบิ๊กดาต้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่การนำบิ๊กดาต้ามาตอบสนองอย่างเรียลไทม์นั้น จำเป็นต้องมีระบบคลาวด์ Cloud Computing มาช่วยอำนวยความสะดวก จัดเก็บข้อมูล เลือกทรัพยากรตามการใช้งาน และทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลบนคลาวด์จากที่ใดก็ได้ ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบ ข้อมูลต่างๆผ่านอินเตอร์เน็ต สามารถจัดการ บริหารข้อมูล และแบ่งปันข้อมูลกับผู้อื่น (Shared Services) ลดต้นทุนและลดความยุ่งยากเพื่อโฟกัสกับงานหลัก เพิ่มความเร็วในการบริการและการทำธุรกิจได้มากขึ้น

บิ๊กดาต้าสามารถนำมาต่อยอดโดยการคิดค้น เฟ้นหา และประยุกต์ใช้ข้อมูลนั้น พัฒนาเป็นแอพลิเคชั่น Application ที่ให้ความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภคผ่านทางสมาร์ทโฟนและแท็บเลตอีกด้วย

Digital 4.0 เมื่อเทคโนโลยีมีมันสมอง

และเราก็มาถึงยุคที่ความฉลาดของเทคโนโลยีจะทำให้อุปกรณ์ต่างๆสื่อสารและทำงานกันเองได้อย่างอัตโนมัติ เทคโนโลยีในสามยุคแรกที่กล่าวไปเปรียบเสมือนเป็นแขน ขา ให้แก่มนุษย์ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หยิบจับ คำนวณ ประมวลผมให้มนุษย์ มีแขน ขา แต่ไม่มีสมองเป็นของตัวเอง ในยุค 4.0 เทคโนโลยีถูกนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อลดบทบาทของมนุษย์ และเพิ่มศักยภาพของมนุษย์ในการใช้ความคิดเพื่อข้ามขีดจำกัด สร้างสรรค์พัฒนาสิ่งใหม่ๆ โดยจะใช้ชื่อยุคนี้ว่าเป็นยุค Machine-to-Machine เช่น เราสามารถเปิด-ปิด หรือสั่งงานอื่นๆกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านตัวเองผ่านแอพลิเคชั่นโดยไม่ต้องเดินไปกดสวิตช์ หรือตัวอย่างที่ถูกนำมาใช้งานจริงแล้วอย่างการพูดคำว่า “แคปเจอร์” กับแอพถ่ายภาพในสมาร์ทโฟน โทรศัพท์ก็จะถ่ายรูปให้อัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องกดถ่ายด้วยซ้ำ หรือแม้แต่เทคโนโลยีซิมูเลชั่น Simulation จำลองสถานการณ์เพื่อฝึกอบรมพนักงาน วางแผนสถานการณ์โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่จริง หรือเป็นสื่อการเรียนรู้แบบ Interactive เป็นต้น

โฆษณาดิติตอล มันมาเกี่ยวโยงกันได้ยังไง

การที่เทคโนโลยีเข้ามาทำให้พฤกรรมเปลี่ยน เทรนด์ของผู้บริโภคกำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัว และมองดิจิทัลเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิตไปแล้ว เห็นได้จากพฤติกรรม ที่ตื่นขึ้นมาต้องเช็คโซเชียลก่อน ต่อด้วยเช็คแอปแผนที่ว่ารถติดไหม ระหว่างวันอาจมีการใช้วอลเล็ทซื้อตั๋วเดินทาง หรือเติมเงินทางด่วน หรือการโอนเงิน ช้อปปิ้งออนไลน์ ซื้ออาหารผ่าน Food Delivery ก็เข้าข่ายเช่นกัน เราที่เป็นคนทำโฆษณาต้องตามให้ทันศึกษาจากพฤกรรมที่เปลี่ยนไปและนำกลยุทธ์มาปรับใช้จากที่เราโฆษณาในสื่อเดิมๆทำให้ผู้ไม่ทราบหรือไม่สนใจมากนักเราเลยต้องเปลี่ยนมาอยู่ในส่วนนึงที่กับผู้บริโภคเพื่อให้ทราบถึงการรับรืที่ส่งไปถึง การที่นักการตลาดเห็นโอกาสในการเรียนรู้ถึงความต้องการและพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคผ่านข้อมูลจากช่องทางดิจิทัลต่างๆ ได้มากขึ้น และนำเอาความรู้นั้นมาใช้ในการปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขาย ทำให้สื่อดิจิทัลให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าสำหรับนักการตลาด ทั้งผลตอบแทนเกี่ยวกับการรับรู้ตราสินค้า ความผูกพันในตราสินค้า และยอดขาย ซึ่งการเติบโตนี้จะยังคงมีความต่อเนื่อง ก็เลยกลายมาเป็นโฆษณาดิจิตอลที่ทุกคนเห็นกันค่ะ

ควรใช้ช่องทางหรือแพรตฟอร์มไหนในการโฆษณาเพื่อสร้าง Awearness

(คุณอัญทิรา เสกอ่วม บรรณาธิการบริหารสื่อข่าว the standard) กล่าวว่า

ก่อนอื่นเลย ก่อนที่เราจะพูดถึงplatfrom เราต้องดูที่คอนเทนต์ก่อน ว่าคอนเทนต์ที่เราจะทำเป็นในรูปแบบไหน มีทั้งรูปภาพ ข้อความ วิดีโอ เยอะแยะมากมายในปัจจุบันนี้

แล้วการสร้างคอนเทนต์ที่ดีคือ “เรื่องดี+เล่าดี” | สูตรนี้อีกร้อยปีก็ไม่เปลี่ยน

แพลตฟอร์มคือสิ่งที่ต้องตาม-ต้องเล่นให้ทัน เพราะมันคือเกมของยุคสมัย

ถ้าถามว่าหัวใจของคอนเทนต์ “ที่ดี” คืออะไร? ถึงที่สุดแล้ว มีเพียง 2 สิ่งที่เป็นสูตรอมตะตลอดกาล เพราะนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หรือจะนับต่อไปจากนี้อีกร้อยปี-สิ่งนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ คอนเทนต์ที่ดีมาจาก เรื่องเล่าที่ดี บวกกับ การเล่าเรื่องที่ดี

· เรื่องดี คืออะไร?

เรื่องราว/เรื่องเล่าที่ดี คือเรื่องที่มีประโยชน์และน่าสนใจ ประเด็นของเนื้อเรื่องต้องดี มีแง่มุมให้ขบคิด แตกต่าง ลุ่มลึก และต้องไม่ซ้ำ ไม่จำเจ ไม่เหมือนใคร เรื่องต้องแหลมคมแต่ต้องมีจุดที่ดึงดูดความสนใจ นี่คือเรื่องที่ดี

· เล่าดี คืออะไร?

เมื่อได้เรื่องดีแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการเล่าเรื่องที่ดี ถ้าพูดกันให้ถึงที่สุดแล้ว ในยุคนี้การแข่งขันของวงการสื่อหรือคนทำคอนเทนต์ที่บอกกันว่าดุเดือด ประเด็นที่แท้จริงแล้วมันอยู่ตรงการ “เล่าดี” ไม่ใช่ “เรื่องดี” เพราะสิ่งที่เรียกว่า “เรื่องดี” ทุกคนก็หาได้ไม่ต่างกัน ดังนั้น จุดต่างคือการเล่าเรื่องต่างหาก

ยกตัวอย่าง

เพจ อาสาพาไปหลง (ว่านไฉ) เป็นเพจท่องเที่ยว มีคนกดติดตาม 1 ล้านซับ กดถูกใจเพจอีก 8 แสนคน ภายในเวลา1ปี เพราะอะไรคนถึงถูกใจสิ่งนี้กัน 1. เนื้อเรื่องที่เค้าเล่า เล่าสนุก มีเสียงพากย์ที่ตลกๆ. เค้าจะแต่งเพลงประกอบสถานที่ที่เค้าไป 2. การตัดต่อเรื่องราวของเค้า เปิดคลิปมาเค้าจะบอกเลยว่าไปที่ไหนแล้วทำไมมันน่าสนใจ เค้าเปรียบเทียบ VDO Content ของเค้าเหมือนกับเพลงๆหนึ่ง เค้ายกเอาท่อนฮุคมาไว้ต้นคลิปเลย เพื่อให้ดูน่าสนใจ ไม่กดข้าม (เปิดคลิป)

เพจความสวยงาม น้อยหนึ่ง เมคอัพ เป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ น่าจับตามองมากในช่วงนี้ ด้วยฝีมือการแต่งหน้า และการสร้างคอนเทนต์การแต่งหน้าที่ไม่เหมือนใคร คือแต่งหน้า 5 นาที เล่นละคร 20 นาที ในทวิตเตอร์มีการพูดถึงการอย่างกันมากมาย มีแฮทแทคด้วย เป็นการบอกต่อกันเองโดยคนที่ดู ไม่มีการว่าจ้าง ซึ่งนั้นเป็นจริงที่สำคัญที่สุดในการทำคอนเทนต์ คือการได้รับฟีดแบค การกล่าวถึงในทางที่ดี (ตัวอย่างภาพจากทวิต และคลิปวิดีโอ)

การเล่าเรื่องที่ดีในยุคสมัยนี้ หนีไม่พ้นการทำความเข้าใจแพลตฟอร์ม คนทำคอนเทนต์ต้องทำความเข้าใจความแตกต่างของแพลตฟอร์ม อย่านำเอาคอนเทนต์แบบเดียวกันไปลงในทุกแพลตฟอร์ม เพราะมันคือหายนะ คนทำตอนเทนต์ต้องเข้าใจก่อนว่า แพลตฟอร์มแต่ละอย่างแตกต่างกันอย่างไร

· Facebook: โลกเสมือนจริง (vitual community) คนใช้งานส่วนใหญ่ต้องการบอกโลกว่า เขาเป็นใคร คอนเทนต์ที่เล่าไปแล้วจะโดนใจ จึงต้องเป็นคอนเทนต์ที่เน้นการตอบสนองตัวตนของผู้ใช้งาน

· Twitter: พื้นที่ที่ไวที่สุดในการตามกระแส ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลก จะเกิดขึ้นบน Twitter พร้อมกัน แพลตฟอร์มนี้ไวที่สุด เพราะพื้นฐานของมันคือ Now Trending คนทำคอนเทนต์ต้องเข้าใจว่า คนที่ใช้ Twitter ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโลก เพราะฉะนั้นคอนเทนต์ต้องตอบโจทย์นี้ (จะเห็นได้ว่า จุดนี้ต่างกับ Facebook อย่างมาก เพราะ Twitter ไม่เน้นบ่งบอกถึงตัวตนของผู้ใช้งาน มากเท่ากับความต้องการรับรู้ข่าวสารในโลกกว้าง)

· Instagram: คือนิตยสารไลฟ์สไตล์ โดยพื้นฐานแล้ว Instagram บอกเล่าความเป็นตัวตนคล้ายกับ Facebook แต่จุดขายและจุดเด่นของแพลตฟอร์มนี้คือรูปภาพ ไม่ใช่ตัวอักษร ดังนั้นคนทำคอนเทนต์ถ้าเข้าใจจุดนี้ได้ ใช้งานเป็น ก็ชนะบนแพลตฟอร์มได้

· YouTube: สำหรับประเทศไทย แพลตฟอร์มอย่าง YouTube คือโทรทัศน์กระแสหลักในโลกยุคใหม่ อาจเปรียบได้เป็นช่อง 3 หรือ ช่อง 7 ในสื่อโทรทัศน์ยุคดั้งเดิม คนทำคอนเทนต์จึงต้องมองให้ออกว่า จะเล่าเรื่องอย่างไรให้โดนใจ

· LINE TODAY: ในปัจจุบันคือสื่อกระแสหลักในโลกออนไลน์ไปแล้ว เพราะรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากหลากหลายสำนัก และสร้างความเป็น mass media ได้ ถ้าจะเรียกง่ายๆ LINE TODAY ในวันนี้ ก็คือไทยรัฐ (หนังสือพิมพ์ในยุคก่อน) ในรูปแบบออนไลน์ แต่กว้างด้วยเนื้อหากว่ามาก

ที่ผ่านมาแบรน์แต่ละแบรน์ใช้งบประมาณเท่าไหร่ในการทำโฆษณา

(คุณครองคณัฐสิริ รวยภิรมณ์ นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล แห่งประเทศไทย) กล่าวว่า

Facebook 5,762 ล้านบาท (2018 4,941 ล้านบาท)

Youtube 4,120 ล้านบาท (2018 2,931 ล้านบาท)

Creative 2,108 ล้านบาท (2018 1,680 ล้านบาท)

Display 1,731 ล้านบาท (2018 1,371 ล้านบาท)

Search 1,643 ล้านบาท (2018 1,651 ล้านบาท)

Social 1,472 ล้านบาท (2018 1,446 ล้านบาท)

Line 1,342 ล้านบาท (2018 1,196 ล้านบาท)

อุตสาหกรรมไหนคะที่ใช้เงินกับโฆษณาดิจิตอลมากที่สุด

(คุณครองคณัฐสิริ รวยภิรมณ์ นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล แห่งประเทศไทย) กล่าวว่าในปีที่ผ่านมา โฆษณาดิจิทัล เติบโต 36% ด้วยมูลค่า 17,000 ล้านบาท สูงกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ 21% และเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่หยุดการเติบโตของมูลค่าสื่อดิจิทัลมาจากเหตุผลหลายๆ ประการ ได้แก่

1. การขยายตัวของกลุ่มผู้ใช้งานดิจิทัลจากคนรุ่นใหม่สู่คนทุกวัย ที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร

2. สื่อดิจิทัลสามารถสร้าง Awareness ถึงกลุ่ม Target ได้เฉพาะเจาะจง และเป็นสื่อที่ผู้รับรู้ข้อมูลเกิดความสนใจในสินค้าหรือคีย์แมสเซสที่สื่อสาร ก็สามารถลิงก์ต่อ หรือ Search เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ทันที

3. นักโฆษณามีการปรับตัวจากการใช้สื่อดิจิทัลเพื่อสร้าง Awareness สู่การใช้สื่อดิจิทัลในรูปแบบ Integrated Communication เชื่อมโยงสื่อและประสบการณ์ที่มีกับแบรนด์ผ่านช่องทางต่างๆ และรีเทิร์นเป็นยอดขายผ่านการเชื่อมโยงประสบการณ์ในรูปแบบ Onmi Channel ได้

4. เอเยนซีมีการปรับวิธีการสื่อสารใหม่ๆ ผ่านสื่อดิจิทัล เพื่อดึงความสนใจผู้บริโภค โดยเฉพาะสื่อวิดีโอที่เอเยนซีมีการปรับรูปแบบการนำเสนอจากการนำ TVC มาลงในสื่อออนไลน์ เป็นการทำวิดีโอขึ้นมาใหม่ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสะดุดและหยุดดูโฆษณาก่อนที่จะเลื่อนนิ้วสกอลหน้าจอมือถือผ่านไป

สิ่งต่างๆ เหล่านี้เองทำให้อุตสาหกรรมโฆษณาดิจิทัลยังคงเติบโตจากแบรนด์ต่างๆ ที่หั่นเงินจากสื่อโฆษณาแบบดั้งเดิมสู่สื่อดิจิทัลมากขึ้น เพื่อหวังผลธุรกิจทางด้านยอดจำหน่ายจนเกิดการเติบโตเหนือความคาดหมายในแต่ละปี

สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย)) ได้คาดการณ์ว่ามูลค่าเม็ดเงินโฆษณาจะอยู่ที่ 19,692 ล้านบาท เติบโต 16%และ Category ไหน เป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้

1. รถยนต์, การสื่อสาร และ สกินแคร์ คือสามทหารเสือผู้เกาะอันดับ Top 3 ตลอดกาล

ในปีที่ผ่านมา 3 อันดับแรกของ Category ที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มยานยนต์, คอมมูนิเคชั่น และสกินแคร์ ส่วนในปีนี้ก็เช่นกัน

สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ของการเติบโตของ 3 กลุ่มนี้มาจาก

– กลุ่มยานยนต์: เติบโตจากเข้ามาทำตลาดของรถยนต์ในกลุ่มพรีเมียมที่มีจำนวนมากขึ้น และใช้สื่อออนไลน์ในการสื่อสาร จากการมองเห็นพฤติกรรมผู้ซื้อรถส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากการ Search และหาข้อมูลลงลึกในเว็บไซต์เฉพาะทาง

การที่ค่ายรถยนต์เปิดโมเดลใหม่ จะนิยมใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลที่หลากหลายเพื่อสร้าง Awareness เพื่อให้คนสนใจและหาข้อมูลเพิ่มผ่านเว็บไซต์รีวิว– กลุ่มการสื่อสาร: การโฆษณาออนไลน์ของกลุ่มนี้ไม่ได้มีเพียงแค่โฆษณาซิมการ์ด เบอร์โทร แต่ยังรวมถึงอุปกรณ์ IoT, แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ออปติก และแพ็กเกจเอ็นเตอร์เทนเมนต์จากค่ายมือถือ ที่ต่างช่วยกันผลักดันให้ตลาดมีการเติบมากขึ้น

– สกินแคร์ แต่จะเห็นเทรนด์ของสกินแคร์ในกลุ่ม Massive Brand Luxury Brand หันมาใช้สื่อออนไลน์ในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้ามากขึ้น จากเดิมที่เน้นใช้สื่อนิตยสารไฮเอนด์ในการสื่อสารเป็นหลัก

2. เครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ ขึ้นมาอยู่ Top 4

เครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์มีการใช้งบโฆษณาดิจิทัลสูงขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 644 ล้านบาท ในปี 2017 เป็น 1,148 ล้านบาท ในปี 2018

การเติบโต Category นี้มาจาก

แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลี่ยงกฎหมายห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ด้วยการโฆษณาผ่านเครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ เช่น น้ำดื่ม น้ำแร่ ที่เป็นแบรนด์เดียวกัน เพื่อสร้างการรับรู้เชื่อมโยงไปกับธุรกิจแอลกอฮอล์

– เครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์มีการออกสินค้าใหม่ๆ และกิมมิกใหม่ๆ ที่ล้อไปกับฤดูกาล เพื่อสร้างจุดต่างในการแข่งขัน และดึงดูดกลุ่ม Young Gen ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักให้ทดลองดื่ม

– กลุ่ม Young Gen ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักมีพฤติกรรม All Way On Connect ดูคอนเทนต์ออนไลน์ และไม่ค่อยดูทีวี

ฃพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้แบรนด์เครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ได้ทำตลาดในรูปแบบต่างๆ ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น การจับมือกับเว็บ/เพจที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารทำพาร์ตเนอร์ชิปโปรโมตสินค้าไปกับเว็บและเพจ หรือจับมือกับแพลตฟอร์มสั่งอาหารออนดีมานด์เพื่อโปรโมตสินค้า

3. ธนาคารอันดับตกแต่จะขอกลับมาใหม่

ในปี 2017 กลุ่มธนาคารถือเป็นกลุ่มดาวเด่นที่ใช้เม็ดเงินดิจิทัลสูงจนติดอันดับ 3 ในฐานะนักสเปนดิ้งดิจิทัลสูงสุด

ซึ่งการที่ธนาคารได้ไต่อันดับขึ้นมาอยู่ถึงอันดับ 3 ในปี 2017 มาจากการทุ่มเงินโฆษณาออนไลน์ หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารเปิดให้บริการโอนเงินผ่าน QR Code ที่มาพร้อมกับการแข่งขันของธนาคารที่ชูเรื่อง Digital Banking ผ่านแพลตฟอร์ม Banking Application เพื่อผลักดันพฤติกรรมผู้บริโภคสู่ Cashless Society

ปีนี้ธนาคารจะใช้เงินกับดิจิทัลมากขึ้น และขึ้นมาเป็นอันดับสี่

2017 ทุกธนาคารลงเล่น cashless society และทุ่มเม็ดเงินไปกับสื่อดิจิทัลมาก

ส่วนปี 2018–2019 กลุ่มธนาคารไม่ได้ใช้เม็ดเงิน โฆษณาดิจิทัล ลดลง แต่มีกลุ่มอื่นที่ใช้เงินในโฆษณาดิจิทัลมากกว่าเท่านั้น

แพรตฟอรมรูปแบบไหนไหนทำโฆษณาออกมาแล้วปังที่สุด

(คุณทักษิณา สุวรรณทอง หัวหน้าสมาคมมีเดียเอเจนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย) กล่าวว่า ต้องบอกก่อนเลยว่า ปัจจุบันนี้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันมาใช้social media ใช้เวลาอยู่กับแหล่งโซเชี่ยวมากขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกว่าจะใช้เวลาอยู่กับเหล่า social media กันมากขึ้นไปอีก สำหรับนักการตลาดอย่างเราจึงไม่ควรพลาดที่จะทำโฆษณาผ่านแหล่ง social media ต่างๆแหล่งโฆษณาอย่างแรกที่ต้องพูดถึงเลยเนี่ยคงเป็นอะไรไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ facebook และการทำโฆษณารูปแบบ Facebook Adsก็ค่อยข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก

1. Facebook Ads

การโปรโมทรูปแบบนี้มีเป้าหมายเพื่อโปรโมทสินค้าและบริการบนหน้าแฟนเพจให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายรวมถึงเป็นการเพิ่มยอดไลค์ยอดฟอลโล่ ปัจจุบันมีคนไทยใช้งาน Facebook มากกว่า 40 ล้านคน ทำให้โฆษณาของคุณมีโอกาสเข้าถึงคนจำนวนมาก คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ที่อยู่ อาชีพ งานอดิเรก หรือความสนใจอื่นๆ อีกทั้งยังสามารถเลือกวัตถุประสงค์ของการลงโฆษณาได้หลากหลายตามความเหมาะสม

การลงโฆษณากับ Facebook ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด และเริ่มลงโฆษณาด้วย content ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์กับลูกค้า ไม่เน้นการขายแบบ hard sale มากเกินไป เพราะคนเราปัจจุบันนี้ไม่ชอบอะไรที่มันhard sale นอกจากนี้คุณควรเริ่มต้นด้วยงบโฆษณาเพียงหลักร้อยต่อวันก่อนก็ได้เพื่อทดลองกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มงบประมาณกับแคมเปญที่มีคนสนใจเป็นจำนวนมาก เพื่อช่วยให้คุณประหยัดเงินและเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุดและตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ต้องการจะโฆษณาเพจวาดรูป เราก็การพิมพ์ที่content+กับรูปลงานที่ดี หรือเราจะเน้นที่ไปอย่างเดียวก็ได้ หลังจากนั้นใน facebook จะมีให้เราทำโฆษณา กำหนดเงินที่จะใช้ในการโปรโมท และให้เรากำหนดกลุ่มเป้าหมาย เพศ อายุ ความชอบ สถาณที่ สมมุตเดือนหน้ามหาลัยหนึ่งจะรับปริญญา เราก็ยิงกลุ่มเป้าหมายไปที่มหาลัยนั้น เพื่อให้คนที่กำลังหาของขวัญรับปริญญาเขาเห็นโฆษณาของเรา ไปตอบสนองneed ของเขา เพจๆนั้นก็จะเกิดรายได้จากกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ทันที วิธีนี้จึงฮิตและปังอย่างมาก

2. youtube

การโฆษณาผ่าน YouTube ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ ในแง่ของการโฆษณา

1. Masthead คือ โฆษณาที่สามารถเห็นได้ในหน้าแรกของ ยูทูป (Youtube) ตอนเรากดเข้าไปที่หน้ายูทูบจะขึ้นโฆษณาบนสุด การที่ทุกคนกดเข้ายูทูบมาก็ทำให้เกิดการมองเห็นและเกิดประโยชน์กับนักการตลาด

2. Trueview in — search Ads คือ โฆษณาแนะนำวิดีโอ และจะขึ้นเป็นอันดับแรกหลังจากค้นหา Keywords นั้นๆ “ไม่เป็นการรบกวนและลูกค้ายังสามารถเลือกชมได้ หากดูคลิปๆนึงเสร็จ โฆษณาของเราอาจเป็นอีกหนึ่งคลิปที่ต่อจากวิดีโอของท่าน

3. Trueview in — streams Ads คือ โฆษณารูปแบบวิดีโอที่จะขึ้นมาก่อนวิดีโอหลักที่ต้องการดู ซึ่งสามารถกดข้ามได้หลังจากที่ดูไป 5 วินาที ถ้าหากไม่ชอบเพียงกดข้ามแต่ถ้าโฆษณาตรงกลุ่มเป้าหมายเขาก็จะหยุดดูโดยไม่กดช้ามจึงเป็นอีกวิธีที่ปังเพราะไม่ได้บังคับกันจนเกิดไป ขอเวลาเพียง5วิที่จะทำให้ทุกคนสนใจและเกิดการรับรู้

3.Native Advertising

เป็นการโฆษณาที่เพิ่งได้รับความนิยมได้ไม่นานมากแต่ปัจจุบันกลับได้รับกระแสตอบรับที่ดีขึ้น เพราะเป็นการโฆษณาแบบแฝงที่แอบมีความเนียบเนียนสุด โดยจะทำโฆษณาแฝงไปในรูปแบบของcontent ด้วยจุดประสงค์ไม่ให้เป็นการขายตรงจนเกินไปเพราะผู้บริโภคปัจจุบันไม่ชอบอะไรที่ยืดเยื้อการใส่โฆษณาแฝงในcontent จะทำให้เกิดการรับรู้และจดจำในสินค้าและบริการโดยการโฆษณาแบบนี้มักถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์เพราะสามารถเผยแพ่ได้ในวงกว้าง แต่ละแบรน์ดมักนำสินค้าของตนไปให้เหล่าบิวตี้บล็อคเกอร์ในการให้ช่วยนำสินค้าเข้าไปแฝงอยู่ในวิดีโอคอนเท้นต์ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน เพื่อให้ไม่ฮาตเซลและดูสบายตาสบายใจที่จะรับชมไปในตัว และการที่ให้เหล่าอินฟอเรนเซอรนำเสนอสินค้าจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นอีก

4.Twitter Ads

Twitter เป็น social media ยอดนิยมรูปแบบหนึ่งที่มีผู้คนเข้ามารับข้อมูลอัพเดทล่าสุดเกี่ยวกับแบรนด์ กลุ่มสินค้า ดารา และกิจกรรมต่างๆ ที่พวกเขาสนใจ การลงโฆษณาบน Twitter จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจหากคุณต้องการสร้างกลุ่มผู้ติดตามด้วยต้นทุนที่ไม่สูงนัก

เคล็ดลับการลงโฆษณากับ Twitter คือ ให้เลือกโปรโมทโพสต์ที่มีเนื้อหาน่าสนใจ สามารถแชร์ต่อได้ง่าย และใส่ลิงก์เว็บไซต์ของคุณเข้าไปด้วย คุณสามารถเลือกใช้ Promoted Account เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม และใช้ Promoted Trend เพื่อให้ผู้คนแชร์โพสต์ของคุณโดยใช้แฮชแทกที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

5 .Instagram Ads

Instagram เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ให้ลูกค้าได้รับรู้ผ่านทางรูปภาพได้ โฆษณาบน Instagram มีรูปแบบที่เรียบง่าย แต่โดดเด่นและสะดุดตา เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักโดยเน้นภาพถ่ายของสินค้าเป็นหลัก เช่น ธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่น หรือเครื่องสำอาง

คุณสามารถเลือกลงโฆษณาได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพแบบสี่เหลี่ยมจตุรัสหรือแนวนอน วิดีโอที่มีความยาวสูงสุด 60 วินาที และโฆษณาแบบภาพสไลด์ที่ให้ผู้รับชมสามารถเลื่อนดูรูปภาพและวิดีโอเพิ่มเติมได้ในโฆษณาเดียว โฆษณาแต่ละช่องทางมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป สิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงโฆษณาออนไลน์คือการเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด

6.. LinkedIn Ads

โฆษณาบน LinkedIn จะมีรูปแบบการทำงานคล้ายกับโฆษณาบน Facebook คือโฆษณาของคุณจะแสดงผลต่อกลุ่มเป้าหมายที่คุณกำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นผู้คนในวัยทำงานหลากหลายอาชีพที่มีความสนใจคล้ายกัน

คุณสามารถทำให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากได้ เช่น ลงประกาศรับสมัครงานในตำแหน่งพิเศษที่ไม่ได้มีประกาศในเว็บอื่นๆ ทั่วไป โฆษณาจะมีประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อคุณเลือกใช้รูปภาพประกอบที่น่าสนใจ และกำหนดงบประมาณมากพอที่จะให้โฆษณาของคุณไปอยู่ในตำแหน่งที่มีผู้คนเห็นเป็นจำนวนมาก

7.Paid search

เป็นอีกหนึ่งการโฆษณาที่เป็นการซื้อAd เพื่อทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆของการค้นหาบนgoogle เป็นการเพิ่ทโอกาสการมองเห็นการรับรู้ความน่าเชื่อถือจนทำให้ลูกค้ากดคลิกเข้าไปในเว็บไซต์นั้นๆเพราะธรรมชาติของคนเรามักจะสนใจเว็บไซต์หรืออะไรที่อยู่อันดับแรกๆ การซื้อโฆษณา paid search จึงเป็นอีกตัวเลือกที่สำคัญ

การทำสื่อโฆษณานั้นเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดที่จำเป็นต้องทำอย่างมาก เพราะไม่ว่าคุณจะทำอะไรดีแค่ไหน คุณต้องหาทางให้คนมารู้จักสินค้าและบริการของคุณ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามที่เรียกความสนใจคนมาสนใจคุณ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครสนใจหรือรู้ว่าคุณทำอะไรเลยถ้าไม่บอกกล่าว ทำให้การซื้อสื่อโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ นั้น เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายของตัวเองนั้นมาสินใจสินค้าและบริการของแบรนด์ให้มากขึ้น หรือมากไปกว่านั้นก็ทำให้เปลี่ยนเป็นลูกค้าให้ได้

เมื่อการซื้อสื่อโฆษณาเกิดขึ้น ทำให้มีการแย่งชิงความสนใจในรูปแบบต่าง ๆ หรือเจ้าของสื่อเองก็ีการขายโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ ยิ่งเป็นเวลาที่คนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้นั้นจึงแพงขึ้นมา เช่น โฆษณาคั้นเวลารายการหรือละครดัง ๆ โฆษณานี้รูปแบบนี้ทำให้ผู้ชมต้องยอมอดทนดูโฆษณาเพื่อที่จะมาติดตามรายการต่อ แล้วด้วยพื้นฐานความติดแบบนี้เอง ก็ส่งผลมาถึงการทำโฆษณาในออนไลน์เช่นกัน ซึ่งหลาย ๆ อย่างผู้บริโภคก็ปรับตัวและไม่สนใจโฆษณานั้น ๆ เรียกได้ว่า Banner Blindness โดยโฆษณารูปแบบนี้ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้มีปรนะสบการณ์ที่แย่ เพราะสายตาสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่กลับมีโฆษณาอีกรูปแบบหนึ่งที่ผู้บริโภคไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย และทำให้ประสบการณ์นั้นแย่ลงไปอีก ซึ่งวันนี้เราจะมารู้จักโฆษณาออนไลน์ 6 รูปแบบที่คนนั้นเกลียดกันสุด ๆ

โฆษณาแบบไหนที่ทำออกมาแล้วไม่เวิคไหมคะ แบบได้ฟีตแบคไม่ค่อยดี

1. Pop-up Ads : เริ่มด้วยโฆษณารูปแบบแรกที่มีมานาน คือโฆษณาในรูปแบบ Pop-up ที่ใช้กันมานานอย่างมาก ลองนึกถึงเวลาที่คุณกำลังเข้าไปดู Content และอ่าน Content ต่าง ๆ อยู่ แต่ปรากฏว่าพออ่านไปได้สักพัก กลับมา Pop-up Banner โผล่ขึ้นมารบกวนการอ่านของคุณอย่างพอดี จริง ๆ มันจะไม่เกิดความรู้สึกที่แย่เลยถ้าโฆษณานั้นมันปิดได้อย่างง่ายดาย แต่ปรากฏว่าโฆษณาที่มันโชว์นั้นกลับหาปุ่มปิดโฆษณาได้ยาก ทำให้จะปิดเท่าไหร่าก็ปิดไม่ได้สักที ซึ่งการทำโฆษณาแบบนี้ทำให้ผู้บริโภคนั้นมีความรู้สึกแย่อย่างมากในการบริโภค Content นั้น ๆ และทำให้รู้สึกแย่ต่อแบรนด์อีก

2. Video ที่โผล่ออกมา หรือ Mid-roll : รูปแบบที่สองคือโฆษณาที่ตอนนี้กำลังเป็นกระแส ด้วยการที่ Youtube เคยทำมาก่อนและ Facebook ก็มาทำตาม ทำให้โฆษณาแบบนี้คนส่วนใหญ่จะเจอแล้วรู้สึกแย่กัน ลองนึกถึงในขณะที่คุณกำลังเพลิดเพลินกับการดู Content Video แต่อยู่ ๆ กลับตัดเข้าโฆษณาทันที ทำให้เสียอรรถรสอย่างมากในการดูวิดีโอนั้น แถมจะกดข้ามหรือปิดโฆษณานั้นก็ไม่ได้ ทำให้ต้องทนดูจนจบถ้าอยากดู Content นั้นต่อ แต่ถ้าไม่ใช่ Content ที่คนอยากดุมาก ก็จะข้ามไปดู Content อื่นทันที

3. Unskipable Ads : โฆษณาอีกรูปหนึ่งที่มาพร้อม ๆ กับ Video Ads ที่เจอใน Youtube เช่นกัน คือโฆษณาประเภทที่ห้ามกดข้ามหรือบังคับดูจนจบ โฆษณารูปแบบนี้ทำให้ประสบการณ์การบริโภค Content นั้นเสียมาก แถมทำให้ความรู้สึกต่อแบรนด์นั้นเสียไปด้วย เพราะไม่ให้ทางเลือกแก่ผู้บริโภคในการข้ามเลย และต้องมานั่งเสียเวลาเพื่อรอวิดีโอนั้นจนจบเพื่อที่จะไดเ้ดู Content ที่ต้องการนั้นต่อไป

4. Prank Ads : โฆษณารูปนี้นาน ๆ จะมาที นั้นคือโฆษณาที่เป็นรูปแบบแกล้งคุณเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่นที่เวลาที่คุณกำลังดู Content อะไรสักอย่างอยู่ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีการหลอกให้กลัว ตกใจ หรือมีเสียงดังเกิดขึ้นในการดู Content เหล่านั้น ทำให้เกิดการรบกวนหรือเสียขวัญทั้งตัวเอง และคนรอบข้างเหล่านั้นด้วย บางครั้งก็เป็นเสียงผี เสียงกรี๊ด หรือกลายเป็นเสียงเซ็กซี่จากภาพยนต์นั้นด้วย ทำให้การดูโฆษณาเหล่านี้ในที่สาธารณะของคุณจะเกิดความอับอายทันทีที่มีเสียงออกมา

5. Distract Banner Ads : โฆษณาแบบนี้คือโฆษณาที่หลาย ๆ คนเกลียดเช่นกัน เพราะโฆษณารูปแบบนี้โผล่ออกมา จะทำให้การดู Content ของคุณถูกรบกวนด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลิงก์ออกไปยังหน้าโฆษณาก่อนที่จะกลับมาหน้า Content หรือทำให้เว็บที่คุณกำลังอ่าน Content นั้นเกิดความช้าอย่างมาก ทำให้อถรรรสในการบริโภค Content นั้นเสียไป เสียหายมากไปกว่านั้นคือการที่เนื้อหานั้นจะเกิดความรู้สึกไม่อยากอ่านต่อจนทิ้งหน้าเว็บไซต์นั้นไปทันที

6. Ads ที่กดปิดแล้วพาไปไหนก็ไม่รู้ : รูปแบบโฆษณาสุดท้ายที่หลาย ๆ คนไม่ชอบกันคือโฆษณาที่กดแล้ว พาไปไหนก็ไม่รู้ แล้วหาวิธีกดปิดไม่ได้จากหน้านั้น ๆ ทำให้คุณต้องออกจากเว็บไซต์หรือเลิกอ่าน Content นั้นทันที โดยมากโฆษณาแบบนี้จะพาไปพวกเว็บไซต์ใต้ดินทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเว็บโป๊ พนัน หรืออื่น ๆ มากมาย

แต่สุดท้ายนี้ยังมีรูปแบบโฆษณาอีกหลากหลายรูปแบบที่ยังสร้างความน่ารำคาญและทำประสบการณ์ต่าง ๆ ในออนไลน์นั้นแย่ลง ทำให้คนนั้นมีความรู้สึกแย่ ๆ กับแบรนด์ไปอีกอย่างมาก ดังนั้นนักการตลาดควรระวังในการเลือกโฆษณาที่จะทำลายแบรนด์ หรือต้องชั่งน้ำหนักดี ๆ ในผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

แพรตฟอรมไหนที่น่าจับตามองในอนาคตแพรตฟอรมไหนที่น่าจับตามองในอนาคต

(คุณอัญทิรา เสกอ่วม บรรณาธิการบริหารสื่อข่าว the standard) กล่าวว่า

สำหรับการคาดการณ์ของ DAAT ต่อแพลตฟอร์มสื่อที่จะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคตนั้น แน่นอนว่าต้องมีชื่อของ Facebook — YouTube อยู่อย่างแน่นอน แต่อีกแพลตฟอร์มที่เติบโตแรงแซงเพื่อน ๆ กลับมาติดโผในรอบนี้ก็คือ Twitter โดยมีการพบว่า การเติบโตของ Active User ในประเทศไทยนั้นสูงมากถึง 30% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกของ Twitter

หันมาดูในส่วนของผู้ใช้ พบว่า 40% เป็นวัยรุ่น และอีก 40% เป็นคนวัย 22–44 ปี ในจุดนี้ DAAT มองว่า Twitter จึงไม่ใช่แพลตฟอร์มที่ทาร์เก็ตแค่วัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว เพราะผู้ใหญ่ก็ใช้ทวิตเตอร์เพื่อติดตามข่าวสารเช่นกัน

Twitter ในประเทศไทยนั้นกำลังได้รับกระแสความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุน้อย และทำให้แบรนด์หลาย ๆ แบรนด์นั้นพยายามที่จะเข้าไปทำการตลาดผ่าน Twitter ขึ้นมา ซึ่งด้วยความแตกต่างจาก Facebook หรือ social media อื่น ๆ ทำให้การตลาดผ่าน Twitter นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักการตลาดที่เคยชินกับ 2 Platform นั้นออกมา แต่ต้องใช้สิ่งที่เรียกว่าเวลาในการเข้าไปพูดคุยและค้นหาหัวข้อการสนทนาของคนใช้ Twitter ที่แบรนด์จะเข้าไปแทรกตัวอยู่ได้

ทั้งนี้สิ่งที่ Twitter สามารถสร้างโอกาสให้แบรนด์ได้อย่างมาก คือความสามารถในการสร้าง Share of Voice และการปฏิสัมพันธ์ในเชิงความคิดเห็นต่าง ๆ ที่ทำให้คนอื่น ๆ สามารถเข้ามาเห็นได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งการเกิดขึ้นของ Viral หรือกระแสต่าง ๆ ที่ปัจจุบันจะพบได้ว่าจะมีการเกิดขึ้นผ่าน Twitter นี้เอง ทำให้ Twitter นั้นเป็น Platform ที่น่าจับตาอย่างมากในปีนี้ที่นักการตลาดที่อยากจะจับกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ต้องเลือกใช้ ซึ่งในบทความนี้จะพาไปรู้จักเครื่องมือ 8 ตัวที่จะมาช่วยให้การทำ Twitter marketing ของนักการตลาดนั้น ทำได้ง่ายขึ้นอย่างมาก

เมื่อพูดถึง Twitter อาจจะเป็นโซเชียลที่แบรนด์ในไทยอาจจะรู้สึกว่าทำแคมเปญโฆษณายาก หรือแม้กระทั่งเราในฐานะคนทำคอนเทนต์เอง อาจจะรู้สึกว่าการทำคอนเทนต์และโปรโมตบน Twitter จะเข้าใจยากกว่าโซเชียลอื่น ๆ หรือเปล่า หลายคนอาจจะไม่เคยทราบเลยด้วยซ้ำว่า Twitter มีเครื่องมือที่ไว้ลงโฆษณาด้วย

แต่แท้จริงแล้วเครื่องมือสำหรับการทำโฆษณาบน Twitter Ads นั้นมีค่อนข้างเยอะและไม่แพ้ Facebook เลย รวมถึงก็ยังมีฟีเจอร์อีกมากมายที่พัฒนาขึ้นมาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานทวิตเตอร์

ทีมงาน RAiNMAKER จะพามาชมเครื่องมือในการทำ Targeting Ads ที่น่าสนใจบน Twitter ว่าจะแตกต่างจากโซเชียลอื่น ๆ ยังไง แล้วเราจะนำเครื่องมือเหล่านี้ไปปรับใช้กับคอนเทนต์ของเราได้อย่างไรบ้าง กับ 5 ความสามารถสุดเจ๋งบน Twitter 1. สามารถเลือก Target เวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการ รุ่นของมือถือ ไปจนถึงค่ายมือถือที่ใช้

ความเจ๋งของการ Targeting ด้วยตัวเลือก Technology บน Twitter นั้นไม่ได้มีเพียงแค่เลือกว่าลงบน iOS หรือ Android เพียงเท่านั้น แต่เราสามารถเลือกยิงโฆษณาใส่คนที่ใช้มือถือรุ่นที่เราระบุได้เลย เช่น ต้องการ Targeting คนที่ใช้ iPhone 8, Samsung Galaxy S9

ซึ่งในตรงนี้จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายของเรามีโอกาสที่จะเห็นโฆษณาของเราเยอะขึ้น โดยเฉพาะในหัวข้อนี้น่าจะเป็นคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีอย่างแอพมือถือ โปรโมชั่นค่ายมือถือ หรือราคามือถือ

2. สามารถเลือกเจาะ Keyword ได้ เช่น คนที่ทวีตว่าหิว หรือทวีตเรื่องที่เราต้องการ

ความเจ๋งที่สุดบน Twitter ตอนนี้ที่ ณ ตอนนี้ยังไม่เห็นโซเชียลตัวอื่นสามารถทำได้ก็คือ เราสามารถตั้ง Target ไปที่คนที่กำลังทวีต Keyword ที่เรากำหนดไว้จริง ๆ เช่น ยิงโฆษณาร้านอาหารสำหรับคนที่กำลังทวีตว่าหิว หรือโฆษณาคอนโดติดรถไฟฟ้าสำหรับคนที่บ่นว่ารถติด ซึ่งในตรงนี้นับว่านำไปใช้งานได้หลากหลายมาก

3. Follower look-alike ตั้ง Target คนที่ฟอลคนที่เราต้องการ

เป็นอีกหนึ่งความโหดระดับตำนานของการทำ Targeting บน Twitter ซึ่ง Follower look-alike นี้จะทำให้เราเลือกยิงโฆษณาใส่คนที่สนใจหรือติดตามบัญชีทวิตเตอร์ที่เราต้องการได้ เช่น Twitter ดารา, คนดัง หรือแม้กระทั่งแบรนด์คู่แข่ง

4. สามารถเพิ่ม call to action ได้

ถ้าเรามีวัตถุประสงค์บางอย่างหลังจากที่เป้าหมายเห็นทวีตของเรา เราสามารถใส่ Call to action เพื่อเป็นการดึงดูดให้คนที่เห็นโฆษณาทำสิ่งนั้นได้ด้วยการกดปุ่ม เช่น เข้าไปชมหน้าเว็บของเรา, กด Follow เรา หรือให้ทำการรีทวีตพร้อมติด # (hashtag) ที่เราตั้งไว้ก็สามารถทำได้

โดยในส่วนนี้ Twitter มีแอบแนะนำเล็กน้อยว่า เราควรหลีกเลี่ยงการ mention หรือการใส่ลิ้งในทวีตนั้นด้วยเพื่อให้ user เห็น action นั้นชัดเจนยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามมีจุดสังเกตตรงที่ว่า Twitter Ads ไม่ได้มีฟีเจอร์ Except หรือตั้งให้กลุ่มคนที่เราระบุไม่เห็นโฆษณาของเราได้เหมือนกับบน Facebook นั่นเอง แต่เมื่อแลกมาด้วยกับความสามารถที่ค่อนข้างตรงกับพฤติกรรมการใช้งาน Twitter แล้ว การลงโฆษณาบน Twitter ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าศึกษาและนำมาลองปรับใช้กับทั้งคอนเทนต์ของเราเองและของลูกค้า

ขอเสริมเพิ่มอติมอีกอันนึง คือ ฟังค์ชั่น Voice search

Voice search หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “Siri” ของระบบ IOS หรือจะเป็น ฟังก์ชัน “OK, Google” ของทาง Google เป็นสิ่งที่ผู้นกำลังให้ความสนใจกันมากขึ้น จากการสำรวจของประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่เริ่มใช้งานระบบสั่งการด้วยเสียง และคาดว่าในปี 2020 จะมีคนเกินกว่า 50% ที่จะใช้งานฟังก์ชั่นนี้ ซึ่งอาจมีผลต่อการทำการตลาดที่เกี่ยวกับ Search engine ในอนาคต เนื่องจากการสั่งการด้วยเสียงสามารถทำให้เราหาข้อมูลประเภท Long-tail keyword ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น แม้ในปัจจุบันการใช้งานระบบสั่งการด้วยเสียงในภาษาไทย อาจยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก แต่ในอนาคตการพัฒนาของเทคโนโลยี และการพัฒนาของประเทศที่จะนำไปสู่การใช้งานภาษาอังกฤษที่มากขึ้น ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า Voice search อาจกลายเป็นสิ่งที่เข้ามามีบทบาทต่อนักการตลาดมากขึ้นในอนาคต

--

--