Salzburg

Suparat Wirattanapornkul
4 min readMay 5, 2019

--

จากตอนที่แล้ว พาทัวร์ด้วยภาพ จากปราก สู่ มิวนิก และปราสาทเทพนิยาย เราก็ได้ออกจากเมืองมิวนิก เดินทางต่อไป Salzburg (ซาลซ์บูร์ก) โดย Salz ในที่นี้มาจาก Salt ที่แปลว่าเกลือน่ะแหละครับ เรียกว่าเมืองแห่งเหมืองเกลือ เมื่อก่อนเค้าว่าเกลือมีค่ากว่าทอง เมืองนี้เลยร่ำรวย มั่งมีมาก

คราวนี้เดินทางด้วย Flixbus เพราะราคาถูกกว่าการเดินทางด้วยรถไฟมาก (บางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมระยะทางสั้นๆ ค่ารถไฟถึงแพง) ซึ่งท่ารถอยู่ห่างจาก สถานีรถไฟ München Hauptbahnhof (Munich Central Statio) เยอะพอสมควร

ก็เดินลากกระเป๋ากันไป เพราะก่อนหน้าที่จะถึงสถานีรถไฟ ก็ใช้เวลาไปกับห้าง Oderpolliger พอสมควร แถมขากลับยังนั่งรถไฟผิดขบวนไปหนึ่งสถานี แต่สุดท้ายจนแล้วจนรอด ก็มาถึงแบบฉิวเฉียด ก่อนรถออก 2–3 นาทีเองมั้ง (รู้สึกการเดินทางครั้งนี้ จะจวนเจียนตกรถหลายรอบ)

แล้วก็นั่งรถไป 2 ช.ม. เนื่องจากมิวนิก กับซาลซ์บูร์ก ถือว่าห่างไกลกันไม่มาก รถบัสนี้ไม่แวะจอดให้เข้าห้องน้ำ ฉะนั้นควรเข้าให้เรียบร้อยก่อน แต่การนั่งด้วยระยะเวลาเท่านี้ถือว่ากำลังพอดีๆ มีรถติดบ้างตอนใกล้ถึงพรหมแดนระหว่างประเทศ รถจะจอดใกล้ๆ กับสถานีรถไฟกลางพอดี ที่ออสเตรียกับเยอรมันจะเรียกสถานีกลางว่า “Hauptbahnhof” เหมือนกัน เพราะออสเตรียใช้ภาษาเยอรมันนั่นเอง ถึงสถานีตอนบ่ายสาม จากสถานีกลางก็เดินไปโรงแรมเลย ห่างไกลกันไม่มาก คราวนี้จองผ่าน Booking ชื่อ ACHAT Plaza Zum Hirschen เดินทางสะดวกพอสมควร แต่การบริการไม่ดีมากเท่าไหร่ มีล้อนามสกุลผมด้วย เพราะยาวจัด ลิฟท์ก็พัง ต้องแบกกระเป๋าขึ้นบันได (ปล. โรงแรมในยุโรป ตอนเช็คเอาท์ ต้องเสีย VAT เพิ่มด้วยนะ)

จริงๆ แล้ว ตอนแรกจะมาซาลซ์บูร์กในฐานะแค่ทางผ่านก่อนไป Hallstatt ด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้รู้จักเมืองนี้เลยก็ที่จะริเริ่มมาออสเตรีย (จริงๆ ก็เพิ่งจะรู้จัก Hallstatt ตอนจะมาเวียนนานี่แหละ 55) แต่ไปๆ มาๆ เรารู้สึกว่าเมืองนี้มีอะไรมากกว่าที่คิดมาก และเป็นเมืองที่น่าสนใจอันดับต้นๆ เท่าที่เคยเดินทางมาด้วยซ้ำ เนื่องจากมีเวลาจำกัดจำเขียด เราจึงไปแบบทำเวลาพอสมควร (การเดินทางที่เมืองนี้จะใช้รถบัสเป็นหลัก) เริ่มจากการซื้อ Salzburg Card ที่โรงแรม (ไม่ต้องไปเสียเวลาจองจากในเน็ตเหมือนที่พวกหนังสือนำเที่ยวแนะนำครับ เพราะต้องเอาไปขึ้นที่จุดเปลี่ยนบัตรอีก เสียเวลา ซื้อที่ไหนราคาก็เท่ากัน) เอาแบบ 24 ชั่วโมง โดยจะนับเวลาตั้งแต่เราเอาไปใช้สแกนบาร์โค้ดเข้าสถานที่ท่องเที่ยวครั้งแรก

โดยที่แรกที่เราจะไปก็คือ ป้อมปราการซาลซ์บูร์ก (Hohensalzburg) เค้าว่าที่นี่เป็น landmark อันดับหนึ่งเลยมั้ง ถ้าใครอยากรู้ประวัติความเป็นมา แนะนำให้ลองค้นดูครับ พอดีคราวนี้ไปนี่คือแทบไม่ได้อ่านอะไรก่อนไปเลย เน้นไปสัมผัสสถานที่แล้วก็ถ่ายรูปรัวๆ

ระหว่างเดินไปขึ้นป้อมก็จะเจอลูกบอลเหล็กทองๆ กลมๆ มีรูปปั้นใครก็ไม่รู้ยืนอยู่ข้างบน ถ้าใครรู้ว่าเขาคือใครก็บอกกันหน่อยนะครับ

ทางขึ้นจะเป็นซอยเล็กๆ ตอนแรกยังไม่แน่ใจว่ามาถูกทางไหม

สุดท้ายเราจะได้นั่งกระเช้าขึ้นมาด้านบน แต่ตอนขึ้นกระเช้า ไม่ได้ถ่ายรูปมา

และแล้วก็ขึ้นมาอยู่บนป้อมปราการ

เดินเข้าไปด้านในจะเจอเครื่องไม้เครื่องมือที่ดูแล้วเชื่อว่านี่คือป้อมปราการ

ข้างในมีปืนใหญ่ด้วย

ในพิพิธพัณฑ์ จะเป็นภาพของการสู้รบ ในสมัยสงคราม (สงครามไหนอย่าถามนะ ไม่รู้)

มีระบบวิทยุสื่อสารด้วย

ปืนเพียบเลย

ลูกกระสุนนี่ ถ้าโดนเข้าไปคงแหลก

ภาพด้านล่างนี้เป็นการมองจากวิวด้านบนครับ จะเห็นตัวเมือง Salzburg และวิวเทือกเขาแอลป์ที่โอบล้อม

จากนั้นก็มาหาอาหารกินที่ร้านอาหารด้านบน พร้อมกับชมวิวเมือง และเทือกเขา

หลังจากนั้นก็กลับลงมาด้านล่าง เดินเตร็ดเตร่ในย่านนี้ ซึ่งเป็นย่านมรดกโลก ตอนนี้ไปสถานที่สำคัญอื่นๆ ไม่ได้แล้ว เพราะเย็นแล้ว ปิดหมด

เดินเล่นบนสะพานที่มีคนเอากุญแจมาคล้องกัน เพื่อให้รักยืนยงคงกระพัน

พูดถึงสะพานและกุญแจ ย่อมหนีไม่พ้นเกาหลีซารางเฮโย

มองจากมุมนี้กลับไปยังป้อมปราการ ถือว่าสวยและโรแมนติกมากๆ

จากนั้นก็กลับมาที่ที่พักครับ อยู่ใกล้ปั้ม Shell พอดี เลยแวะเข้าไปซื้อของ ของที่ปั้มราคาดีครับ มีพวกของสดด้วย เหมาะแก่การเอาไปทำอาหารกินเองมาก น่าจะประหยัดค่ากินไปได้เยอะเลย ราคาของต่างๆ ในปั้มทำให้รู้สึกว่าที่ยุโรปนี่ราคาของมันก็ไม่ได้เว่อร์วังจนเกินไปนะ

วันที่สอง ตื่นมาก็รีบเช็คเอาท์โรงแรม เพื่อไปสถานีรสบัสกลาง ฝากกระเป๋า และขึ้นรถบัสมาลงที่ Unterberg ซึ่งเป็นภูเขาแห่งหนึ่งในเทือกเขาแอลป์ (ที่มี story พอสมควร แต่ไม่ได้อ่าน) กั้นระหว่างออสเตรียกับเยอรมัน เมื่อเราอยู่ข้างบน เค้าบอกว่าจะสามารถมองวิวของฝั่งเยอรมันได้ด้วย

ขึ้นมาข้างบน (ความสูงประมาณ 2 km จากพื้นดิน) ไม่หนาวอย่างที่คิด (ที่ไปคือเดือน มี.ค.) แดดจะแรงมาก พอสะท้อนกับหิมะ แล้วจะแสบตามาก แนะนำให้ใส่แว่นกันแดด ขึ้นมามากกว่าเสื้อกันหนาวนะ

เดินบนภูเขาหิมะ ลื่นอยู่เหมือนกัน ไปยืนๆ ใกล้ขอบ มีเสียวตก

มองวิวจากข้างบน มันสุดลูกหูลูกตาดี

พออยู่ข้างบนก็เดินไปได้ไกลนะครับ หลายๆ คนก็เอาสกีขึ้นมาเล่นกัน ดูน่าสนุก

วิวเทือกเขาน้ำแข็ง

เมื่อเดินเยอะก็เริ่มหิว รู้สึกเมื่อเช้าจะรีบจัดจนไม่ได้กินอะไร ก็มากินที่ร้านที่อยู่ข้างบนนี่แหละ (ข้างบนมีสัญญาณ 4G ด้วยนะ) มีเมนูให้เลือกไม่มาก เจ้าของร้านดุมาก รู้สึกว่าตั้งแต่มา Salzburg จะเจอคนดุๆ บ่อย

จากนั้นก็นั่งรถกระเช้ากลับลงไปด้านล่าง

ตรงนี้ผมโชคดีได้เข้าไปขึ้นกระเช้าขากลับคนแรกๆ เลยจองวิวถ่ายวีดีโอขณะกระเช้าลงจากด้านบน ลงถึงพื้นครับ เนื่องจากไฟล์วีดีโอใหญ่จึงอัพขึ้น Youtube แล้วค่อยเอามาแปะที่นี่

หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับเข้าตัวเมือง แวะไปลงพระราชวังเฮลบรุนน์ (Schloss Hellbrunn) ซึ่งได้รับฉายาว่าพระราชวังที่แสนสนุก เพราะมีจุดเด่นคือ Fountain Trick เป็นน้ำพุที่จะยิงน้ำใส่คนที่เข้ามา แต่น่าเสียดายที่ช่วงที่ผมไปนั้นพระราชวังจะปิดทำการ เลยไม่ได้เข้าไปดู และไปเจอน้ำพุดังกล่าว

หลังจากนั้นก็รีบมาขึ้นรถเพื่อไปเก็บสถานที่ต่อให้ได้มากที่สุด (จะรนๆ หน่อย เพราะมีนัดไปรับรถที่จองไว้) คราวนี้มาที่บ้านหลังที่สองของ Mozart (Mozart Wohnhaus, haus ในภาษาเยอรมันคือ house ที่แปลว่าบ้าน) ซึ่งเค้าว่ากันว่าเป็นบ้านที่ Mozart ใช้ชีวิต ทำงาน อยู่มากที่สุด

แต่อนิจจา เจอชะตากรรมเดิม ปิดไม่ทำการ จะกลับมาเปิดอีกทีเดือน เม.ษ. เช่นเดียวกับพระราชวัง Hellbrunn (คนมาช่วง มี.ค. จะรู้สึกซวยๆ)

แต่เราไม่ย่อท้อ ยังไงก็ต้องไปดูหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของ Mozart ให้ได้ เลยตรงไปที่ Mozarts Geburtshaus หรือชื่อภาษาอังกฤษ Mozart’s Birthplace ตึกสีเหลืองๆ ดูเด่นมาแต่ไกล ไม่รู้ทาสีเพิ่มที่หลังเพื่อให้แยกออกจากตึกข้างๆ รึเปล่า

ถ่ายมาสุดได้แค่ตรงนี้นะ หลังจากนี้เค้าห้ามถ่ายภาพ

จริงๆ ยังมีสถานที่สำคัญอีกบางที่ เช่น พระราชวังมิราเบลล์ (Schloss Mirabell) ที่ผมไม่ได้เข้า เพราะดูจากด้านหน้าแล้ว ตอนที่ไปคงไม่สวยเต็มที่นัก (จะสวยในฤดูกาลที่ดอกไม้เบ่งบาน) กับอีกอย่างนึงคือ ของฟรีเราไม่เข้า เข้าแต่ของไม่ฟรี เป็นใช้ Salzburg Card ให้คุ้มนั่นเอง

หลังจากเสร็จจากที่นี่ก็รีบนั่งรถบัสไปสถานีกลางเพื่อเอากระเป๋า ข้อดีของที่นี่คือสถานที่สำคัญมันจะอยู่ใกล้ๆ กันมาก ไม่ต้องนั่งรถนานเกินไป พอได้กระเป๋าออกจาก locker ก็ลากไปรับรถที่ Europcar สถานที่รับรถก็ดันไม่ได้อยู่ตรงสถานีกลาง เดินลากกระเป๋ากันต่อไปอีก ช่วงนี้จะไม่ได้มีภาพถ่าย เพราะมัวแต่ลกๆ ไปเอารถ และก็งงๆ กับเส้นทาง เพราะพึ่งเจ้า Google Maps เยอะเหมือนกัน สุดท้ายก็ไปรับรถมา ซึ่งได้รถไม่ตรงปก แต่ไม่เป็นไร รีบขับไปสถานที่อื่นต่อ เวลามีน้อย ตอนขับแรกๆ ก็จะมีความมึน เพราะนอกจากเรื่องพวงมาลัยคนละฝั่ง เส้นบนถนน และรูปแบบทางโค้งก็ต้องปรับตัวเยอะ

ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบสวนสัตว์ และที่นี่ก็มี Zoo Salzburg ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสวนสัตว์ที่สัตว์อยู่กันแบบธรรมชาติมาก และที่สำคัญคือมีแพนด้าแดง ก็เลยอยากแวะเข้ามาดู

Roter Panda หรือ Red Panda จะอยู่ในกลุ่มแพนด้าเหมือนกับเจ้า Giant Panda (หมีแพนด้าที่เรารู้จักกัน) มีต้นกำเนิดจากเมืองจีนเหมือนกัน แต่ตัวจะเหมือนแรคคูนผสมกระรอกมากกว่าที่จะเหมือนแพนด้า ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงจัดกลุ่มเป็นแพนด้า

แล้วก็หมดแล้วสำหรับเมือง Salzburg จริงๆ มันมีอะไรมากกว่านี้นะแต่เนื่องจากใช้เวลาแค่ 24 ช.ม. มันเลยได้เท่านี้ คราวนี้จะได้ขับรถไปยังจุดหมายแห่งสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้คือ หมู่บ้านริมทะเลสาบ Hallstatt สถานที่ที่พูดถึงออสเตรีย แล้วไม่พูดถึงไม่ได้ ขณะที่กรุ๊ปทัวร์มักจะพาไป Hallstatt เป็นที่แรกๆ ผมกลับเลือกให้มันเป็นที่สุดท้าย ลองมาดูกันในตอนต่อไป กับบทสรุปของการเดินทางครั้งนี้ครับ

--

--