How to เตรียมตัวสอบ TOEIC ด้วยตัวเองล้วนๆ #2

Kpz Charles
3 min readMay 11, 2017

--

หลังทิ้งเวลาไปจนถึงปีใหม่ ย้ำว่าปีใหม่จริงๆ ต้นปี 2560 ผมก็กลับมาเตรียมตัวอีกครั้ง รอบนี้จัดหนักจัดเต็มกว่าเดิม ผมเริ่มจากไปขอเข้ากลุ่มติว TOEIC (วาป) และผมก็ได้ลายแทงขุมทรัพย์มาหลายเล่ม ผมมีเวลาในการเตรียมตัวทั้งหมดเกือบๆสองเดือน คือเดือนมกราคม ช่วงกลางๆเดือน และเดือนกุมภาพันธ์ทั้งเดือน ตั้งใจจะไปสอบช่วงต้นเดือนมีนาคม เพราะช่วงนั้นมีวันหยุด ผมแบ่งการเตรียมตัวออกเป็นสอง phase ใหญ่ๆ

1st phase

phase แรกผมฝึกฟังอย่างเดียวครับ ย้ำว่าฟังอย่างเดียว ผมฝึกฟังจากหนังสือเหล่านี้ แต่ละเล่มจะมีข้อสอบ 10 ชุดครับ รวมหมดนี้ก็น่าจะหลายสิบรอบ ผมฝึกตั้งแต่ได้คะแนน 50 60 65 ไปจนคะแนนคงที อยู่ที่ 65–75 ซึ่งถ้าตีเป็นคะแนนสอบจริง น่าอยู่ช่วง 300–400 คร่าวๆครับ ต้องยอมรับว่าช่วงแรกท้อมากครับ ฟังไปไม่เห็นจะเข้าใจว่าเค้าพูดอะไร ฟังไม่ทัน จับใจความไม่ได้ จนในที่สุดก็ได้ทริคในการทำข้อสอบส่วนนี้

  1. ข้อสอบที่ทำไปห้ามทำซ้ำ และไม่ควรอ่านสคลิปครับ เพราะเราจะจำได้จากการอ่านหรือการทำซ้ำ(ได้จากการสอบครั้งแรก) ซึ่งทุกครั้งที่ทำข้อสอบ ต้องรู้สึกว่ามันคือข้อสอบใหม่ และควรเข้าใจคำถามหรือข้อความจากการฟังเท่านั้นครับ จะทำให้เรามีเลเวลในการฟังเพิ่มขึ้น
  2. ส่วนที่เป็นรูปภาพ สำหรับผม อันนี้ยากสุด เพราะหลายครั้งเค้าพูดถึงจุดเล็กๆบนภาพครับ ตอนแรกกะเอาเต็ม ได้สัก 7 ก็โอเคแล้วครับ
  3. ส่วนที่สองพยามฟัง question word ครับ what, when, where, why, how …. พวกนี้คำอย่างน้อยๆถ้าจับคำพวกนี้ได้ เราจะเลือกคำตอบที่ถูกได้ อีกหนึ่งวิธีคือการตัดตัวเลือกครับ ใช้ในกรณีฟังตัวเลือกก่อนหน้าไม่เข้าใจ ให้พยามฟังอันต่อๆไป ว่ามันเชื่อมโยงคำถามหรือไม่ ซึ่งอันนี้ผมก็ใช้กับอันแรกด้วยครับ ทำนองว่าพูดอะไรไม่รู้ รู้แค่ว่าอีกสามอันที่เหลือไม่ใช่ 5555 ข้อควรระวังของส่วนนี้คือตัวหลอกครับ เช่น คำที่ออกเสียงคล้ายกันเช่น copy coffee หรือถาม how…. แล้วตอบมาทั้ง ราคาและระยะ ซึ่งถ้าฟังไม่ทันจะสับสนได้ทันที ดังนั้นควรมีสติครับ สำคัญมาก ข้อไหนไม่ได้แล้วไม่ควรพะวงครับ ข้ามไปตั้งใจทำข้อใหม่เลยครับ
  4. ส่วนถัดมาจะได้ยินเสียงคนคุยกันสองคน หรือคนพูดข้อความคนเดียว ทริคคือ ช่วงที่เค้าอ่าน direction(คำแนะนำการทำข้อสอบ) ให้ไปอ่านคำถามรอครับ เน้นความคำสำคัญ คำถามต้องการอะไร ช้อยมีอะไรบ้าง พอเสียงเริ่มพูดบทสนทนา หรือพูดประกาศอะไรก็แล้วแต่ ให้กาลงไปในข้อสอบพร้อมตอนฟังเลยครับ ไม่แนะนำให้ฟังจบแล้วค่อยกา จะทำให้ลืมได้ครับ กาครบสามข้อแล้วค่อยฝนลงในกระดาษคำตอบทีเดียวครับ จะทำให้ไม่ชะงักตอนฝนครับ ส่วนนี้ไม่ง่ายนะครับ เพราะช้อยมันจะเป็นข้อความที่ไม่ตรงตัวซะทีเดียว ซึ่งเราต้องเข้าใจทั้งบทสนทนา และเข้าใจความหมายของมันด้วย มีหลายอันที่พูดอีกอย่าง แต่มีช้อยอีกอย่าง ที่มีความหมายเดียวกันครับ เพราะงั้นต้องฝึกครับ คำแนะนำจากผมคือ

ฝึกเท่านั้น ไม่มีทางลัดครับ

หลังจากครบส่วนการฟังแล้ว ผมจะตรวจทันที แล้วแบ่งเป็นส่วนต่างๆแล้วเช็คคะแนนครับ ผิดแต่ละส่วนกี่คะแนน ส่วนไหนต้องปรับปรุง ถ้าครั้งนี้ยังไม่ดี ไม่ควรทำอันเดิมอีกรอบ แต่ให้ทำข้อสอบชุดใหม่เลยครับ ให้คิดว่าจะทำชุดใหม่ให้ดีกว่านี้ สำคัญควรมีเป้าหมายคะแนนนะครับแล้วขยับเป้าหมายไปเรื่อยๆให้ถึงช่วงคะแนนที่เราต้องการ

ถ้าผมจำไม่ผิด ผมน่าจะทำส่วนการฟังไปน่า 40–50 รอบ ฮ่าๆๆๆ

ซึ่งมันก็ส่งผลดีนะครับ ยิ่งเราทำเยอะ เราจะได้เจอข้อสอบหลายๆแบบ หลายแนว บทสนทนาหลายอย่างๆ ตั้งแต่ถามทาง ยันคุยกันกับเพื่อนร่วมงาน ฝึกบ่อยๆ เราจะเริ่มชิน สังเกตุง่ายๆครับ เวลาไปสนามบินหรือเดินทาง ลองฟังเค้าประกาศที่เป็นภาษาอังกฤษ ครับ ถ้าเราจากไม่ค่อยรู้เรื่อง จนเรารู้เรื่องว่าเค้าพูดอะไร นั่นแหละครับ พัฒนาการ และก็ช่วงหนึ่งที่ผมดูซีรีย์ฝรั่งครับ โดยดูแบบเสียงอิ๊งซับอิ๊ง คือในสถานการณ์นี้มันจะบังคับให้เรา ไม่ฟังก็ต้องอ่านเอา ซึ่งแน่นอนผมอ่านเอา ฮ่าๆๆ ได้ก็ฟัง เค้าออกเสียงแบบนี้จะได้คุ้นเคยครับ รวมๆผมเตรียมตัวในส่วนนี้ไปประมาณครึ่งเดือนครับ โดยเอาชั้วที่สุดครับ จนคะแนนที่ได้อยู่ในช่วง 65–75 อย่างที่คาดหมายไว้ตอนแรกครับ แล้วหลังจากนั้นผมก็เริ่มเฟสที่สองตามแผน

2nd phase

ในส่วนนี้เป็นส่วนของการอ่านครับ แบ่งออกสามส่วนหลักๆ ส่วนแรกและส่วนที่สองคือส่วนที่ต้องคำตอบลงไป มีทั้งคำถามเป็นข้อ และเป็นข้อความยาว ครับ ในส่วนนี้จัดวัดแกรมม่าของผู้สอบโดยตรง จึงเป็นส่วนที่หินมากครับสำหรับผม และส่วนสุดท้ายคือส่วนที่เป็นการอ่านครับ อ่านประกาศ โฆษณา อีเมล ใบสั่งซื้อของ กระดาษโน๊ต มีหมดครับ ทั้งแบบแผ่นเดียว และแบบที่ตอบโต้กันสองแผ่น สำหรับส่วนนี้เล่าลือกันมาว่าทำไม่ทัน ซึ่งผมเองก็ทำไม่ทันในการสอบครั้งแรก ฮ่าๆๆ เลยเตรียมมากเป็นพิเศษเพื่อที่จะมำข้อสอบทันครับ

การเตรียมตัวในส่วนนี้เริ่มจากผมหาหนังสือมาอ่านเพิ่มครับ โดยได้หนังสือมาดังนี้ครับ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

เล่มนี้ มีเนื้อหาด้านหน้าครับ เป็นแบบฝึกตามเนื้อหาแต่ละเรื่องเหมาะกับการเอามาลองก่อนทำข้อสอบครับ และด้านหลังมีแนวข้อสอบด้วยครับ เล่มนี้ผมเลือกทำเฉพาะส่วนที่เป็นแกรมม่าอย่างเดียวครับ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

เหมือนเล่มก่อนหน้าครับ มีเนื้อหาด้านหน้า เล่มนี้มีข้อสอบด้านหลังเหมือนกันครับ ข้อสอบก็พอใช้ได้ ถ้าเอามาลองฝีมือดีมากครับ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

เล่มนี้เฉลยค่อนข้างละเอียดมากครับ แต่ผมว่าข้อสอบมันค่อนข้างไม่เหมือนข้อสอบจริงครับ มีหลายข้อที่รูปแบบมันไม่ออกในข้อสอบแล้วครับ

ทุกเล่มมีเนื้อหาที่ค่อนข้างสรุปครับ ถ้าต้องการเนื้อหาละเอียดต้องหาเล่มอื่นครับผมรู้สึกว่าข้อสอบภายในค่อนข้างคล้ายข้อสอบจริง มียากมีง่ายปนกันไป แต่ผมรู้สึกว่าลองทำแนวข้อสอบเลยดีกว่า ผมเลยไปโหลดหนังสือจากกลุ่มครับ (มีคนอัพไว้เยอะเลยครับ) เน้นเป็นพวกแนวข้อสอบเลยครับ ย้ำครับไม่เอาเนื้อหาแกรมม่าแล้ว เอาแนวข้อสอบเลย ผมอาศัยการทำข้อสอบครับเยอะๆครับ บวกกับการเพิ่มเติมเนื้อหาไปเรื่อยๆครับ ช่วงแรกๆในหนังสือ ก็เปิดเฉลยว่าทำไมผิด หลังๆมาไฟล์ที่โหลดมามันไม่คำอธิบาย เลยพยามเดาว่าทำไม ซึ่งผมจะแยกข้อสอบที่ออกในส่วนแกรมม่าดังนี้ครับ

  1. part of speech (หน้าที่ของคำ)
  2. conjunction (คำเชื่อม)
  3. vocab (คำศัพท์)

ซึ่งผมไปเน้นตรง part of speech ครับ เพราะน่าจะง่ายสุด ฮ่าๆๆๆ เพราะมันมีรูปแบบชัดเจนครับ มันเลยง่ายในการเดา ฮ่าๆๆๆ ส่วน vocab ผมว่าตามบุญตามกรรมครับ เพราะศัพท์มันค่อนข้างเป็นศัพท์ที่ใช้ชีวิตการทำงานครับ ผมเลยกล้าพูดเลยครับว่าผมไม่ได้ท่องศัพท์เลย เน้นเจอบ่อยๆ เพราะหลายๆคำ เราไม่ได้เจอในชีวิตจริง ส่วน conjunction ผมเน้นความถี่ในการเจอครับ โจทย์แบบนี้ควรแปล ควรเชื่อมด้วยคำเหล่านี้ ผมขอแบ่งทริคที่ผมใช้ในการเตรียมตัวดังนี้ครับ

  1. ข้อสอบที่เป็น part of speech ไม่จำเป็นต้องแปล หลายข้อไม่ต้องแปลก็ทำข้อสอบได้ ซึ่งข้อสอบจะเป็นช้อยแบบ word family ครับ หมายถึง คำเดียวกันแต่เป็นคนละรูปแบบ เช่น noun verb adj. adv. ครับ เพราะงั้นนอกจากจะต้องรู้ว่าต้องเติมอะไรแล้ว ยังต้องรู้ด้วยครับว่า คำที่เอามาเติมควรเป็นคำไหน โดยอาศัยดูจาก -sufix (ตัวต่อท้าย) เช่น -ment -tion -sion -or -er เป็น noun หรือ -able -al -full เป็น adj. ครับ ท่องเลยครับ หรือไม่ก็หาตารางมาดูครับ นอกจากนี้เรายังต้องรู้ tense และ voice ด้วยครับ มีหลายข้อนอกจากจะต้องรู้คำแล้วยังต้องผันตามครับ
  2. อันนี้จากการดูคลิปใน youtube ครับ และหลายครั้งที่ผมผิดบ่อยมาก คือดูกริยาผิดตัวครับ ตามหลักการที่ผมเข้าใจคือ ในประโยคหนึ่งประโยคจะมีกริยาแท้เพียงตัวเดียว หรือถ้าเป็นประโยคสองประโยคเชื่อมกัน ก็จะมีสองตัวตามเงื่อนไข สำคัญคือเราต้องหาให้ได้ครับ ว่าตัวไหนคือกริยาแท้ของประโยค เพื่อจะได้ดูว่าควรเติมอะไร คำเหล่านั้นขยายอะไร อยู่ในตำแหน่งไหน เพื่อจะได้วนกลับที่ไปข้อ 1 ในการเลือกคำมาเติมครับ
  3. ข้อที่ไม่ได้วัด part of speech ควรแปลครับ เพราะจะได้รู้ว่าควรเลือกคำศัพท์คำไหนมาเติม อย่างที่บอกครับ เราควรพยามหาคำศัพท์เพิ่มให้ตัวเองเสมอๆ เพื่อนจะด่าผมเสมอว่า ผมคลังศัพท์น้อย ซึ่งมันก็จริงครับ ผลเลยพยามทำข้อสอบเยอะๆจะได้คุ้นว่าคำนั้นหมายถึงอะไร ในช่วงแรกๆอาจจะเป็นความหมายทำไปพร้อมครับ เมื่อรู้สึกว่าไม่ต้องเปิดค่อยลองทำข้อสอบจริงครับ จะได้ช่วยให้รู้ความหมายของคำศัพท์ก่อน
  4. เมื่อพร้อมแล้ว ควรทำข้อสอบแบบจับเวลาจริง แนะนำให้ดูนาฬิกาจริงครับ ไม่ใช่จับเวลาถอยหลัง เพราะในห้องสอบ มันเป็นนาฬิกาแบบปกติไม่ได้นับถอยหลัง ซึ่งมารู้ว่าตัวเองฝึกมาผิดวิธีก็ตอนมาสอบครั้งที่สอง ฮ่าๆๆ
  5. ควรจัดสรรเวลาในการทำข้อสอบครับ เวลาสอบในส่วนนี้ทั้งหมด 75 นาที เพราะงั้นต้องจัดสรรดีๆครับ ส่วนตัวผมแบ่ง แกรมม่า 30 อ่าน 45 และเวลาฝึกก็พยามทำให้ได้ตามนี้ครับ

ในช่วงที่เตรียมตัวครับ ยอมรับเลยคะแนนออกมาไม่ค่อยดีครับ ฮ่าๆๆๆ บ่นกับเพื่อนทุกวัน ซึ่งข้อสอบมันแบ่งเป็นแกรมม่าทั้งหมด 52 ข้อ และอ่าน 48 ข้อ ตอนแรกก็ตั้งไว้ว่า จะเอาส่วนละ 35 ข้อ แต่พอฝึกทำไปเรื่อยๆ เอาส่วนละ 30 ก็พอ ฮ่าๆๆๆ สำคัญคือเวลาครับ ต้องทำให้มันเวลา อย่างที่ผมบอกตอนต้นครับ ไม่มีทางลัด ฝึกเท่านั้นครับ ฝึกไปเรื่อยๆ และพัฒนาไปเรื่อยๆครับ

ใน phase นี้ผมใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ครับ 1 อาทิตย์ก่อนสอบ ผมก็หันมาทำข้อสอบทั้งหมดครับ ได้ทำประมาณ 3–4 ชุดครับ เพราะผมคิดว่าซ้อมแยกส่วนมาดีแล้ว พอมาร่วมกันเลยไม่ค่อยมีปัญหาในการทำข้อสอบเท่าไหร่ แต่อย่างที่บอกไปครับว่าแกรมม่าก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พอถูๆไถๆ ฮ่าๆๆ

รายชื่อหนังสือที่โหลดมาลองทำข้อสอบ

ไปสอบ

ไปรอบนี้ใช้เวลาน้อยกว่าเดิมคือ ไปเช้าสอบบ่ายแล้วรอเอาผลอีกวันครับ หลังจากสอบครับ บอกเลยเฟลมาก ฮ่าๆๆ เพราะทำข้อสอบไม่ทันครับบบบบบ ฮ่าๆๆ จะบ้าตาย ด้วยความที่ผมมั่นใจตอนทำแกรมม่า และฝึกแบบนาฬิกาจับเวลาถอยหลัง มันทำให้ผมดูเวลาผิด 555 ความโง่ล้วนๆ มิหนำซ้ำยังกลับไม่แก้แกรมม่าอีก เพราะคิดว่าเวลาเหลือเยอะ 555 เอาเข้าไป มันเลยส่งผลให้ผมเลือกเวลาทำ ส่วนการอ่าน 30 กว่านาที ซึ่งมันไม่ทันสิครับ กรรมการคุมสอบจะแจ้งเหลือ 30, 15, 5 และ 1 นาทีก่อนหมดเวลาครับ ตอนมองนาฬิกาเหลือเวลาประมาณ 2 นาที เหลือบทความที่ยังไม่อ่าน 2 อัน รวม 10 ข้อ ฮ่าาาา มั่วสิครับรออะไร กรรมการคุมสอบยังขำผมเลย ออกมาห้องสอบแบบเฟลๆตามระเบียบครับ ก็ทำไม่ทัน แงงงงง ในส่วนของการฟังก็รอบนี้รู้สึกว่ามันยากครับ เหมือนมีหลายสำเนียง เลยดูงงๆ ฮ่าๆๆๆ นี่ขนาดผมฝึกมาเยอะ แต่น่าจะเกิดจากการพะวงข้อก่อนหน้าครับ เลยสติแตกฟังไม่ออก ฮ่าๆๆ ยอมรับชาตะกรรมครับ เตรียมตัวไปเอาผลในวันถัดไป ก่อนมาสอบครับพูดติดตลกกับเพื่อนว่า

เออเนี้ยถ้าสมมติคะแนนขาดไป 5 คะแนนกุจะทำยังไงหวะ

แล้วก็ไปรับคะแนนครับ พอได้ซองมาปุ๊บ เปิดซองทันทีไม่รออะไรแล้ว ผมเห็นคะแนนครั้งผมนี่ยิ้มเลย ฮ่าๆๆๆๆ

โอ้ยยยยยยยย มันขาดไป 10 คะแนน นั่นคืออะไร กาถูกอีกสองข้อก็ได้จะ 650 ที่ต้องใจแล้ว 55555555555555 เนี้ยไม่น่าพูดกับเพื่อนเลย ผมเยียวยาตัวเองด้วยการรูดครับ 5555 ซื้อของหมดไปหลายบาท จากการวิเคราะห์คิดว่าคงเพราะทำไม่ทัน และ 10 ข้อที่มั่วแหละทำให้คะแนนไม่ถึง สอบครั้งหน้าเลยตั้งเป้าหมายว่าต้องทำทันไว้ก่อน เพราะถ้ารอบหน้าคะแนนไม่ผ่านอีก ต้องรออีกทีปีหน้าเลย เพราะคงมาสอบเอาคะแนนไปสมัคร ที่ที่อยากได้ไม่ทัน ฮ่าาาาาาาาาาาาา มีเวลาอีกสองเดือนก่อนสอบครั้งต่อไปครับ จะพยามเต็มที่กว่าเดิมแน่นวลลลล

พัฒนาการ ในการฟังพัฒนาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ เพราะผมฟังเข้าใจมากขึ้น มีทริคในการทำในแต่ละส่วน เลยทำให้คะแนนเพิ่มมาค่อนข้างเยอะ ส่วนแกรมม่าและการอ่าน บอกไปแล้วมันถูๆไถๆ แต่ก็คะแนนเพิ่มมานิดหน่อย ก็โอเค แต่จะโอเคกว่าถ้า 650 แหม๋ ><

--

--