Munich
--
จากเนื้อหาตอนที่แล้ว พาทัวร์ปรากด้วยภาพ กับเมืองเก่าแก่ สุดโรแมนติก เราก็ได้นั่งรถไฟจากปรากไปมิวนิก (Munich) ด้วยการรถไฟเช็ก České dráhy ซึ่งจองและจ่ายเงินผ่านอินเตอร์เน็ต แนะนำมาตอนจะมาขึ้นรถไฟข้ามประเทศ มาเผื่อเวลาไว้เยอะหน่อยนึงก็ได้ เพราะมาแบบกระชั้นชิดมันก็จะตื่นเต้นไปหน่อย
โดนตอนจองก็จำไม่ได้ว่าจองแบบไหน แค่คุ้นๆ ว่าจอง First Class เพราะมีการเลือกเป็นที่นั่งที่เป็นห้อง แต่พอขึ้นไปเจอภารโรงแก่ๆ ในรถไฟ ก็ถาม ตาลุงก็บอกว่าที่นี่ไม่มี First Class ถ้าจะขึ้น First Class ไปขึ้นคันอื่น (พูดจาดุมาก) และเนื่องจากภาษาเช็กมันก็ยิ่งงง เราเลยไม่แน่ใจว่าจะต้องนั่งตรงไหน เลยไปถามผู้โดยสารคนอื่น ซึ่งให้ความช่วยเหลือดีมาก (ในขณะที่ลุงภารโรงยังคงด่าไม่หยุด) สรุปแล้วเราก็เลย ignore ไม่สนใจตาลุงและไปนั่งในห้องโดยสารสภาพเช่นนี้ และขณะที่ข้ามผ่านเส้นขอบแดนของเยอรมัน ก็จะมีเหมือนตำรวจเข้ามาตรวจพาสปอร์ตเรา (ขณะที่ตอนข้ามพรมแดน เช็ก และออสเตรีย ไม่มีคนมาตรวจ)
รถนี้วิ่งด้วยความเร็วค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ OBB แต่ความตื่นเต้นก็ไม่หมดเท่านั้น เพราะจากที่รถควรจะวิ่งตรงไปมิวนิก (เส้นสีแดง) รถกลับวิ่งบนเส้นสีฟ้าไปยังสถานีที่ชื่อ Schwandorf ซึ่งก่อนจะถึง Schwandorf ก็มีคนของสถานี เป็นผู้หญิงตัวใหญ่ๆ ชาวเยอรมันเข้ามาคุยด้วยภาษาเยอรมัน ว่าจะต้องมีการเปลี่ยนรถ พอถึงสถานี Schwandorf เราก็เลยต้องลง (ความเหนื่อยอยู่ตรงการลากกระเป๋าที่ไม่มีบันไดเลื่อน และลิฟท์ เนื่องจากเป็นสถานีค่อนข้างบ้านนอก) ขณะที่ลงก็ยังงงๆ ว่าจะต้องไปขึ้นคันไหน เลยคุยกับนักเดินทางต่างชาติคนอื่นๆ ก็งงๆ เช่นกัน สุดท้ายก็ขึ้นไปวัดดวง
ขณะที่รถวิ่งก็นั่งดู GPS บนมือถือไปด้วย (สัญญาณก็ขาดบ่อย ปล.ใช้ Sim2Fly) ว่ามันจะพาเราลงมิวนิกไหม ซึ่งรอดตัวที่มันวิ่งลงข้างล่างจริงๆ แต่ความตื่นเต้นก็ยังไม่จบ เพราะรถดันไปหยุดเป็นสถานีสุดท้ายตรงแถวๆ Regensburg ซึ่งมันก็ยังไกลจากมิวนิกอยู่มาก แผนการเดินทางจะพังหมดไม่นี่ แต่โชคดีที่เรารีบไปคุยกับ Receptionist ที่สถานี Regensburg (สถานีนี้ค่อนข้างทันสมัย) เจ้าหน้าที่ก็มองตั๋วและคุยกันด้วยภาษาเยอรมันก่อนจะออกตั๋วในรูปแบบกระดาษที่ใช้เขียนเอาให้เราไปขึ้นรถไฟที่จะไปมิวนิก (Munich) ซึ่งเป็นรถไฟความเร็วสูง และสะอาดทันสมัย ทำให้สุดท้ายเราไปถึงเลทกว่าที่ตั้งโปรแกรมไว้เพียง 1 ช.ม. เท่านั้น
จากนั้นเราก็ถึงสถานีมิวนิก (München Hauptbahnhof) สมใจหมาย ซึ่งไม่อยากเสียเวลาเอาของไปเก็บที่ที่พัก (Airbnb หายากอีกตะหาก) ก็เลยเอากระเป๋าไปฝากที่ locker หยอดเหรียญไป 3 ยูโร และไปยังสถานที่แห่งแรกนั่นก็คือ BMW Museum
ด้วยความที่เป็นคนชอบรถ ก็เลยแวะมาเยี่ยมเยือน (พวกทัวร์ที่มามิวนิก ก็มักจะพามาที่นี่) อย่างที่เคยเล่าใน ความหมายของชื่อยี่ห้อรถยนต์ ว่า BMW นั่นมาจาก Bavarian Motor Work ก็คือบริษัทรถแห่งแคว้นบาวาเรียนั่นเอง (บาวาเรียน เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า “บาเยิร์น” คุ้นๆ ไหม) ที่นี่จะมีส่วนที่เป็น BMW Welt ซึ่งเป็นโชว์รูมขายรถ (และ Shop ของที่ระลึก) กับส่วนที่เป็น BMW Museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์
เอาจริงๆ ถ้าไม่ได้เป็นคนรู้เรื่องรถ หรือชอบรถยี่ห้อ BMW ก็อาจจะไม่อินมาก ไม่ได้จำเป็นต้องมาก็ได้นะ เอาเวลาไปที่อื่นจะดีกว่า
จากนั้นก็ไปที่ใจกลางเมืองมิวนิกที่แท้ทรูอย่างจัตุรัสแมรี่ (Marienplatz) ซึ่งจริงๆ มีอะไรให้แวะดูได้เยอะ แต่เนื่องจากผมไม่ได้ทำการบ้าน ก็เลยเดินไปเรื่อยเปื่อย
แถวนี้มีร้านอาหารดังๆ อยู่ร้านนึงชื่อ Ratskeller เป็นร้านที่ต้องเดินลงไปชั้นใต้ดิน รสชาติใช้ได้ แต่ราคาก็ค่อนข้างสูง (อย่าลืมบวกทิปด้วย เป็นมารยาททางสังคมแบบฝรั่งๆ)
จากนั้นก็ออกมาเก็บเกี่ยวบรรยากาศแบบ Marienplatz ตอนมืดๆ อีกหน่อย
และด้วยความที่เป็นแฟนฟุตบอล ก็เลยนั่งรถไฟมาเยี่ยมเยือนสนาม Allianz Arena ซึ่งเป็นสนามเหย้าของสโมสร Bayern Munich (แต่เราไม่ได้เป็นแฟนทีมนี้นะ) รถไฟจอดไกลจากสนามพอสมควร ต้องเดินอีกเป็นกิโลท่ามกลางความหนาวเหน็บในยามค่ำ
จากนั้นก็ได้เวลาไปพักผ่อนเสียที จากที่เหนื่อยมาทั้งวัน ครั้งนี้เลือกไปพักแบบ Airbnb (อีกแล้ว) เหมือนไปอยู่บ้านชาวบ้าน เพราะ host มันดันมาอยู่ด้วย (ปกติใน Airbnb คนปล่อยเช่าหรือ host เขาจะไม่ได้อยู่กับคนที่มาพัก) วันแรก host ไม่อยู่บ้าน เลยแอบซ่อนกุญแจไว้ให้เราใต้จักรยานหน้าบ้าน ต้องไปล้วงเอาตามภาพ (ถ้าไม่ใช่เยอรมัน จะรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างแรง)
คืนแรกก็ชาร์จพลังไปทั้งตัวเอง กล้อง และมือถือ เพื่อเตรียมไปยังจุดหมายสำคัญของการเดินทางครั้งนี้ในวันรุ่งขึ้น
วันที่สอง รีบตื่น และไปยังจุดนัดพบของ ทัวร์ปราสาทนอยชวานสไตน์, ปราสาทลินเดอร์ฮอฟ และโอเบอร์อัมเมอร์เกาจากมิวนิก เพราะการเดินทางไปยังปราสาทนี้ต้องขับรถไปเท่านั้น ซึ่งระหว่างทางที่เดินทาง เราจะผ่านถนนที่รถสามารถวิ่งได้โดยไม่จำกัดความเร็ว มี BMW คันเล็กๆ 118i คันนึงวิ่งด้วยความเร็วสูงมากๆ จนสะเทือนรถบัสเลย (ถ้ารู้แบบนี้น่าจะเช่ารถแล้วขับเองนะนี่)
เกร็ดเล็กน้อยก่อนไปดูปราสาท พระเจ้าลุดวิจที่ 2 แห่งบาวาเรีย
พระเจ้าลุดวิจ ฟรีดริช วิลเฮลมที่ 2 (เยอรมัน: Ludwig Friedrich Wilhelm II) เป็นกษัตริย์แห่งบาวาเรียระหว่างวันที่ 10 มีนาคม ปี ค.ศ. 1864 จนไม่กี่วันก่อนที่จะสวรรคตเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1886
พระเจ้าลุดวิจที่ 2 บางครั้งรู้จักกันในพระนามว่า “พระเจ้าหงส์” (Swan King) ในภาษาอังกฤษ และ “พระเจ้าเทพนิยาย” (der Märchenkönig) ในภาษาเยอรมัน ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1845 ที่พระราชวังนึมเฟนบูร์ก นอกเมืองมิวนิค ในแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนีปัจจุบัน เป็นพระราชโอรสองค์แรกของพระเจ้ามักซีมีเลียนที่ 2 แห่งบาวาเรีย และ เจ้าหญิงมารีแห่งปรัสเซีย ทรงครองราชย์ระหว่างวันที่ 10 มีนาคม ปี ค.ศ. 1864 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1886 พระเจ้าลุดวิจที่ 2 สวรรคตเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1886 ที่ทะเลสาบสตาร์นเบิร์ก พระร่างถูกฝังไว้ที่วัดเซนต์ไมเคิล ที่มิวนิคในคริพต์ของราชวงศ์วิทเทลส์บัค
พระเจ้าลุดวิจทรงเป็นบุคคลที่มีลักษณะนิสัยที่ลึกลับเป็นปริศนา (eccentric) และผู้ที่สวรรคตในสถานะการณ์ที่ค่อนข้างมีเงื่อนงำ สุขภาพจิตของพระองค์ในบั้นปลายอาจจะไม่ปกติแต่ก็ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่เป็นที่ยืนยันได้แน่นอน แต่สิ่งที่ทรงทิ้งไว้เป็นมรดกแก่ชนรุ่นหลังคืองานทางสถาปัตยกรรมที่ทรงก่อสร้างที่รวมทั้งวังและปราสาทใหญ่โตที่ทั้งหรูหราโอ่อ่าและเต็มไปด้วยจินตนาการราวเทพนิยายหลายแห่ง รวมทั้งปราสาทนอยชวานชไตน์ซึ่งเป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีและนักเขียนดนตรีโอเปร่าคนสำคัญของเยอรมัน
ปราสาทที่พระเจ้าลุดวิจสร้างเหล่านี้จะอยู่บนเชิงเทือกเขาแอลป์ (Alps)
จากทัวร์นี้ เราจะมาถึงปราสาท Lindehof ก่อน ปราสาทนี้เป็นปราสาทแรกที่ พระเจ้าลุดวิจที่ 2 แห่งบาวาเรีย สร้าง (ก่อนที่จะสร้าง Neuschwanstein) แต่ด้านในก็ถือว่ายิ่งใหญ่ สไตล์มั่งคั่งแบบที่เค้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากพระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) เนื่องจากถ่ายรูปด้านในไม่ได้ เลยไม่มีภาพมาให้ดู
จากนั้นทัวร์ก็พาเราไปหมู่บ้านที่ชื่อ โอเบอร์อัมเมอร์เกา (Oberammergau) ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นหมู่บ้านที่มีเสน่ห์มาก แต่เราก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะจุดหมายปลายทางมันอยู่ถัดไปต่างหาก
และแล้วในที่สุดหนึ่งในเป้าหมายสูงสุดของการเดินทางครั้งนี้ กับการเดินทางไปยังปราสาท Neuschwanstein ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับปราสาทดิสนีย์ก็มาถึง แต่ก็ต้องเติมพลังด้วยอาหารกันก่อน
หลังจากกินเสร็จก็เตรียมขึ้นปราสาท ซึ่งมีหลายวิธี ทั้งเดิน (ไกลเอาเรื่อง เดินขาลาก หนาวด้วย) นั่งรถบัส และนั่งรถม้า แต่คิวยาวนะครับ ซึ่งพอดีขี้เกียจต่อคิว เลยเดินขึ้นมาเลย แต่ถ้ารอได้ไปรอรถบัสก็ดีครับ เพราะมันจะไปจอดที่จุดที่เราสามารถถ่ายปราสาทได้ดีที่สุดคือ Marienbrucke (Mary’s Bridge) แต่จริงๆ แล้วมันมีอีกมุมนะครับ ซึ่งดีกว่าอีก เพราะเห็นด้านหน้าปราสาท และแนวเทือกเขาแอลป์เบื้องหลัง ชื่อ Allgäu Hiking Trails ลองดูตาม link นี้
เดินไปครับ ขณะเดินก็จะเห็นปราสาทชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมองจากด้านบนลงมาจะเห็นปราสาท Hohenschwangau (เป็นปราสาทที่ไกด์บอกว่าพระเจ้าลุดวิกอยู่สมัยเด็ก)
แล้วเราก็เดินไปยังจุดที่ชื่อว่า Marienbrucke ระหว่างทางจะชมวิวเทือกเขาสวยๆ ได้ด้วย
และแล้วในที่สุด เราก็มาถึงจุดที่มอง Neuschwanstein Castle ได้เต็มตา เหนื่อยแต่ก็คุ้ม
เช่นเคย ขณะเข้าชม เราจะไม่สามารถถ่ายภาพได้ จะถ่ายได้ก็คือออกมาแล้ว เลยถ่ายได้แต่แบบจำลองเล็กๆ อันนี้
จากนั้นราก็กลับลงมาด้านล่าง เจอ Hohenschwangau อีกครั้ง
และก็ขึ้นรถบัสกลับที่พักโดยสวัสดิภาพ
วันที่สาม ก็อยู่มิวนิกอีกไม่นาน เก็บข้าวของไปฝากที่สถานีรถไฟกลางเช่นเคย
แล้วก็แวะไป Residenz Munchen แต่ไม่ได้เข้าไป เพราะหาทางเข้าไม่เจอ บวกกับเวลามีจำกัด
โซนแถวนี้ก็มีของขายเยอะ ผมเลยได้ Bose Sleepbuds มาจาก Bose Experience Shop ตรงโซนนี้แหละ
และก็แวะไป Oberpollinger ซึ่งเป็นห้างชื่อดังของย่านนี้ แวะกินพาสต้าสไตล์เผ็ด (คนจีนทำ) จาก Food Court ในห้างนี้ (เป็น Food Court ที่ดูดีมากๆ) ซึ่งถือเป็นมื้อที่อร่อยมากๆ มื้อนึงตั้งแต่มายุโรปเลย
ตอนถัดไปจะพาไปยัง Salzburg เมืองแห่งเกลือ และบ้านเกิดของ Mozart ที่มีอะไรน่าสนใจมากกว่าที่คิดครับ
O