สรุปประสบการณ์สั้นๆปี 2018 ฉบับของเหวินเหวิน
สวัสดีค่ะทุกคน ก่อนอื่นขอบคุณทุกคนมาที่เข้ามาอ่านน้า ไม่ว่าจะหลงเข้ามาหรืออะไรก็ตาม นี้เป็นกิจกรรมเด่นๆที่เราทำในปี 2018 นะ ไปอ่านกันได้เลย !
NIPs (New Investors Program for Society) รุ่นที่ 29 สิ้นปี 2017–5 มกราคม 2018
NIPs คือ โครงการอบรม 2 สัปดาห์ ที่มุ่งเน้นให้การศึกษาอบรมแก่กลุ่มนิสิตนักศึกษาทุกสาขา ทุกคณะ ทุกมหาลัย เกี่ยวกับการประกอบการและการลงทุนในด้านต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการก้าวสู่การเป็นผู้มีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย โดยรุ่นเรามีผู้เข้าร่วมกว่า 200+ คน แบ่งเป็นสี 4 (ฟ้า,แดง,เหลือง,เขียว) เราได้อยู่สีฟ้าและได้รับเลือกเป็นรองประธานสีฟ้าแต่ช่วยดูแลสีจนเหมือนเป็นประธานเพราะช่วงนั้นประธานติดภารกิจ โดยต้องดูแลเพื่อนๆพี่ๆในสีกว่า 52 ชีวิต
โครงการนี้ไม่ได้มีแค่อบรมอย่างเดียวแต่จะมีให้เราทำกิจกรรมกับเพื่อนๆในสีมากมาย (ได้กลับบ้าน 4–5 ทุ่มทุกวันเลยแหละ) โดยจะมีกิจกรรม 3 อย่าง
1.กีฬาสี
NIPs จะมี 1 วันที่ให้แต่ละสีมาแข่งขันกีฬาสีกัน โดยในงานจะมี กองเชียร์,หลีดสวย(อารมณ์เต้นหลีดแบบหลีดคณะ),หลีดผี(อารมณ์เต้นสันทนาการ),กองเชียร์&ขบวนพาเหรด ซ้อมกันหลายวันเลยแหละ ภายในวันกีฬาสีมีการแข่งกีฬาในงาน อย่างเช่น วิ่งเปรี้ยว / เหยียบลูกโป่ง ทำให้สนิทกับเพื่อนและได้รู้สึกย้อนวัยไปในวัย มัธยมอีกครั้ง สีของเหวิน ทำใน theme stitch และเราได้ใส่ชุดม้า Unicorn ในขบวนพาเหรดด้วยแหละ งิงิ
2.CSR
เราจะต้องทำจิตอาสาเล็กๆน้อยๆเป็นรูปเล่มรายงาน อารมณ์ทำความดีหลังจากทำชั่วมานานหน่อย (ล้อเล่ง)โดยสีเราไปเก็บขยะที่อนุเสาวรีย์ แล้ววันที่ไปคือ 30 ธันวา 2017 คือหลายๆคนแถวๆนั้นดูแบบ หูยย สิ้นปีแล้วยังมาทำอะไรดีๆ เป็นเด็กดี มากได้รับคำชมเยอะ แต่ในใจเราบอกว่าแงง อยากนอนอยู่บ้าน 55555555
3. Stock Analysis & SE
ทุกสีต้องทำรายงาน วิเคราะห์หุ้นหรือคิดธุรกิจเพื่อสังคมเป็นรูปเล่มรายงานเพื่อพรีเซ้น เราได้ทำ Stock Analysis แต่โง่ไปหน่อยช่วยไรไม่ค่อยได้ แง 5555555555
ถือว่าเป็นโครงการอบรบที่ดีที่สุดในวัยมหาลัยอันนึงเลยก็ว่าได้ เราได้เจอเพื่อนใหม่ต่างสถาบันมากมายทุกรูปแบบของมหาลัยทั้งประเทศไทยและ ตปท. หลังจากทำงานทำกิจกรรมกันเสร็จก็ได้ไปเล่นบอร์ดเกม เม้ามอย กันต่อ ถือว่าเป็นช่วงที่สนุกมาก จนทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่เลย
Challenge point: เป็นครั้งแรกที่ต้องคุมคนกว่า 52 คน และยังเป็นเด็ก ตัวเราเป็นแค่เด็กปี 2 (อายุเกณฑ์ขั้นต่ำที่จะเข้าร่วมค่ายได้เลย) จึงมีภาวะกดดันเยอะและเป็นครั้งแรกที่ต้อง manage งานจำนวนคนเยอะขนาดนี้
Project Eco design innovation (มกราคม — พฤษภา)
เราได้เรียนวิชานึงในปี 2 เทอม 2 ชื่อวิชา Eco Design Innovation โดยโปรเจคนี้โจทย์คือ “ทำพื้นที่ที่ว่างให้เกิดการใช้ประโยชน์ เกิด community ขึ้นมาในบริเวณเขตบางรัก กรุงเทพฯ”
เราต้องหาพื้นที่จริงด้วยตนเอง ทำให้เราต้องเดินรอบบางรักไปเกือบ 30,000 ก้าว จนสุดท้ายเราได้ไปเจอที่ว่างในชุมชนที่คลองสาน target ของเราคือ เด็กวัย 3–5 ขวบ ในชุมชน เราได้เข้าถึงชุมชนจนไปคลุกคลี อยู่กับคนในชุมชนตั้งแต่ 7 โมงเช้า ยัน 4 โมงเย็น โดยที่เราต้องเข้าไปชุมชนเฉลี่ยสัปดาห์ 1–2 วันตลอด 2 เดือน ทีมของเรานัดทำงานกันเยอะมากเพราะคิดไม่ออกว่าควรทำออกมาแบบไหนดี เรานัดทำงานกันทุกวันหลังเลิกเรียนทำถึงเที่ยงคืนตลอด แต่เกือบทุกครั้งเอาเวลามาดู Netflix และเมาท์มอย55555555 เป็นช่วงเวลาที่สนุก ขำเยอะมากๆแม้ว่างานไม่เสร็จก็ไม่เครียดได้ และเราก็จะขำกัน555555555555555555555555555)
Challenge point: ต้องทำงานแล้วนะ 5555555555555555555แต่ทำไงดีหยุดขำไม่ได้ ทำงานต่อไม่ได้แล้ว555555555555555
พักผ่อนที่เกาหลีกัน !
หลังจากเมื่อจบโปรเจค Eco Design แล้ว! เราก็ต้องไป Field trip ที่เกาหลีกัน เราจึงไปพักผ่อนฉลองโปรเจคเสร็จกับเพื่อนในทีม โดยไปเล่นสวนสนุกกับเพื่อนๆที่ Lotte World
ได้คัดเลือกเข้าโครงการ Founder Apprentice (มิถุนายน — สิงหาคม)
Founder Apprentice โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการนวัตกรรมคนรุ่นใหม่ มีวัตถุประสงค์ในการให้เยาวชนที่ศึกษาอยู่ในชั้นอุดมศึกษาหรือบุคคลที่ทำงานแล้วและมีประสบการณ์ทำงานไม่เกิน 3 ปี ที่พร้อมจะพัฒนาศักยภาพในด้านการเป็นผู้ประกอบการได้เข้ามาฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) การพบปะกับผู้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพ และเข้าไปฝึกงานในช่วงปิดเทอมเป็นระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนั้นพวกเราได้ทุนฝึกอบรมจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ยืมของเพื่อนน้อตมาหน่อยนะอิอิ
สิ่งที่เราจะได้จากโครงการ
5 วัน Workshop : ทั้ง 5 วันนั้นเราจะได้เรียนความรู้เพื่อเตรียมไปฝึกงานจริง อย่างเช่น Design thinking , Accounting&Finance, Public speaking
4 ครั้ง แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ก่อตั้งธุรกิจ : โดยจะมีพี่ๆ Founder มาพูดคุยกับเราจริงๆและเราสามารถถามพี่ๆเค้าในเรื่องที่เราสงสัยได้ อย่างเช่น สิ่งที่ยากที่สุดในการก่อตั้งธุรกิจของพี่ๆคืออะไร? กว่าจะมีทุกวันนี้สิ่งที่ยากที่สุดคืออะไร? อยากสำเร็จแบบพี่ๆต้องทำยังไงบ้าง? โดยแต่ละคนก็จะมีมุมมองความคิดที่ต่างกันทำให้เราได้เห็นมุมมองที่กว้าง
3 เดือน ฝึกงานในธุรกิจที่มีนวัตกรรม: มีบริษัทกว่า 20 บริษัทที่เราสามารถไปฝึกงานและเรียนรู้งานของเขา โดยเราจะได้สัมภาษณ์กับพี่ๆ founder วิธีการได้ลือกที่ฝึกงาน คือ แล้วเราสามารถให้คะแนนพี่ๆ founder แล้ว founder ก็จะให้คะแนนเรา แล้วเราจะ match กัน!
2 ครั้งที่ได้ปรึกษาโค้ชในการพัฒนาศักยภาพแบบตัวต่อตัว: พี่ๆใน Founder Apprentice มีทีเด็ดที่สามารถช่วยพวกเราหาตัวตนและพัฒนาศักยภาพศักยภาพของตัวเองได้ และเราสามารถพูดคุยกับพี่ๆได้ทุกเรื่องอีกด้วย
1 ครั้งที่ present ต่อหน้า Founder ต่างๆ & พี่ๆ ใน Founder Apprentice(พิธีปิด) : เพื่อนร่วมค่ายทุกคนจะต้องพรีเซ้นสรุปสิ่งที่ได้จากการไปฝึกงาน หรือ ความรู้สึกตอนฝึกงาน ทำให้เราเห็นผลงานของเพื่อนๆที่เพื่อนๆทำ รวมไปถึง ได้รู้วิธีการทำงานของบริษัทอื่นนิดๆหน่อยๆไปในตัวด้วย
การสมัครจะมีทั้งหมด 3 ด่าน
ในปีเรา มีคนยื่นใบสมัคร 100+ คน แต่จะเอาเพียง 30 คน จะมีทั้งหมด 3 ด่าน
ด่านที่ 1 กรอกใบสมัครทั่วไป โดยจะให้ยื่น Resume,เขียนเรียงความ และวีดีโอ
ด่านที่ 2 สัมภาษณ์กับพี่ๆ NIA x Career Visa
ด่านที่ 3 สัมภาษณ์กับ founder ต่างๆ อาทิ SkillLane, Tofusan, Happen, Srichand
Challenge point: ได้เจอเพื่อนใหม่ๆมากมาย การทำงานร่วมกับเพื่อนจากหลากหลายสาขาอาจจะต้องมีการปรับตัวมากขึ้น และเวลาเพียงน้อยนิดการทำงานร่วมกับเพื่อนๆจึงอาจจะไม่ได้ประสิทธิภาพดีมาก
ถ้าสนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของเพื่อนในค่ายเรา (น้อต) ต่อได้ที่ข้างล่างสุดเลย
ฝึกงานกับ SkillLane (มิถุนายน — สิงหาคม)
SkillLane คือ สถาบันออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นในการพัฒนาและดึงศักยภาพของคนทำงานออกมาอย่างเต็มที่ เว็บไซต์นี้จะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขามาสอนในรูปแบบของวิดีโอ ทำให้ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะได้อย่างสะดวก ไม่ว่าที่ไหนและเมื่อไร
เราฝึกได้ฐานะ UX designer หรือ User experience เป็นเวลา 2 เกือบ 3 เดือน งานที่เราได้ทำมีตั้งแต่การจัดวาง icon จนถึงทำ Prototype เราต้องเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นซะส่วนใหญ่เพราะทุกคนในบริษัทไม่มีใครว่างมาสอน ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ๆอีกครั้ง ในด้านสังคมการเป็นอยู่พี่ๆทุกคนใน SkillLane น่ารักมาก เอ็นดูเราแม้เราจะเด๋อๆมึนๆ ทำงานก็มึนๆ พี่ๆก็พร้อมช่วยเราได้ทุกเรื่องเลย ชวนไปกินข้าวทุกวันน ตอนเย็นก็ไปวิ่งออกกำลังกายด้วยกันด้วยงิงิ
Challenge point: เรามีความสนใจด้าน UX design เพราะตอนนี้เทรนด์ด้านนี้มาแรงมาก เลยอยากรู้ว่าตัวเองชอบไหมแต่เราแทบไม่มีความรู้ด้าน strategies ใดใด ทำให้หลงทางในการทำงานในช่วงแรก ต้องมีการปรับตัวเยอะ
ค่ายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับเพื่อนๆ 13 ชาติ AIT-Tiger Leong Camp 3 ( กรฎาคม)
Ait Tiger Leong Camp คือ ค่ายที่นักศึกษาระดับปริญญาตรีจากทั่วเอเชีย จากหลากหลาย มหาวิทยาลัยชั้นนำ จัดโดยมหาวิทยาลัย Asia Institute Technology (AIT) จำนวณ 2 สัปดาห์ โดยคัดเลือกจากศักยภาพความเป็นผู้นำและผลการเรียน โดยทางค่ายจะมุ่งเน้น พัฒนาศักยภาพด้าน collaboration, communication, critical thinking, creativity, problem solving skills, IT skills และ numeracy
แคมป์นี้ มีเพื่อนกว่า 13 ชาติ จำนวน 30 คนโดยสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี ได้แก่ ไต้หวัน จีน อินเดีย มาเลเซีย รัสเซีย ไทย อินโดนิเซีย เวียดนาม ลาว ฟิลิปินส์ กัมภูชา พม่า บังคลาเทศน์
เราใช้เวลาด้วยกันกว่า 2 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่(เกือบทั้งหมดอะแหละ) เราจะเรียนและทำกิจกรรมต่างๆด้วยกัน อย่างเช่น งานกลุ่ม brainstorm, การเรียน ธุรกิจ SE ในเมืองไทย , Blockchain , การ ideation project
หนักทางด้านอบรมแต่ทางค่ายก็ให้เราพักผ่อน ! โดยจะพาเพื่อนๆชาวต่างชาติเดินรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ตอนกลางคืนจะไปร่องเรือกินข้าวที่แม่น้ำเจ้าพระยาา
Challenge point: นี้เป็นครั้งแรกที่เข้าค่ายกับเพื่อนต่างชาติที่หลากหลายประเทศมาก ทำให้มึนๆทั้งด้านการสื่อสารและวัฒนธรรมของเขา
Service Design Innovation Project (สิงหาคม-ธันวาคม)
เปิดเทอม ปี 3 เทอม 1 ก็เจอวิชาสุดโหด Service Design Innovation
Service Design Innovation คือ คือวิทยาการแขนงใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบชุดประสบการณ์ อันเป็นส่วนผสมของทั้งสิ่งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ สามารถก่อคุณประโยชน์มากมายต่อผู้บริโภคเมื่อประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมประเภทค้าปลีก การธนาคาร การสาธารณสุข และการเดินทางขนส่ง โดยทั่วไปแล้ว การทำงานด้วย Service Design จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นงานออกแบบระบบหรือกระบวนการบางอย่าง ที่มุ่งหวังจะมอบงานบริการแบบรอบด้านให้กับผู้บริโภค ( อ้างอิงจาก วิสาข์ สอตระกูล (2014) นิยามของการออกแบบบริการ )
โจทย์ที่ได้คือ: ปรับปรุงการให้บริการแก่ลูกค้าของธุรกิจที่มีอยู่ในประเทศไทยให้ดีขึ้นโดยเราได้รับโจทย์จากบริษัทในประเทศไทยกว่า 7 ที่ ได้แก่ KBTG,Major Cineplex,Oishi,PTT,Central Pattana,TU library
ซึ่งเราได้เลือกโจทย์ปรับปรุงการให้บริการลูกค้าของ KBTG x Class Cafe เราจึงเลือก Class Cafe สาขา Siam Square เป็นสนามสำหรับการทดลองโปรเจคของเรา ขอยอมรับเลยว่าการทำโปรเจค Service Design เป็นโปรเจคที่ยากที่สุดตั้งแต่เรียนมา เพราะเราต้องออกแบบสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ต้องเล่นกับความรู้สึกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากในการที่เราจะ measure ผลลัพท์นั้นๆ
Project ของเราผลลัพท์ออกแบบมาน่าพอใจจนน่าตกใจ เพราะเป็นโปรเจคแรกที่ไม่ได้อยู่แค่ในกระดาษ สามารถทำได้จริง เป็นครั้งแรกที่เราได้ Launch project ไปใช้จริงๆกับตลาดจริงๆ โดยมีคนสนใจโปรเจคเราเยอะมากจนน่าตกใจ เราคาดหวังว่าจะมีคนสนใจโปรเจคเราแค่ 10 คนแต่มีคนมาลงทะเบียนสนใจกว่า 238 คน ! (บางคนขับรถเข้ามาจากชลบุรีเพื่อมาทดลองใช้ prototype ของเราโดยตรง บางคนก็หอบมาจากภูเก็ตเลย)
Challenge point: เป็นโปรเจคที่ยากที่สุดตั้งแต่ทำมาเพราะเราออกแบบสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เวลาประชุมงานก็เหมือนคุยในสิ่งที่ไม่มีตัวตนล่องลอยในอากาศ ทำให้เรา lost เยอะมาก ปวดหัว เหนื่อยท้อ ที่สุด และการทำงาน เป็นการทำงานหนักมากในทีมมีกันแค่ 3 คน จากปกติทำ 6–8 คนมาตลอด
DBTM Exhibition (ธันวาคม)
DBTM Exhibition คือ การนำผลงานของชั้นปี 2 และ ปี 3 มาจัดแสดงโชว์ที่ Central World เป็นเวลา 1 สัปดาห์ โดยมีอาจารย์ Claudia และอาจารย์ Ben เป็นพ่อและแม่ทัพที่น่ารักคอยช่วยเราให้งานเกิดได้ ! โดยเรามีเวลาไม่ถึง 1 เดือนในการจัดการทั้งหมด (แถมเดือนนั้นเป็นเดือนที่งานหนักที่สุดของเทอม)
เรารับหน้าที่เป็น Project Manager ในการรันงาน โดยหน้าที่เราคือ ติดต่อประสานงานกับทุกฝ่าย อัพเดตงานในแต่ละฝ่ายให้อาจารย์ฟัง ติดต่อกับทาง Central World แก้ไขเฉพาะหน้าต่างๆนาๆ
Challenge point: เราต้องไปติดตั้ง Exhibition หลัง 4 ทุ่ม (ห้างปิด) โดยที่วันนั้นเป็นวันขั้นพักกลางของการสอบ พูดง่ายๆ คือ เราสอบ 3 ตัว สอบเสร็จ 2 ตัว แล้วว่างสองวันก่อนสอบตัวที่ยากที่สุด ทำให้เราเหลือเวลาการอ่านหนังสือจริงๆวันเดียว และเราติดตั้งเสร็จ ตี4 แล้วเพื่อนก็ขับรถกลับรังสิตวันนั้น กว่าจะได้นอนคือ 6 โมงเช้า
วันนี้วันที่ 29 ธ.ค. 2018 เราได้เขียนสรุปกิจกรรมและประสบการณ์ที่ผ่านมา จนรู้สึกว่าเป็นอีก 1 ปีที่เราทำอะไรเยอะมาก มีการเติบโตและเรียนรู้ที่เพิ่มขึ้นเยอะ ถือว่าเป็นอีกปีที่คิดอะไรหลายๆได้ เมื่อมองย้อนกลับไป ทั้งด้านความคิดและความอดทนเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้วคือต่างกันเยอะค่อนข้างมาก เป็นอีกปีที่มีความหมายและการเติบโตจริงๆ ดีใจที่อดทนและผ่านทุกอย่างไปอย่างภูมิใจ ถึงแม้จะไม่ได้พักแต่พอกลับมา reflection ตัวเองแล้วก็ดีใจที่ได้ทำ ขอบคุณมากนะ 2018 และขอให้ปี 2019 เป็นอีกปีที่ดีไม่ต่างจากปี 2018 เลยนะ เจอกัน 2019 นะ ;)
สำหรับคนที่สนใจโครงการ Founder Apprentice สามารถอ่านประสบการณ์เพิ่มเติมของเพื่อนเราได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลย Jirapat Wangcharoen (2018) สรุปประสบการณ์ 2 เดือนสำหรับการค้นหาตัวเองในโครงการ Founder Apprentice อีกหนึ่งกิจกรรมที่ดีในช่วงปิดเทอม