Avicii โปรดิวเซอร์และดีเจสุดฮอต ได้ส่งอัลบั้มชุดใหม่ที่มีชื่อเก๋ๆ ว่า Stories ออกมาได้ไม่นานมานี้ ซึ่งอัลบั้มชุดนี้มีทั้งหมด 14 แทรค และเป็นอัลบั้มที่ใช้เวลาทำงานมากกว่า 2 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นอัลบั้มที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ที่สร้างไอเดียแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา เพราะหน้าปกอัลบั้ม Stories ให้ความรู้สึกถึงสีสันของเรื่องราวที่อยู่ในรูปแบบเพลง
แนะนำให้ใส่หูฟังเวลาฟังเสียงค่ะ เสียงมาแน่นมากจริงๆ
Waiting for love : แทรคนี้เป็นไตเติ้ลแทรคของอัลบั้ม ที่ Avicii ได้ปล่อยออกมาสักพักแล้ว โดยที่ Avicii เขียนและโปรดิวซ์เพลงด้วยตัวเอง (ได้ Martin Garrix มาร่วมเขียนเพลงด้วย) และร้องเพลงโดย Simon Aldred และเพลงนี้ Avicii ได้ปล่อยเอ็มวีและ Lyric Video ออกมาบนยูทูบด้วย
* เป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกถึงการรอคอยความรักด้วยความหวัง บีทหนักๆ แต่ไม่แข็งเกินไปและเข้ากับซาวด์ที่ทำออกมา ยิ่งเสียงของ Simon Aldred ที่ร้องให้เพลงนี้ ทำให้ดูแข็งแรงอย่างบอกไม่ถูก เสียงเปียโนที่คลอมาตอนท่อนฮุคเล่นเอาใจสั่นเวลาฟัง เนื้อเพลงเหมือนให้กำลังใจ ถือว่าเป็นแทรคเพลงที่เปิดอัลบั้มทั้งหมดได้สวย ซาวด์สวย และทุกอย่างในเพลงลงตัว ชอบมาที่สุดคือตอนจบเพลงที่ซาวด์ทุกอย่างวูบลงไปหมด
Talk to myself : แทรคที่สองของอัลบั้มที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากไตเติ้ลแทรค เป็นเพลงที่ Avicii เขียนและโปรดิวซ์เองเหมือนเดิม
* อย่างที่บอก… เป็นแทรคที่สองที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากไตเติ้ลแทรคมากพอสมควร แนว House ที่ซาวด์ออกแนวโหลๆ แต่กลับสดใสจนให้ความรู้สึกอยากโยกไปจนจบเพลง ช่วงกลางๆ จนถึงช่วงท้ายของเพลงกลับดูแหวกแนวอย่างไม่น่าเชื่อ ติดหูมาก เสียงร้องดูสด เป็นเพลงที่ออกแนวแดนซ์เบาๆ จบท่อนฮุค แล้วดนตรีโลว์ลงแล้วแรงขึ้น โดนตรงช่วงนี้มากกกกกกก เพราะทำอยากให้กระโดดด้วยความสนุกเลย เนื้อเพลงอาจจะไม่มีอะไรมาก เพราะเน้นดนตรีและไม่ผิดหวังเลย เป็นเพลงในแทรคที่ฟังซ้ำหลายครั้ง
Touch Me : แทรคที่สามของอัลบั้ม เขียนและโปรดิวซ์โดย Avicii เหมือนเดิม
* ชื่อเพลงก็ชวนให้น่าฟัง ให้ความรู้สึกเซ็กซี่ทันทีที่อินโทรเพลงขึ้น บีทนุ่มๆ ชวนเลื้อยไปตามเพลง บวกกับริทึ่มของเพลงก็กำลังดี ความเซ็กซี่ของเพลงเข้ากับเนื้อร้องที่ว่า I want you to touch me ชวนให้ใครสักคนมาสัมผัสเวลาฟังเพลงจริงๆ ยิ่งเสียงร้องของ Celete Waite ยิ่งทำให้เพลงนี้เซ็กซี่เป็นเท่าตัว ชอบเสียงเปียโนเบาๆ ที่มีตอนอินโทร และมีตลอดเพลง เสียงคล้ายเบสต่ำๆ ก่อนจะถึงท่อนฮุค ทำใจสั่นไปกับเพลงเลยจริงๆ จะมีช่วงที่บีทหาย แล้วมีซาวด์บางๆ เจือมา ใจลอยเลย…
Ten more days : แทรคที่สี่ของอัลบั้ม เขียนและโปรดิวซ์โดย Avicii แต่ได้รับการมิกซ์จาก Carl Falk และเสียงร้องของ Zak Abel
* เหมือนเพลงแนวร็อกแอนด์โรลล์ เสียงของแซคให้ความรู้สึกหมดหวังอย่างน่าประหลาด เสียงดนตรีเข้ากับซาวด์ที่มิกซ์มาอย่างลงตัว นุ่มแต่หนักแน่นเพราะเสียงคนร้อง Avicii เป็นโปรดิวเซอร์ที่เก่งมากจริงๆ ที่เลือกทุกอย่างให้ลงตัวได้ในเพลงเดียว อินโทรที่เป็นเสียงกีต้าร์ขึ้น มันดีมากกกก ไม่รู้จะพูดอะไรเกี่ยวกับเพลงนี้ ต้องลองฟังเอง แต่บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งแทรคในอัลบั้มที่ชอบมาก และไม่ควรพลาด
For a better day : แทรคที่ห้าของอัลบั้ม แถมยังได้ปล่อยเอ็มวีลงบนยูทูบแล้ว เขียนและโปรดิวซ์โดย Avicii และ Alex Ebert
* ฟังครั้งแรกคือมันโคตรใช่! เสียงของ Alex Albert มันสุดมากสำหรับเพลงนี้ ซาวด์ติดหูมาก จนทำให้ลืมแทรคที่สามที่สี่ไปเลย ไม่ผิดหวังจริงๆ กับเพลงนี้ เป็นแทรคในอัลบั้มที่ฟังวนอยู่หลายรอบ ยิ่งเมื่อได้ดูเอ็มวีแล้ว ทำไมมันโหดจังวะ! มีฉากแก้แค้นกันได้โหดสุดๆ เหมือนดูหนังเรื่องหนึ่ง ทั้งที่อารมณ์เพลงลื่นๆ ไม่ค่อยแคร์อะไรแท้ๆ แต่ถ้าเน้นฟังเพลงจริงๆ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแทรคที่ไม่ควรฟังแค่รอบเดียว
Broken Arrows : แทรคที่หก ที่การเขียนเพลงและโปรดิวซ์ยังคงเป็น Avicii ได้การมิกซ์จาก Carl Falk และ Zac Brown มาเป็นคนร้องเพลง
* คิดถึงเพลง Wake me up ทันทีที่ได้ฟัง และมีกลิ่นอายความความเป็นดนตรีแนวโฟลค และอินโทรของเพลงลื่นๆ เหมือนหลุดไปอยู่ในโลกของเกม มีความสดใสอยู่ในซาวด์เพลงทั้งเพลง เหมาะกับการฟังเพลงสบายๆ เพราะบีทไม่ได้หนักและซาวด์ดนตรีไม่รกหู แต่ไม่โดนใจเราเท่าไหร่ ฟังได้แต่ไม่ชอบ
True Believer : เดินทางกันมาถึงครึ่งหนึ่งของอัลบั้มแล้ว กับแทรคที่เจ็ดของอัลบั้มนี้ Avicii ก็ยังคงเป็นคนเชียนเพลงและโปรดิวซ์เอง
* เป็นหนึ่งแทรคที่มีความเป็น House และออกแนว EDM สูงมากอีกแทรคหนึ่ง ฟังได้เรื่อยๆ และชวนให้ลุกขึ้นมาเต้น ช่วงบีทดร็อปของเพลงก็ยังคงอยากให้โยกตามเรื่อยๆ และอารมณ์พุ่งขึ้นมากกว่าเดิม เมื่อกำลังจะขึ้นช่วงหลักของเพลง เป็นอีกหนึ่งแทรคที่ฟังเอาสนุกและความมัน และอีกหนึ่งเสน่ห์ของเพลงนี้อยู่ที่ช่วงท้ายเกือบจะจบเพลง ที่บีทดร็อปลงไป ทำให้คิดว่าเพลงใกล้จะจบ แต่กลับมีดนตรีสบายหูเล่นมานิดหนึ่ง ซึ่งเบรกอารมณ์ให้เตรียมรับกับแทรคเพลงต่อไปได้ดี
City Light : แทรคที่แปด Avicii เขียนและโปรดิวซ์เองเหมือนเดิม เสียงนักร้องในเพลงได้นักร้องผู้ชายคือ Jonas Wallin กับนักร้องผู้หญิง Noonie Bao มาร้องให้
* บอกตามตรงว่าไม่ชอบอินโทรของแทรคนี้มากๆ ไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกใหม่อะไรเลยสักนิด ทำให้รู้สึกผิดหวังอย่างแรง แต่พอเสียงร้องกับซาวด์ที่มีบีทหนักๆ ขึ้น ทำให้รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในเพลงนี้ เป็นเพลงแนวน่ารักๆ เพลงหนึ่ง เสียงเปียโนชวนฝันมากจริงๆ ฟังไปเหมือนลอยได้ แต่ก็มีตัดอารมณ์หวานด้วยบีทหนักๆ กับซาวด์แรงๆ แต่กลับมีความรู้สึกว่าเพลงนี้หวานและชวนฝันมาก จนต้องกลับมาฟังหลายรอบ แอบคิดถึง Porter Robinson เวลาฟังเพลงนี้เลย
Pure Grinding : เป็นแทรคที่เก้าแล้ว เป็นหนึ่งในแทรคที่ได้ทำเอ็มวีและถูกปล่อยออกมาบนยูทูบ เขียนและโปรดิวซ์โดย Avicii
* อินโทรเพลงขึ้นมาแค่นั้นแหละ บอกเลยว่าต้องมีอะไรดีๆ อยู่ในเพลงนี้แน่ๆ แต่จะพูดถึงภาพรวมของเพลงและเอ็มวีนะ ในเรื่องของเอ็มวีมีอะไรดีจริงๆ เกี่ยวกับพวกโจรปล้น แต่โจรผู้ชายที่ท่าทางเซี้ยวๆ นี่หล่อจริงๆ (ไม่เกี่ยว) มาพูดถึงส่วนของเพลงกันดีกว่า เสียงของ Earl St. Clair and Kristoffer Nedler ทำให้เพลงที่มีมิติอยู่แล้ว มีมิติมากขึ้นไปอีกเท่าตัว ซาวด์กับบีทหนักๆ แต่กลับไหลไปทั้งเพลงมันทำให้แทรคนี้เป็นหนึ่งในท็อปแทรคในใจเรา เพราะมันชวนให้โยกจนจบเพลง
Sunset Jesus : เป็นแทรคที่สิบที่ของอัลบั้มแล้ว เขียนและโปรดิวซ์โดย Avicii ร้องโดย Sandro Cavazza
* ชื่อเพลงน่าสนใจ ชวนให้ฟัง แต่พอฟังแล้วก็แอบผิดหวังอยู่เล็กน้อย เพลงเหมือนกับเพลงทั่วไป แต่ซาวด์ดีมากจริงๆ ให้อารมณ์เดียวกับหน้าปกอัลบั้มที่ดูน่าหลงใหล และบีทของเพลงนี้ไม่หนัก แต่ลึกเข้ากับเพลงได้ดี เนื้อร้องทำนองและจังหวะ ลงตัวมากชอบเนื้อร้องกับดนตรีที่ขึ้นตรงกับคำว่า Sunset Jesus! แต่ยังไงก็ไม่ใช่แทรคที่เราชอบเท่าไหร่
Can’t catch me : แทรคที่สิบเอ็ดที่โคตรน่าฟัง เขียนและโปรดิวซ์โดย Avicii และได้ Matisyahu และ Wyclef Jean มาร้องในเพลง
* เป็นแทรคที่โคตรน่าฟังมากๆ แทรคหนึ่ง ตั้งแต่อินโทรและเสียงร้องขึ้นมา ออกแนวชนเผ่าผสมดนตรีแนวเรกเก้แบบแปลกๆ แต่ชวนให้ฟังและโยกจนจบ ซาวด์กลืนไปกับเสียงเครื่องดนตรีเบาๆ ช่วงกลางเพลงเป็นซาวด์น่ารักๆ หวานๆ ที่ออกแนวหยอกล้อเล็กน้อย คือมันใช่มากๆ มันโดน! ทำให้อยากร้อง “You can’t catch me” พร้อมเต้นเบาๆ ไปด้วย เป็นอีกหนึ่งแทรคที่ควรจะฟังมากจริงๆ
Somewhere in Stockholm : แทรคที่สิบสอง เขียนและโปรดิวซ์โดย Avicii และร้องโดย Daniel Adams-Rays ซึ่งแดเนียลเองก็ได้มีส่วนในการโปรดิวซ์เพลงนี้ด้วย
* เป็นแทรคที่ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพลงหรือเนื้อเพลงกันแน่ เหมือนกับว่าเรากำลังเดินเล่นอยู่ที่ไหนสักแห่งในสตอคโฮล์ม และพูดได้เลยว่าลูกเล่นของเพลงนี้เยอะมากจริงๆ ดึงไปตรงนั้นทีตรงนี้ที ดูสนุกและมีอะไรที่ดึงดูดให้ฟังจนจบเพลงมากๆ เป็นแทรคที่น่าประทับใจอีกแทรคหนึ่ง
Trouble : แทรคที่สิบสาม ก่อนจะไปแทรคสุดท้าย… เขียนและโปรดิวซ์โดย Avicii มิกซ์โดย Carl Falk ร้องโดย Wayne Hector
* ตกหลุมรักตั้งแต่ได้ยินเสียงเพลงเริ่มของแทรคนี้ เสียงกีต้าร์กับซาวด์เบาๆ นุ่มๆ ที่ทำให้เพลงนี้มีเสน่ห์มากอีกหนึ่งเพลง เป็นเพลงที่ไม่ควรพลาดและต้องฟังให้ได้ เสียงแหบๆ ของเวนย์ทำให้เพลงดูมีความเป็นโฟลค แต่ยังคงความเป็น EDM ไว้ด้วยบีทเบาๆ กับช่วงบีทดร็อปที่ทำให้อยากจะกระโดดโยกตามเพลง ส่วนตัวแล้วชอบเนื้อร้องท่อนนี้มาก และเป็นท่อนที่เนื้อหาโดนที่สุด… Losing myself just to find me again
Gonna love ya : แทรคปิดท้ายอัลบั้ม Stories ที่สวยมากๆ ประทับใจแทรคนี้มากจริงๆ เขียนและโปรดิวซ์โดย Avicii ร้องเพลงนี้โดย Sandro Cavazza ที่ร้องเพลง Sunset Jesus
* เป็นแทรคเพลงปิดอัลบั้มที่โคตรประทับใจมากๆ มีความเป็น House มากที่สุดในอัลบั้มนี้แล้ว ฟังแล้วให้ความรู้สึกอยากขยับตัวสักนิด ซาวด์ช่วงกลางเพลงที่ไล่เบาไปดัง มันทำให้เพลงนี้โคตรน่าสนุก! ไม่ได้เป็นเพลงที่มันที่สุดหรือสนุกที่สุด แต่เป็นเพลงที่น่าสนใจมากและไม่ควรจะพลาดอีกหนึ่งเพลง โดยเฉพาะเสียงของนักร้องที่เข้ากับซาวด์และบีทเบาๆ แบบนี้ เหมาะฟังในวันสบายๆ ที่ต้องการความมันแบบชิลๆ
ภายในอัลบั้ม
ตัวแผ่นเป็นสีดำดูคลาสสิค ตัดกับหน้าปกอัลบั้มอย่างแรง แต่กลับดูสวยมาก สีขาวๆ บนแผ่นคือลายนะ คล้ายๆ ควันจางๆ คือสีที่ละลายในน้ำ ส่วนสัญลักษณ์ของ Avicii เป็นตัวนูนเล็กน้อย สรุปคือแผ่นสวยมากจริงๆ
เป็นเหมือนโฟโต้บุ๊คที่มีมาให้ นี่คือหน้าแรกที่เปิดไป ชื่ออัลบั้ม Stories กับชื่อของเจ้าของอัลบั้ม Avicii
ข้างในก็จะมีรูปของ Avicii นี่เป็นรูปหนึ่งที่ชอบมากๆ Studio ของนาง คือรูปสวยมากจริงๆ และมีรูปการเขียนบรรยายถึงอัลบั้มแต่ละอัลบั้มจนมาถึงอัลบั้มปัจจุบัน มีการเขียนขอบคุณทุกคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ และเขียนขอบคุณถึงแฟนคลับที่คอยสนับสนุนเขาอยู่ตลอดมา
Top Tracks
Waiting for love
Ten more days
For a better day
Somewhere in Stockholm
Gonna love ya
- สมควรจะซื้ออัลบั้มนี้มาไว้ เพราะฟังเสียงจากแผ่นมันสดมากกว่าฟังจากยูทูบเยอะมากจริงๆ ราคาก็ไม่แพงมาก ซื้อมาแล้วมันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะอัลบั้มสวยน่าเก็บ และขอย้ำว่าเสียงแทรคมันสดและเจ๋งมากกกกกกกกกกกกกก
ไม่แปลกใจเลยว่า 2 ปีที่ Avicii ได้ตั้งใจทำอัลบั้มนี้ให้ออกมาเพอร์เฟ็กต์ และแน่นอนว่ามันโคตรเพอร์เฟ็กต์
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ รอรีวิวอัลบั้มหรือเพลงต่างๆ ได้ในบทความต่อๆ ไปนะ