Mandalay
--
หลังจากที่ได้ เดินทางไปย่างกุ้ง เพียงอีกไม่กี่เดือนต่อมาก็ลองไปเมืองหลวงเก่าอีกเมืองหนึ่งของพม่านั่นก็คือ Mandalay (มัณฑะเลย์) ซึ่งจากประวัติศาสตร์ถือเป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์พม่า จากการรบที่พ่ายแพ้ต่ออังกฤษครับ โดยครั้งนี้มีเพื่อนร่วมเดินทางเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยผู้สนใจวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของพม่าร่วมเดินทางมาด้วย เราเดินทางกันมาด้วยสายการบิน Air Asia วึ่งลงจอดที่สนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ แต่ๆๆๆ
ต้องต่อรถ Shuttle Bus ครับ โดยมีบริการให้ฟรีสำหรับลูกค้า Air Asia นอกจากนี้ก็มีพวกรถบริการอื่นที่เสียค่าใช้จ่ายมาติดป้ายโฆษณาในสนามบินครับ
หลังจากขึ้นรถก็นั่งไปค่อนข้างนานทีเดียวกว่าจะถึงใจกลางเมือง (เกือบ ชม.)
หลังจากที่ลงจากรถ Shuttle Bus เราก็ได้เจอเพื่อนร่วมเดินทางสองคนที่วินมอเตอร์ไซด์ของพม่า (ซึ่งวินที่นี่ไม่มีเสื้อวินนะครับ ใครอยากออกมาหารายได้ก็ถีบมอเตอร์ไซด์ออกมารับผู้โดยสารได้เลย) นั่นก็คือ
“กัมปู” เจ้าของประโยค “Believe me, I’m your friend !!” ชายวัย 50+ ผู้พูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว และ(ค่อนข้าง)เจ้าเล่ห์ ซึ่งกัมปูได้มาเป็นไกด์ให้เราในครั้งนี้ โดยเพื่อนผมนั่งซ้อนกัมปู และ
“Fatty” ชายร่างท้วมวัย 40 ผู้ใสซื่ออารมณ์ดี (จริงๆ แกไม่ได้ชื่อ Fatty แต่กัมปูเรียกแกว่า Fatty) พร้อมมีบทซึ้งๆ เพราะพี่แกจะพกรูปลูกชายตั้งแต่เกิดยันบวชไว้กับตัวตลอด โดยผมนั่งซ้อน Fatty
หลังจาก “เพื่อนๆ” ของเรามาส่งพวกเราที่โรงแรมแล้วก็ได้โชว์ไกด์ทัวร์ที่กัมปูครีเอทขึ้นมาครับ
โดยวันแรก เราก็ได้ออกไปยังจุดชมวิวที่น่าจะดีที่สุดในเมืองนั่นก็คือ Mandalay Hill (เนินเขามัณฑะเลย์) โดยระหว่างทางก็ได้แวะเยี่ยมชมโบราณสถานต่างๆ ในเมือง
เด็กที่มาขายของนี่ถ้าจะปฏิเสธต้องบอกว่าไม่เอาให้เด็ดขาดไปเลยนะครับ เพราะถ้าบอกว่า “Later” (เอาไว้ก่อนนะ) เค้าจะตอบท่านว่า “OK Later” แล้วอีก 1–2 ช.ม. ก็จะกลับมาให้ท่านซื้อของจากเค้าให้ได้
บางครั้งมาตามสถานที่ที่นักท่องเที่ยวมันจะเข้ามา อาจจะโดนเรียกเก็บเงินค่าถ่ายรูปได้
วันถัดมาก็ได้ออกมาเยี่ยมชมสถานที่สำคัญอีกที่คือ “Mandalay Palace” หรือพระราชวังมัณฑะเลย์ เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ได้ชื่อว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย มีคูน้ำรอบพระราชวังและประตูที่ยิ่งใหญ่ แต่ที่ที่เราไปนั้นถูกสร้างใหม่แทนที่ของเดิมซึ่งถูกทำลายย่อยยับไปตอนที่พม่าแพ้สงครามให้กับอังกฤษ ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ของพม่า
จากนั้นตอนเย็นก็ได้เดินทางไปที่เมืองอัมมาราปุระ (Amarapura) โดยไปที่สะพาน U Bein ซึ่งเป็นแหล่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งสะพานแห่งนี้จะสวยงามมากในยามพระอาทิตย์ตกดิน แต่น่าเสียดายที่ตอนที่ไปดันเจอเมฆบัง เลยไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ยามเย็นเลย
ในวันถัดมา ผมก็เกิดคึกคักอยากไปเที่ยวห้างที่ดีที่สุดในเมือง เลยบอกคู่หู กัมปู Fatty ให้พาไปหน่อย คู่หูก็เลยมาส่งผมกับเพื่อนที่ย่านการค้าแห่งหนึ่งซึ่งดูคึกครื้นมาก แต่ต้องบอกว่าที่ที่มามันไม่ใช่ห้างนี่หว่า มันเหมือนย่านคลองถมหรือเสือป่าที่เน้นเสื้อผ้าซะมากกว่า และซ้ำร้าย ดันไปกินอาหารที่ร้านหนึ่งซึ่ง ผมกับเพื่อนได้ไปสั่งโยเกิร์ตมา แต่เพื่อนผมเอะใจว่ามันดูแหม่งๆ เลยไปดูที่ครัว พอกลับมาเพื่อนผมก็ไปเปิดตู้เย็นเอาเป๊ปซี่กระป๋องมาแทน ผมก็ถามว่า “ยังกินโยเกิร์ตไม่หมดเลย ไปเอามาทำไม” เพื่อนผมตอบว่า “มึงไปดูในครัวแล้วกัน” ซึ่งปรากฏว่าครัวเน่าและสกปรกมาก (แต่ครัวส่วนใหญ่ในเมืองนี้ก็เน่าทั้งนั้นครับ พึงระวังและกินแต่ของที่ทำสุกร้อนๆ เท่านั้น) แต่ดูเหมือนจะสายไปแล้ว เนื่องจากซดโยเกิร์ตกันไปคนละครึ่งแก้ว เย็นวันนั้นก็เลยขี้แตกขี้แตนกันไป
สถาปัตยกรรมของเมืองมัณฑะเลย์ส่วนใหญ่จะเป็นการแกะสลักจากไม้สักชิ้นเดียว
นอกจากนี้อาชีพของคนจำนวนไม่น้อย ก็อิงกับสถานที่สำคัญในเมือง ยกตัวอย่างเช่น งานฝีมือที่ใช้ตีทองให้แบนเพื่อทำเป็นแผ่นปิดทองพระนิ่ม (พระมหามัยมุนี) พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของพม่า เปรียบได้กับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า
และด้วยความเชื่อว่า พระพุทธมหามัยมุนี นี้เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต เพราะด้วยเหตุที่ได้รับประทานพร (บางตำนานก็เล่าว่าได้รับประทานลมหายใจจากพระพุทธเจ้า) จึงมีประเพณีล้างพระพักตร์ถวาย โดยทุกเช้า เวลาประมาณ 04.00 น. พระมหาเถระและสาธุชนทั่วไปที่ศรัทธาจะมาทำพิธีล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบน้ำหอมผสมทานาคาอย่างดีพร้อมกับใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนใช้ผ้าจากศรัทธาสาธุชนถวายมาเช็ดจนแห้งสนิท พร้อมใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันดีเสมือนหนึ่งได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนมชีพอยู่จริง ๆ
อนึ่ง องค์พระมหามัยมุนีมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเป็นรอยย่นตะปุ่มตะป่ำไปทั้งพระองค์ ซึ่งหากเอานิ้วกดลงไป ก็จะรู้สึกได้ถึงความอ่อนนิ่มของทองคำเปลวที่ปิดทับซ้อนกันนับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ชั้น ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานกว่าศตวรรษ ทำให้พระมหามัยมุนีมีอีกพระนามหนึ่งว่า “พระเนื้อนิ่ม” แต่น่าแปลกที่ว่า แม้จะมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนองค์พระใหญ่ขึ้นเพียงใดก็ตาม แต่พระพักตร์ขององค์พระมหามัยมุนีก็ยังแลดูใหญ่ตามองค์พระอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่ไม่ได้มีการปิดทองที่องค์พระพักตร์เลยแม้แต่น้อย
ข้อมูลจาก Wikipedia
ความจริงแล้วผมกับเพื่อนมีแผนที่จะไปเมืองพุกาม (Bagan) (ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่เรียก Bagan ว่า พุกาม) แต่ปรากฏว่ารถบัสที่จะไปนั้นเต็มหมด สายการบินก็เต็ม ถ้านั่ง taxi ก็แพงมาก ก็เลยเป็นบทเรียนให้เราว่า การเดินทางในพม่าต้องเตรียมล่วงหน้าก่อนมาให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นก็อาจมาเสียเที่ยวได้ สุดท้ายเลยนอนพักเหนื่อยที่โรงแรม และไปนั่งดูการแสดงเล่นหนังตะลุงแทน
ความจริงแล้วมีเรื่องราวมากกว่านี้อีกเยอะ แค่ภาพก็เต็มเอี๊ยดแล้ว ถ้าเพื่อนๆ คนไหนอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเมืองนี้ก็มาถามได้ครับ
Originally published at https://kongwiz.com on September 20, 2015.