7 วิธีสำหรับฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษเองฝึกเองคนเดียวแบบไม่ต้องง้อฝรั่ง

knottthings
4 min readOct 6, 2019

--

7 วิธีสำหรับฝึกพูดภาษาอังกฤษได้เองคนเดียว แบบไม่ต้องง้อฝรั่งก็ฝึกได้

What’s going on everyone, welcome back to my blog. I’m KnottThings!. \

ขอเริ่มทักทายกันเป็นภาษาอังกฤษซักเล็กน้อย ก่อนอื่น นอตต้องขอออกตัวก่อนเลยนะครับว่า วิธีทั้งหมดที่นอตกำลังเล่า มันมาจากประสบการณ์โดยตรง ที่นอตใช้ฝึกทักษะการพูดของตัวเอง เริ่มจาก 0 เลยก็ว่าได้ ตอนนี้เริ่มขึ้นมา 1 2 3 .. 5 6 7 มาเรื่อย ๆ

อาจจะพูดได้ไม่ Fluent แบบเจ้าของภาษา แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับ Communicable สามารถใช้ในการทำงาน คุยกับเพื่อนต่างชาติเข้าใจ (อันนี้บอกโดยเจ้าของภาษาเองนะครับ ไม่ได้เคลมตัวเอง อิอิ)

ทุกวันนี้นอตก็ยังใช้ 7 วิธีนี้สำหรับฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ที่นอตฝึกเองคนเดียวแบบไม่ต้องง้อฝรั่งอยู่ ไม่เคยไปลงเรียนฝึกพูด Wall Street English เสียเงินหลักแสนมาก่อนเลย หรือไม่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศนานที่ไหนมาก่อน แต่ 7 วิธีนี้เองที่นอตใช้พัฒนา ปรับปรุงตัวเองอยู่แทบจะทุกวัน เพื่อเพิ่มความมั่นใจตอนเราพูด แต่การที่เราจะพูดได้ นั้นแสดงว่าเราต้องฟังให้ออก ให้ Get to the point ก่อน ซึ่งเพื่อนๆต้องฝึกทักษะการฟัง ประกอบกับการพูดควบคู่กันไปด้วยนะครับ เอาละ มาเข้าเรื่องกันเลยนะครับ

1. คิดเป็นภาษาอังกฤษ

เหมือนมันจะไม่มีอะไร แต่ก็มีอะไรมาก ๆ นะครับ เวลาเรานึกถึงอะไรก็ตามในชีวิตประจำวัน เช่น พวกคำนาม พวกคำกริยาต่าง ๆ ให้นึกถึงภาษาอังกฤษ อย่างเวลาเราเดินไปในครัว แล้วเจอ กาต้มน้ำ แทนที่เราจะเรียกว่ากาต้มน้ำ เราต้องคิดในหัวว่าอ่อ This is a kettle. นี่คือกาต้มน้ำ หรือเวลาที่เรากำลังรีบไปให้ทันรถไฟฟ้า เราลองคิดประโยคในหัวว่า I have to hurry to catch the sky train. ซึ่งแปลว่าการที่เราคิดคำเหล่านี้ในหัวเป็นภาษาอังกฤษ นั่นแสดงว่า “เรามีคลังคำศัพท์ในหัวเพียงพอต่อการใช้งาน”

นอตเคยอ่านเจอบทความที่ชื่อว่า How Many Vocabulary Words You Need to Know to be Fluent in English? “เราควรรู้ศัพท์ประมาณกี่คำ เพื่อที่จะสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ระดับดีเยี่ยม”

บทความบอกว่า คำในภาษาอังกฤษมีมากว่า 171,000++ ซึ่งกว่า 50,000 คำจากทั้งหมดถือว่าเป็นคำที่ “Obsolete” หรือ “ล้าสมัย” ไปแล้วในปัจจุบันน้อยมากที่จะมีการใช้งาน แต่จริง ๆแล้วนั้น ฝรั่งที่เป็น Native English ใช้เพียง 20,000 คำในการใช้สื่อสาร อย่างไรก็ตาม 1 คำในภาษาอังกฤษสามารถแปลได้หลายความหมาย นั้นทำในเรารู้ศัพท์เพียง 3,000 จากเกือบสองแสนคำ เราก็จะสามารถฟังข่าว สนทนาเรื่องทั่วไป เขียน Blog หรือแม้กระทั่งอ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆได้แล้ว

แต่ที่จริงแล้วมีเพียง 1,000 คำเท่านั้นที่คนเราใช้สื่อสารกันในชีวิตประจำวัน

ฉะนั้นการคิดทุกอย่างในหัวเป็นภาษาอังกฤษ จะช่วยเราได้มากเรื่องการพูด เริ่มจากคำศัพท์ 1 คำจากนั้นค่อยเพิ่มเป็นกลุ่มคำ หรือ Phraseจากนั้นค่อยเพิ่มรูปประโยค เริ่มคิดภาพในหัวไปทีละเล็กละน้อย เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้เราค่อยพัฒนาและฝึกให้เราสามารถตอบโต้บทสนทนาเป็นภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น

ที่มาบทความ :

2. พูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ

จริงมันก็คล้ายกับข้อที่ 1 แต่แตกต่างกันตรงที่ เราควรพูดกับเองตอนที่เราอยู่ที่ส่วนตัวนะครับ (ไม่งั้นมันจะดูแปลก ๆ เนอะ คนอาจจะคิดว่าเรากำลังคุยกับแม่ซื้อ)

ปกตินอตจะพูดกับตัวเองตอน อยู่ในห้อง ตอนขับรถคนเดียว ลองสังเกตตัวเองจากแรก ๆที่พูดไม่ค่อยต่อเนื่อง หยุดนึกบ้าง ไม่มั่นใจเวลาพูดบ้าง การฝึกพูดกับตัวเองมันช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนอตได้เยอะมาก

พูดกับตัวเอง พูดยังไง ก่อนที่เราจะพูดได้เป็นประโยค เราต้อง Get Idea ก่อนว่าฝรั่งเวลาเค้าพูดเป็นประโยค เค้าพูดกันยังไง นอตจะเริ่มหารูปแบบประโยคแล้วเอามาอ่าน

แต่ต้อง “อ่านแบบออกเสียง” อ่านออกมาดัง ๆ เพราะการอ่านทำให้เราได้ฝึกการออกเสียง

ยิ่งเราออกเสียงคำไหนไม่ถูก ยิ่งควรอ่านคำนั้นหลายๆรอบ จนกว่าเราจะชินปากกับคำๆนั้น ลองอ่านแล้วเริ่มบันทึกเสียงของตัวเองเอาไว้ จากนั้นกลับไปอ่านข้อความเดิมอีกสามสี่รอบ วิธีการของนอตคือนอตจะเริ่มจาก

รอบที่ 1 อ่านให้ออกทุกคำ > รอบที่ 2 อ่านให้ถูกทุกคำ > รอบที่ 3 อ่านให้ต่อเนื่องโดยไม่สะดุด > รอบที่ 4 อ่านให้มีจังหวะ การเว้นวรรค การขึ้น ลงของโทนเสียงในประโยค

พยายามจำภาพ จำโทนการสนทนาของต่างชาติมันจะช่วยให้เราสามารถนึกการใช้งานรูปประโยคได้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าการฝึกพูดคนเดียวจะไม่มีคนคอยช่วยแก้ให้เราถ้าเราพูดไม่ถูก แต่การที่เราพูดมันออกมา จะทำให้เรามั่นใจและรู้สึกที่อยากจจะพูดภาษาอังกฤษมากขึ้นนั้นเองครับ

ซึ่งนอตฝึกจากการอ่านแบบนี้ทุกวันอย่างน้อยวันละ 1–2 ชั่วโมง เวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็เพิ่มความมั่นใจและก็เริ่มใช้สื่อสารกับชาวต่างชาติได้เยอะขึ้นแล้ว

บทสนทนาที่นอตเอามาฝึกพูดทุกวัน ทุกวันจริงๆนะ :

วิธีฝึกทักษะการฟังของนอตนะครับ

3. อย่าไปสนใจแกรมมา

บางคนจะบอกว่า อ่าวไม่สนใจแกรมมาแล้วจะให้สนใจออะไร!!!

ใช่ครับ จริงๆเราต้องมาดูว่าเราอยากพูดภาษาอังกฤษไปเพื่ออะไร ถ้าเราต้องการฝึกภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมตัวไปสอบ IELTS หรือ TOEFL เราคงต้องแคร์แกรมมาแหละ

แต่ถ้าเราบอกว่าอยากจะใช้เพื่อสื่อสารกับต่างชาติให้เข้าใจ ดังนั้นนอตว่าแกรมมาอาจจะไม่ต้องไปกังวลมาก

ข้อนี้สำคัญมากเลยนะครับ นอตสังเกตตัวเอง และก็หลายๆคนรอบข้าง เวลาเราจะเริ่มพูด เราจะคอยกังวลว่าเราจะเอา Verb ช่องไหนมาใช้ จะถามเป็น Are you หรือ Do you Did you ดี เคยเป็นมั้ยครับ นอตเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน นอตจะบอกว่า Gramma เองก็เป็นสิ่งสำคัญอยู่เหมือนกัน

แต่เมื่อเราเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ไปเรื่อยๆ ผ่านการฟัง การอ่านต่างๆ เราเข้าใจมันเองว่า เราควรเลือก Verb ช่องไหนมาใช้ตอนไหน ฉะนั้นอยากให้ทุกคน พูดมันออกมาเลยครับ เพราะยิ่งเราหยุด ชะงัก เปลี่ยนคำไปๆมาๆ แบบ I just go uh … went … uh go to the market. แบบนี้มันยิ่งทำให้เราอาจจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องกันพอดี ให้เป็นว่าเรานึก Verb ช่องไหนออกก็พูดคำนั้นมาเลยครับ มันอาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้บ้างเล็กน้อย แต่รูปประโยคกับสถานการณ์ตอนนั้น มันจะช่วยให้ฝรั่งเข้าใจเราได้เอง

4. ฝึกใช้ลิ้น

ไม่ได้ทะลึ่งนะครับ

ฝึกใช้ลิ้น เป็นการฝึกกล้ามเนื้อที่ใช้ในการพูดของเรา ให้คุ้นชินกับการออกเสียงภาษาอังกฤษใกล้เคียงมากที่สุด

เหมือนเราลองฝึกคำพูดยากๆ ลิ้นพันกันในภาษาไทย เช่น สำลีขายหอย สำรวยขายสี สำสีเล่นหวย สำรวยเล่นปี่ ยายอยากกินลําไย น้ําลายยายไหลย้อย นี่ก็เป็นการฝึกการออกเสียงเราเหมือนกัน

ซึ่งในภาษาอังกฤษก็มีคำพวกนี้เยอะมากกก เพื่อนลองพูดตามแบบเร็วๆดูนะ เช่น

How much wood would a woodchuck chuck if a woodchuck could chuck wood?

I have got a date at a quarter to eight; I’ll see you at the gate, so don’t be late.

Clean clams crammed in clean cans., I wish to wish the wish you wish to wish, but if you wish the wish the witch wishes, I won’t wish the wish you wish to wish.

Bla bla bla มีอีกเยอะมากกก เพื่อนๆลองค้นหาจาก Google หรือ YouTube ได้เลยครับ แค่พิมพ์ Tongue Twisters Examples มีอีกเพียบ!!

ตัวอย่างครับ :

5. ฝึกทักษะเลียนแบบ

เลียนแบบอะไรบ้าง เลียนแบบการออกเสียงนั้นเองครับ เลียนแบบการขึ้นลองของโทนเสียง ลองฟังว่าอาร์มโกรธ เสียใจ ดีใจ เค้าออกเสียงคำๆนั้นแบบไหน ภาษาอังกฤษ ก็มี Vowels, Consonants, and Syllables เหมือนกับภาษาไทย เหมือนอย่างคำว่า สี — สี่ ต่างกันนิดเดียวแต่คนละความหมายเลย การฝึกเลียนแบบจึงสำคัญ

เพื่อนๆลองเอาทักษะการ Copy มาใช้เวลาเราดูหนัง หรือเวลาได้ยินบทสนทนาจากคลิปต่างๆ หรือแม้กระทั่งฟังเพลงเป็นภาษาอังกฤษ ให้เราลองฟังแล้วลองพูดตาม อาจจะเป็นคำๆ หรือเป็นประโยคไปเลยก็ได้ มันจะช่วยฝึกการออกเสียง ให้เรา Pronounce the word correctly ยิ่งการร้องเพลงนะครับอย่างเพลงของ Ariana Grande Shawn Mendes หรือ Lauv เองของหาเพลงโปรดเพื่อร้องตามให้ได้ อย่าง Lauv เองนอตคิดว่านอตน่าจะร้องได้ทุกเพลง ทุกอัลบัมเลยก็ว่าได้ ถ้าเราเลียนแบบเสียงได้ อาจจะไม่ได้ร้องเพราะแบบเค้า

แต่ลองร้องเพื่อฝึกออกเสียง ฝึกการ Link คำ Link ประโยค

เพราะเพลงภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาพูด จะมีการย่อรูปคำ เช่น I’m not going to tell you. ในเพลงอาจจะใช้รูปย่อเป็น — I’m not gonna tell you. ซึ่งในชีวิตจริง คนส่วนใหญ่ก็จะพูดเป็น gonna มากกว่า พูดว่า going อย่างงี้เป็นต้นครับ

ส่วนการ Copy ตัวอย่างจากหนังที่เราดู แล้วพูดมันออกมา จะทำให้เราจำประโยค จำการใช้งาน จำความหมายของคำนั้นได้อีกด้วย นอตเป็นอีกคนที่ความจำไม่ดี หรือถือว่าแย่เลยก็ว่าได้ในการท่องศัพท์ ถ้าไม่รู้ความหมายคำไหนแล้วไปเปิด Dictionary เลยตอนนั้น วันต่อมาก็ลืมครับ ลืมสนิทเลย แต่นอตใช้วิธีพูดตามในหนังครับ Netflix เป็นตัวที่นอตใช้ฝึกภาษาอังกฤษกับมัน เวลาที่เราต้องการเลียนแบบเสียง เราแค่เปลี่ยนไปเป็น English Subtitle แล้วลองอ่านตามแค่นั้นเอง ก็ทำให้เรารู้ว่า อ่อ คำๆนั้น ออกเสียงแบบนี้นี่ Stress ตรงนี้ แล้วก็ทำให้เราเรียนรู้ความหมาย และการใช้งานคำนั้นได้ จากการที่เราดูภาพและบริบทนั้นๆ เพราะการ Stress เสียงในคำๆเดียวกับอาจจะเป็นคนละความหมายไปเลยก็ได้ครับ

อย่างเช่นคำว่า ADdress จะหมายถึง ที่อยู่ แต่ adDRESS จะหมายถึงพูดหรือปราศรัย เขียนเหมือนกันแต่ความหมายต่างกันนั้นเองครับ

เราแค่ลองสังเกตการออกเสียงแล้วเลียนแบบดูนะครับ

6. ฝึกใช้วลีบ่อยๆ

Phrase หรือ วลีคือกลุ่มคำภาษาอังกฤษ ที่เอาที่มากกว่า 2 คำแล้วให้ความหมายที่เปลี่ยนไป แล้วก็ idoim หรือ สำนวนในภาษาอังกฤษ ที่เราจะได้ยินบ่อยมาก

อย่างคำว่า Watch your mouth ที่ไม่ได้แปลตรงตัวว่า คอยดูปากนะ แต่มันจะแปลในเชิงให้ “ระวังปาก, ระวังคำพูด” เหมือนกับสำนวนที่ว่า “Watch your tongue” อีกคำหนึ่งที่เราอาจจะได้ยินบ่อยมาก คือคำว่า “Jack of all trades” คือพวกที่ “เป็นเหมือนเป็ด” เป็นคนที่รู้อะไรหลายๆ อย่าง แต่ไม่รู้จริง หรือ ไม่เก่งสักอย่าง

การฝึกใช้วลีในบทสนทนา จะทำให้เราพูดดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ตัวอย่างเช่น

“How do you feel today?” แต่ฝรั่งมักจะถามกันว่า “How’re you doing?” หรือ “What’s up?” มากกว่า ซึ่งมันจะฟังดูธรรมชาติมากขึ้นนั้นเอง

ซึ่งนอตก็เรียนรู้จากหนัง YouTube ต่างๆ ซึ่งมีเยอะมากกก เพื่อนลองค้นหาคำว่า phrase in English หรือ didiom ที่ได้ยินบ่อย ดูนะครับ

ตัวอย่างงับ :

7. เตรียมพร้อมกับทุกสถานการณ์

ข้อนี้สำคัญมาก นอตว่าเพื่อนๆหลายคนน่าจะเคยฝึกกันอยู่แล้วนะครับ เวลาที่เราจะต้องไปสัมภาษณ์งาน เพื่อนๆ คงจะต้องเตรียมตัวในการแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ รวมถึง การตอบคำจากต่างๆไว้เป็นอย่างดี

ซึ่งในข้อนี้ นอตจะเล่าถึงประสบการณ์จริงที่นอตเจอมานะครับ เริ่มจากนอตต้องฝึกบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้า โดยเฉพาะร้านเสื้อผ้า เพราะนอตเคยไปทำงานที่ อดิดาส สยามดิสมาช่วงเปิดเทอม เจอลูกค้าต่างชาติบ่อยมาก เลยต้องฝึกการถามไซส์เสื้อลูกค้าเป็นภาษาอังกฤษ การถามเรื่องการการขอ VAT Refund ต่างๆ หรือแม้กระทั่งการถามถึงความพอใจ ความชอบในตัวสินค้าต่างๆ เป็นต้น

แล้วนอตก็ใช้วิธีนี้ในการฝึก เคยมีเพื่อนต่างชาติมาหาที่ไทย แล้วเราจะทำตัวเป็น Host เพื่อพาเพื่อนๆเที่ยว

ก่อนหน้าวันไปเที่ยวนอตก็ไปเตรียมคลังศัพท์ เตรียมรูปประโยค เตรียมวลีที่คิดว่าจะต้องใช้เอาไว้ก่อน

ซึ่งถ้าเพื่อนๆคิดว่าจะต้องใช้ภาษาอังกฤษแน่นอน ในสถานการณ์ใดๆ ก็ลองใช้วิธีนี้ได้นะครับ เพราะว่านอตทำแบบนี้ประจำเลย แล้วมันก็ได้ผลดีด้วย ยิ่งเราฝึกหลายๆสถานการณ์มากเท่าไหร่ เราก็จะพูดให้คล่องและเป็นธรรมชาติมากขึ้นนั่นเองครับ แต่ถ้าเกิดว่าระหว่างที่เราพูดอยู่ มีคำบางคำที่เรานึกออก เราก็ลองใช้วิธีการอธิบายจากคำที่เรารู้อยู่แล้ว เพื่อให้คนฟังเข้าใจได้ วิธีนี้ก็จะค่อยๆฝึกให้เราได้ลองพูดในหลายๆแบบเพิ่มไปอีกด้วยครับ

เอาละครับสิ่งที่สำคัญของทุกวิธีที่นอตพูดมาทั้งหมด

คือการฝึกอย่างต่อเนื่องครับ

ถ้าเราอยากให้เห็นผลลัพธ์ ที่ชัดเจนเราต้องต้องฝึกฝนให้ต่อเนื่อง เราอาจจะอาศัยอยู่ประเทศ แต่เราก็สามารถฝึกเองได้ โดย

สร้างสถานการณ์แวดล้อมของเรา ให้เหมือนเราอยู่เมืองนอก

ทีวีที่เราดู เพลงที่เราฟัง ต่างๆ เราต้องค่อยๆเปลี่ยนมันให้เป็นภาษาอังกฤษทีละเล็กละน้อย ซึ่งตอนนี้นอตเองชอบภาษาอังกฤษแบบ British Accent มาก นอตก็เริ่มจากทุกอย่างที่ทำ Vlog ที่ดู ข่าวก็ฟัง BBC NEWS ABC NEWS แทนที่จะฟัง CNN เพื่อสร้างตัวเองให้คุ้นเคยกับสำเนียงผู้ดี ซึ่งก็ถือว่าเริ่มได้ผลขึ้นเรื่อยๆครับ แต่อาจจะยังไม่ถึงขั้นแบบ Sound Like Londoner ซะทีเดียว

เอาละครับนี่ก็เป็นทั้งหมด 7 วิธีที่นอตลองฝึกกับตัวเอง แล้วได้ผลเลยอยากจะมาแชร์เพื่อนๆ มันอาจจะ เวิร์คหรือไม่เวิร์คเลยแต่ก็เพื่อนๆลองเลือกสักวิธีไปใช้ฝึกได้นะครับ I’ve got to get going. Thanks for reading. Until the next time! Bye bye!

สวัสดีครับ

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

--

--