โฮมสคูล .. ทางรอด การศึกษาไทย

Nathapong TeeLek Lerdsri
7 min readJul 31, 2019

--

พ่อแม่หลายคนคงมีความอึดอัดกับระบบการศึกษาไทย เหมือนที่ผมรู้สึก .. ถ้าให้ยกมือโหวตว่าระบบการศึกษาไทย ทำให้เด็กเรียนหนักไปหรือไม่ ผมว่าทุกคนตอบเหมือนกันว่า ใช่! .. การไปโรงเรียน คือการที่ต้องฝ่าฟัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ .. เรียนกวดวิชา เป็นสิ่งจำเป็นต้องเรียนในวัน เสาร์ อาทิตย์ .. แต่หากมองไปข้างหน้า กลับเห็นแต่ ความสิ้นหวัง ไร้อนาคต เด็กของเราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ .. “ทางรอด” คืออะไร? อ่านจนจบแล้วจะมีคำตอบครับ

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

วังวน! การศึกษาไทย

การเรียน ในระบบการศึกษาภาคปกติในทุกวันนี้ มีการแข่งขันที่สูงมาก .. สอบเก็บคะแนน ถี่ยิบ ก่อนเรียน หลังเรียน สอบกลางภาค สอบปลายภาค สอบ GAT PAT สอบชิงทุน ฯลฯ .. การเรียนที่เป็นอยู่นี้ เป็นการเรียนเพื่อสอบ เป็นการจัดการศึกษาที่บังคับให้ต้องเรียนอยู่แต่ในกรอบเท่านั้น ถาม A ต้องตอบ B ถ้าบอกเป็น A E I O U ถือว่าผิด

การแข่งขัน เพื่อแย่งที่นั่งในโรงเรียนดัง .. เด็กบางคนต้องกวดวิชา กันตั้งแต่ระดับอนุบาล .. เพื่อที่จะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง .. ใช้เวลาเรียนกันทั้งวัน แต่เด็กก็ยังต้องไปกวดวิชาเพิ่ม จนแทบไม่มีเวลาเหลือทำกิจกรรมอย่างอื่นเลย

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

รัฐบาล ต้องการผลงาน ก็ออกนโยบาย ฟรีต่างๆ มากมาย เรียนฟรี นมโรงเรียน อาหารกลางวัน .. แต่ก็เกาไม่ถูกที่คัน .. เหล่านี้เป็นนโยบายเพื่อให้โอกาสทางการศึกษา แต่กลับไม่มีนโยบาย เพื่อพัฒนาการศึกษาที่มีคุณภาพเลย

ประเทศไทยใช้ หลักสูตร เดียวกับเด็กทั้งประเทศ เราตั้งใจสอนให้เด็กเหมือนๆ กัน .. ใครทำตัวแปลกแยกในห้องเรียน เป็นเรื่องน่าอาย ต้องโดนทำโทษ .. เป็นการเรียนแบบสร้างผู้ตามที่ดี เข้าทำนองเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด .. คนขยัน เชื่อฟัง และทำตามให้ถูกต้องเป็นคนที่มีคุณค่า .. คนที่ท่องจำเก่งจึงประสบความสำเร็จ .. ใครจำไม่ได้ คือ โง่ .. จึงไม่มีใครกล้าลองทำผิด .. คงไม่มีเด็กคนไหน กล้าใช้ปากกาหลากสี เพื่อทำการบ้านส่งครู .. เพราะต้องเป็น น้ำเงิน และ แดง เท่านั้น .. แต่กลับถามหาเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

เด็กเก่งๆ ทำข้อสอบได้ กระทรวง ก็จะขยับเพิ่มความยากเข้าไปอีกทุกปี .. มีนโยบาย Coding (วิชาวิทยาการคำนวณ) มาใหม่ ก็จัดเข้าหลักสูตรเรียนเหมือนกันทุกคน แล้วให้เหตุผลว่า เพื่อให้ทันต่อโลกยุคใหม่ (แต่ใช้วิธีเรียนแบบเก่า)

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

เมื่อเนื้อหาแน่นเกินไป ก็ต้องขยับเนื้อหาให้เด็ก เรียนเนื้อหาต่างๆ เร็วขึ้น .. บางเรื่องเราเคยเรียนตอน ม.3 ตอนนี้ อยู่ในหลักสูตรของเด็ก ป.6 เรียบร้อยแล้ว .. เวลาสอนการบ้านลูก ผมจะโมโหเป็นประจำ เพราะเด็กยังไม่พร้อม ยังไม่ควรที่จะเรียนเนื้อหาเหล่านี้เลย เช่น เด็กยังอ่านหนังสือไม่ค่อยคล่อง แต่กลับสอน แม่กก แม่กด แม่กน เป็นต้น .. รวมทั้งบางวิชาก็ดูเกินความจำเป็นต่อการนำไปใช้ในอนาคต

เราควรรู้เรื่อง ควอนตัมฟิสิกส์ เมื่อไหร่ .. ก็เมื่อตอนที่จะต้องใช้มันนะสิ เราไม่ต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้ .. กระทรวงคิดแทนเด็ก ว่าควรจะต้องรู้อะไร .. เราเรียนโดยที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ .. เมื่อเด็กรับไม่ไหว แต่ต้องไปพึ่งทางลัด คือ กวดวิชา .. ไม่ต้องอ่านเอง สรุปมาให้แล้ว เอาแค่นี้พอ ทำข้อสอบได้แน่

โรงเรียน ที่มีจำนวนนักเรียนมาก ก็จะได้งบสนับสนุนมาก .. ถ้าเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ก็จะได้เงินบริจาค จากผู้ปกครองที่มีกำลัง .. โรงเรียนหลายแห่งสร้าง ค่านิยม โดยการเอารูปเด็กที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ได้ (แต่สอบได้เพราะเรียนพิเศษนะ) มาแปะรั้วโรงเรียนตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่า เราเป็นโรงเรียนชื่อดัง ที่จะช่วยให้ลูกของคุณสอบได้คณะดีๆ

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

โรงเรียนก็เริ่มวัด KPI .. กดดันครู .. ครูก็ต้องมาเคี่ยวเด็ก เพื่อให้ได้ผลงานที่ดี .. โรงเรียนพร้อมที่จะตัดเด็กเกเร เด็กที่ไม่อยู่ในกรอบออกได้เสมอ

ครู เป็นบุคลากรทางการศึกษาที่น่าเห็นใจที่สุด ครูที่ดีมีมากมาย .. ครูตกเป็นจำเลยสังคม .. ครูไม่ดี ออกข่าวไปทั่ว ซึ่งเป็นส่วนน้อย (แต่เป็นข่าวใหญ่) .. ครูส่วนใหญ่ที่ดี ทุ่มเททุกวัน เพื่อพัฒนาเด็กก็ยังคงมีอยู่

เราปล่อยให้ครูแบกรับปัญหาที่หนักอึ้งนี้อย่างสิ้นหวังและเดียวดาย .. ครู ควรจะเป็นอาชีพที่มีเกียรติและเงินเดือนสูง .. ครูทำงานอย่างไม่มีความสุข เพราะต้องทำงานเพื่อสนองนโยบายกระทรวง ที่คิดแทนครู สั่งให้ครูทำ ครูไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเวลา ที่จะทำอะไรแปลกใหม่เลย

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

พ่อแม่ ผู้ที่เป็นห่วงลูกอย่างที่สุด ก็คอยเป็นกังวล ในภาวะที่การศึกษาไทยเข้าขั้นวิกฤตแบบนี้ มีทางเลือกไม่มากนัก พ่อแม่ที่มีกำลัง ยอมจ่ายทุกทาง เพื่อให้ลูกได้มีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยที่ดี เพราะเชื่อว่าจะได้งานที่ดี มีอนาคตที่ดี .. ถ้าจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ ก็ต้องอยู่ในโรงเรียนดีๆ .. กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ วังวน นี้

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

เด็ก ที่ไม่เหมือนคนอื่น ปรับตัวไม่ได้ ก็หลุดออกจากระบบ .. ใครไม่เดินตามเส้นนี้ ไม่เรียนเท่ากับเป็นเด็กเกเร .. ไม่ไปโรงเรียน ต้องเสียคนแน่นอน .. พ่อแม่ที่ดีจะต้อง สนับสนุน ผลักดัน เคี่ยวเข็ญ ให้เด็ก เรียนให้ได้ดี ตามมาตรฐานที่หลักสูตรกำหนดไว้ .. เด็กถูกสอนว่า ผิดพลาดไม่ได้ อย่าทำเด็ดขาด .. ติดยาไม่ได้ ท้องในวัยเรียนไม่ได้ .. ถ้าทำก็จะถูกตัดสินทันทีว่าชีวิตจบสิ้นแล้ว ทั้งที่จริงไม่ใช่ .. ไม่ควรทำก็จริง แต่ถ้าพลาดไปแล้ว ไม่ตายซักหน่อย มันแก้ไขได้นะ .. เด็กสมัยนี้จึง เครียด ซึมเศร้า บางคนถึงกับคิดอยากตาย เพื่อให้หลุดพ้นไป

จากที่ไล่เรียงมา จนถึงบรรทัดนี้ ยังไม่มีใครในระบบการศึกษาไทย
จะสนใจ ถามเด็กเลยว่า .. เค้าชอบเรียนแบบนี้ไหม๊ และ แล้วอยากทำอะไร ?

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

มีเรื่องราวของชนเผ่าหนึ่งในหมู่เกาะโซโลมอน เวลาที่ชาวเผ่าต้องการทำลายต้นไม้ต้นไหนก็ตาม ไม่จำเป็นต้องตัดหรือโค่นมันให้เหนื่อย เพียงแค่ให้คนมาล้อมวงกันรอบๆ ต้นไม้ และตะโกนด่าทอ และสาบแช่งมัน .. วันหนึ่งใบไม้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และแห้งตายไปเองในที่สุด ..​ เด็กก็เหมือนกับต้นไม้นี้

เด็ก ที่ปรับตัวได้ ทุ่มเทพลังงานทั้งวันไปกับการเรียน .. ส่วนพลังงานที่จะเอามาทำสิ่งที่อยากทำมันเหลือน้อยมาก กลับบ้านมาก็เหนื่อยแล้ว .. สิ่งที่เค้าควรจะได้เป็นรางวัล คือ ได้เล่นมือถือ ได้เล่นเกมส์ วนไป .. ตอบแทนความเหนื่อยจากการเรียน .. เรียนดีเล่นได้ ไม่เป็นไร

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

เรามีคำขวัญว่า เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น เป็นเวลา .. เราแยกการศึกษาออกจากชีวิตจริง เรียนจบแล้วค่อยทำงาน .. การศึกษา คือ การท่องหนังสือ .. เราเอา วิชา เป็นตัวตั้ง .. ปัญหาในชีวิตจริงไม่ได้มาเป็นวิชา ไม่มีมาเป็นโจทย์แยกเป็นข้อๆ มาให้ .. มันมากันเป็นชุด พันกันยุ่งเหยิง แก้ตรงนั้น กระทบตรงนี้ .. แล้วเราก็คาดหวังให้เด็ก สามารถคิดแก้ปัญหาเองได้ .. โดยที่ ความสามารถในการแก้ปัญหาไม่เคยถูกฝึกฝนเลยแม้แต่น้อย

เราฝึกเด็กให้ทำแต่ข้อสอบ .. แล้วเด็กแก้ไขปัญหาในชีวิตจริงได้ยังไง ? ..

เด็กที่จบมหาวิทยาลัยจำนวนมาก ยังไม่รู้ว่าตัวเองจบมาแล้ว อยากจะทำอะไร มีความฝันอะไร .. เราเพิ่งมาค้นหาตัวเองตอนเรียนจบแล้ว .. เรียนจบ ป.ตรี แต่ตกงานกันเยอะแยะ แต่ตลาดแรงงานกลับบอกว่ายังขาดแรงงานอยู่อีกจำนวนมาก .. มันชัดเจนว่า เพราะระบบการศึกษาไทย ผลิตคนมาไม่ตรงกับความต้องการของสังคม

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

ฟินแลนด์ ระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก

ถ้าคุณไม่เคยรู้เรื่อง ระบบการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ มาก่อน คุณจะต้องตกใจแน่ ที่ว่า .. ฟินแลนด์ ประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก เพราะ ฟินแลนด์ ไม่มีการสอบ ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการเปรียบเทียบ .. ฟินแลนด์ มีสถิติคนอ่านหนังสือไม่ออก 0% .. และประชากรส่วนใหญ่ จะพูดได้มากกว่า 2 ภาษา

ฟินแลนด์ ไม่มีการสอบ ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการเปรียบเทียบ

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

ฟินแลนด์ เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กกว่า กรุงเทพ 3 เท่า มีจำนวนประชากรเพียง 5 ล้านคน ซึ่งน้อยกว่ากรุงเทพครึ่งหนึ่ง มีระบบรัฐสวัสดิการที่ดีมาก .. นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฟินแลนด์ สามารถจัดการศึกษาได้อย่างดี .. แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

โรงเรียน ที่ดีที่สุดของฟินแลนด์ คือ โรงเรียนใกล้บ้าน .. เด็กไม่จำเป็นต้องแย่งกันสอบเข้าโรงเรียนดังที่อยู่ในตัวเมือง .. เพราะทุกโรงเรียนมีอุปกรณ์การสอนคุณภาพเท่ากันหมด .. เด็กไม่ต้องเดินทางไปโรงเรียนไกลๆ มีเวลาเหลือ มีสังคมใกล้บ้าน

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

ครู ในฟินแลนด์ มีมาตรฐานสูงมาก ครูจะต้องจบ ป.โท ขึ้นไปเป็นอย่างน้อย ..​ ครูมีรายได้ที่สูง และได้รับความยอมรับนับถือจากสังคมสูงมาก

วิธีการสอนก็คือ ครูจะไม่ตัดสิน ไม่มีการบ้าน ไม่มีสอบ ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการเปรียบเทียบ .. ครูเป็นโค้ช เป็นที่ปรึกษา ดูแลเด็กๆ ตามพัฒนาการของแต่ละคน โดยเด็กที่เก่ง สามารถเรียนร่วมกัน กับเด็กที่อ่อนได้ .. ทำให้ไม่เกิดการแบ่งแยก

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

รัฐบาล ฟินแลนด์ รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ที่จะจัดการสอนทุกอย่างในยุคนี้ จัดให้เป็นหลักสูตรตายตัวได้เลย .. สิ่งที่เค้าพยายามสอน คือ Learn , how to learn เป็นการฝึกทักษะการแก้ปัญหา การค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง และทุกอย่าง ไม่มีถูก ไม่มีผิด .. ส่งเสริมสายอาชีพ ให้ชีวิตมีทางเลือกมากกว่า การสอบเข้ามหาวิทยาลัย และทุกอาชีพ มีศักดิ์ศรีเท่ากัน

การเรียน ใช้เวลาเรียนน้อยมาก แค่วันละ 4–5 ชั่วโมง แต่มีคุณภาพ .. เริ่มคาบแรก ตอน เก้าโมง แล้วเลิกเรียนตอน บ่ายโมง-บ่ายสอง ทำให้เด็กมีเวลาออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียน .. ค้นหาตัวเอง ทำสิ่งที่ชอบ .. การเรียนแค่พอดี จึงสำคัญมาก

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

น่าเศร้าที่ การศึกษาไทย กับ ฟินแลนด์ เหมือนเหรียญคนละด้าน .. ไม่มีหวังที่จะทำให้การศึกษาไทยเปลี่ยนไปเหมือน หรือแค่ใกล้เคียง ฟินแลนด์ ในช่วงชีวิตของเราได้เลย

โฮมสคูล ..​ เริ่มต้นที่ตัวเราเอง

ตอนเกิดเราอาจจะเลือกเกิดไม่ได้ เกิดมายังไง ก็ต้องยอมรับสภาพตามนั้น .. แต่ อนาคตจะเป็นอย่างไร เป็นความรับผิดของเราเอง 100% .. ดังนั้น หากต้องการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องเริ่มจากตัวเราเองเท่านั้น จะไปโทษใครไม่ได้

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

ที่เราเคยมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กับ .. โรงเรียนเป็นผู้ดูแลลูกๆ ซึ่งโรงเรียนไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้อย่างที่ควรจะเป็น .. โรงเรียน ตัดหน่อความคิดของเด็กๆ พยายามทำให้เด็ก คิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน ใครแตกต่าง คือ ผิด

ผมเคยคุยกับคุณภรรยาว่า สมมุติง่ายๆ นะว่า วันนี้ ถ้าโรงเรียนถูกลบออกไปจากความทรงจำของทุกคน .. ถามว่าเด็กๆ ของเราเมื่อโตขึ้น จะสามารถเรียนรู้ เพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงตนเอง และมีชีวิตที่ดีได้หรือไม่ .. ผมเชื่อว่าทุกคนตอบว่า ได้! 100% ด้วย

สมัยก่อน ถ้าอยากจะเป็นเจ้าคนนายคน ต้องมีความรู้ .. ​อยากมีความรู้ ก็ต้องไปตามหาพระอาจารย์ในป่าพนาไพร .. ไปบวชเรียนกับหลวงปู่อยู่ที่วัด .. ไปเรียนที่โรงเรียนในเมืองหลวง .. แต่สมัยนี้ แหล่งเรียนรู้มีอยู่ทั่วไป มากมาย มหาศาล .. ทั้งที่อยู่บนออนไลน์ ทั้งหนังสือ ทั้งห้องสมุด ทั้งกิจกรรมต่างๆ

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

ถ้าถามพ่อแม่ทุกคนว่า ลูกโตขึ้นอยากให้เค้ามีชีวิตอย่างไร? .. พ่อแม่ส่วนใหญ่ ก็จะตอบว่า แล้วแต่ลูกเลย เค้าชอบทำอะไรก็ทำ พ่อแม่อยากให้ลูกมีความสุข แน่นอน .. แล้วจะให้ลูกทรมาน เรียนเหมือนที่เราเคยรู้สึกมาแล้ว เพื่ออะไร ..

เรียนให้จบก่อน ถึงค่อยมาค้นหาตัวเอง .. หรือที่ถูกคือ ให้เวลาเค้าได้ค้นหาตัวเองก่อน เริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย .. ถ้าใครเจอสิ่งที่ชอบก่อน คนนั้นได้เปรียบ ใช่ไหมล่ะครับ

สมมุติว่า ถ้าเค้าชอบฟุตบอล สู้ไปจนสุดทาง แต่สุดท้ายไม่ไหว สู้คนอื่นไม่ได้ล่ะ จะทำยังไง ? .. ถ้าเค้ายังชอบฟุตบอลอยู่ ยังมีเส้นทางชีวิตมากกว่า การเป็นนักฟุตบอล .. เป็นโค้ช เป็นผู้จัดการทีม เป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นนักสถิติการกีฬา เป็นแมวมอง เป็นครู เป็นเจ้าของสนามฟุตบอล เป็นนักพากษ์ .. เป็นไปได้หมด ถ้าชอบ

หรือจะเปลี่ยนแนว แบบไปเป็นหมอไปเลย .. ก็ไปเรียน ไปสอบ เริ่มใหม่ ตามหลังคนอื่นได้ไม่ผิดอะไร .. ฟุตบอลก็จะเป็น dot (จุด) หนึ่งที่มีค่ามากๆ ในชีวิตของเค้า จุดต่อจุด ไปเรื่อยๆ จนในที่สุด เค้าจะเป็นคนที่เก่ง ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร .. เราอาจจะได้ พบกับ หมอเฉพาะทางสำหรับนักฟุตบอล ก็เป็นได้

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

สิ่งสำคัญ คือ เราต้องสร้างเด็กสำหรับอนาคต ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนทุกอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ .. ปริญญา ไม่สำคัญเท่าความสามารถ .. อนาคตเรา จะต้องใช้ ทักษะ ไม่ใช่ วุฒิการศึกษา

มาเรื่อง โฮมสคูล หรือ บ้านเรียน .. ไม่ใช่การเรียนอยู่แต่ในบ้าน .. พ่อแม่ไม่ได้เป็นครู มายืนสอนลูก (แต่จะสอนเองในวิชาที่ถนัดก็ทำได้) .. ​แต่พ่อแม่จะเรียนรู้ ค้นหาบางอย่างไปพร้อมๆ กับลูก .. พ่อแม่ เป็น ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ .. พ่อแม่ไม่ต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ก็ได้ แต่ต้องสามารถแนะนำ ส่งเสริม จัดหาให้ลูกได้

พลอยชมพู เรียนอยู่กับบ้าน หรือเรียนแบบโฮมสคูล (Homeschool) มาตั้งแต่เด็กๆ

โฮมสคูล จึงต้องเริ่มจากพ่อแม่ ขยายไปยังครอบครัว ซึ่งทั้งครอบครัว ต้องเข้าใจวิธีการเรียนแบบใหม่นี้ .. โฮมสคูล ไม่ใช่การศึกษาทางเลือกแต่เป็นทางรอดในตอนนี้ .. อย่ารอให้ใครมาเปลี่ยนเลย .. เรามีกำลัง เราทำเองได้ดีกว่ามากๆ อยู่แล้ว

สิ่งสำคัญคือการเรียนแบบ โฮมสคูล ทำให้เด็กไม่ต้องไปโรงเรียน และเด็กจะมีเวลา เพื่อที่จะทำสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นเยอะมาก .. ​ดังนั้น พ่อแม่ จะต้อง เป็นผู้ดูแล จะต้องมีเวลาให้ และต้องรับผิดชอบลูก 100%

หากถามเด็กคนไหนก็ตาม .. ถ้าให้เลือกระหว่าง ทำสิ่งที่ชอบอยู่ที่บ้าน กับ การไปโรงเรียน เด็กส่วนใหญ่จะต้องตอบว่า ทำสิ่งที่ชอบอยู่บ้าน อย่างแทบไม่ต้องคิด

เด็กจะเป็นคนนำเราไปเอง .. ให้เด็กเป็นศูนย์กลาง .. คนแต่ละคน ไม่เหมือนกัน ทุกคนมีความพิเศษ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง .. เด็กทุกคนเหมือนดวงดาวที่ส่องประกาย ต่างก็มีแสงสว่างในตัวเอง หรือ ความสามารถที่ซ่อนอยู่ .. ผู้ใหญ่ควรทำความเข้าใจ และยอมรับในธรรมชาติของเด็ก โดยไม่ปิดกั้น และให้อิสระแก่เด็กอย่างเหมาะสม

เด็ก โฮมสคูล บนเวที เท็ดทอร์ค

พ่อแม่ อย่ามองว่าชีวิตลูกเป็นของเรา .. นับตั้งแต่วันที่เกิด ชีวิตลูกเป็นของลูก (แต่ชีวิตเรากลายเป็นของลูกไปซะงั้น ฮ่า) .. ดังนั้น จงเชื่อมั่นในตัวลูก อย่าคิดแทนลูก ให้เด็กเป็นคนเลือก แล้วเค้าจะเรียนอย่างมีความสุข .. ถ้าเค้าทำในสิ่งที่ชอบ เค้าจะทำมันได้ดีอย่างน่าประหลาดใจเชียว .. แถมเราไม่ต้องบังคับด้วย .. พัฒนาเด็กตามความสนใจ ตามศักยภาพ .. ส่วนครอบครัวไหนต้องการความเป็นเลิศก็สามารถทำได้ เช่นกัน

คิมเบอร์ลี เรียนโฮมสคูล ในช่วงมัธยมศึกษา

เปลี่ยนการเรียนแบบเดิม จากเพื่อให้ “ รู้ ” เป็นเพื่อให้ “เข้าใจ” .. ฝึกให้เด็กมี การคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) คือ เมื่อเจอปัญหา สามารถตั้งคำถาม และจำแนกออกมาเป็นข้อๆ ทำให้สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนยุ่งเหยิงได้ .. สร้างให้เด็กมีทักษะในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้ จะต้องใช้ความรู้เรื่องอะไร หาได้จากที่ไหน

พัฒนา EF (Executive Functions) ให้กับเด็ก คือ การยั้งใจ สามารถคิดไตร่ตรอง ควบคุมอารมณ์ ตั้งเป้าหมาย วางแผน มีความมุ่งมั่น จัดลำดับความสำคัญ โดยให้ทำงานบ้าน เช่น กรอกน้ำ ล้างถ้วย กวาดบ้าน ถูกบ้าน ซักผ้า รดน้ำต้นไม้ งานที่ไม่สนุก เอาเสียเลย และต้องใช้ความพยายาม เพื่อทำให้เสร็จ ไม่เผลอไปเล่นอย่างอื่นซะก่อน

สร้าง Self-Esteem หรือ การเห็นคุณค่าในตัวเอง ภูมิใจในข้อดีของตัวเอง ยอมรับข้อด้อยของตัวเองได้ มีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง (เกริ่นคร่าวๆ ต้องไปศึกษากันต่อเองนะ)

น้องข้าวฟ่าง ลูกสาวคนเล็ก มีหน้าที่ ถูบ้าน ล้างแก้ว และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เรามีกลุ่มเฟสบุ๊ค HomeSchool Network ตอนนี้มี 4 หมื่นกว่าคนแล้ว เย้ (และยังมี กลุ่ม Network อื่นๆ ระดับภาค ระดับจังหวัด อีกมากมาย) ซึ่งมีทั้งครอบครัวที่ทำโฮมสคูลอยู่แล้ว และครอบครัวที่กำลังสะสมข้อมูล อยากจะเริ่มอยู่จำนวนมาก .. และทุกคน มีความยินดีอย่างยิ่ง ที่จะให้คำแนะนำอย่างเต็มที่ .. เพราะว่าเราผ่านความรู้สึกนั้นมาแล้ว และการที่ได้ช่วยให้ครอบครัวอื่นๆ ที่มีปัญหาเหมือนกัน ได้หลุดพ้นจากวังวนนี้ได้ จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขมากๆ ครับ

โฮมสคูล เป็นการจัดการศึกษาโดยครอบครัว ดังนั้น แต่ละครอบครัวจึงมีการเรียนรู้ที่ไม่เหมือนกันเลย .. ผมจึงไม่แนะนำให้ลอกเลียนแบบจากของใคร .. แต่ให้ทำในแบบที่พอดีกับจริตของแต่ละครอบครัวตัวเอง สร้างสรรค์มันขึ้นมาเองครับ

ตอนเย็นวันหนึ่ง เด็กๆ กำลังง่วนอยู่กับกิจกรรมของตนเอง .. ผมเน้นให้ทุกคนเป็น ผู้ผลิต Producer ( สร้างอะไรขึ้นมาก็ได้ ) แทนการเป็น ผู้บริโภค Consumer ( นั่งดูการ์ตูน เล่นเกมส์​ ) .. น้องข้าวฟ่าง กำลังทดลองถ่ายวีดีโอทีละนิดๆ ต่อกันเป็นหนัง โดยใช้ เลโก้ เป็นตัวแสดง ..​ พี่ไต้ฝุ่น กำลังทำโมเดลกระดาษ MineCraft .. ​พี่กังฟู กำลัง ซ่อมสนามฟิงเกอร์บอร์ด .. ดูเหมือนเป็นการเล่น แต่ทุกคนกำลัง สร้างสิ่งที่ตนเองคิดเอาไว้ในหัว แล้วเค้าก็จะเจอปัญหาจากการลงมือทำจริงๆ แล้วก็หาทางแก้ไขด้วยตัวเอง พยายามที่จะทำให้สำเร็จ .. เมื่อสำเร็จก็จะมีความภูมิใจในตัวเอง .. เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองที่ดีมากๆ .. เราก็มีหน้าที่ เฝ้าดู สนุกไปด้วยกัน เป็นที่ปรึกษา

การจัดการศึกษาโดยครอบครัว หรือ โฮมสคูล มีทั้งแบบ .. ไปขอจดทะเบียนกับสำนักงานเขตการศึกษาจังหวัด ,​ ไปขอจดทะเบียนร่วมกับศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ ใกล้บ้าน ,​ เรียนผ่านการศึกษาทางไกลในหลักสูตรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ก็ได้ , หรือ จะไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ก็ได้ บางครอบครัว ก็เลือกเป็นแบบ Unschooling คือให้ใช้ชีวิตเลย เรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่สนใจวุฒิใดๆ .. ก็ทำได้เช่นกัน

เมื่อทำโฮมสคูลไปได้ซักพัก คุณจะเริ่มเห็นผลที่ชัดเจน .. ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะแข็งแรงมาก เพราะพ่อแม่จะอยู่กับลูกตลอดเวลา .. เด็กจะมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองสูง มีความอยากรู้ในทุกสิ่ง .. พ่อแม่เอง ก็ต้องปรับตัวหนักมากทีเดียว เรียนรู้ไปด้วยกัน .. ทำไปด้วยกันกับลูก .. ไม่มีถูกผิด มีแต่ชอบกับไม่ชอบ ทำต่อ ไม่ทำต่อ

ข้อดี อีกข้อที่ผมชอบมาก คือ ไม่ต้องจ่ายค่าเทอมที่สูง อีกต่อไปแล้ว , ไม่ต้องเสียเวลาไปรับไปส่ง ไม่เสียพลังงานชีวิต , เอาเงิน เอาเวลา เอาพลังงาน ส่วนนี้ มาทำกิจกรรมต่างๆ กับเด็กๆ ได้อย่างเต็มที่ .. เมื่อโฮมสคูลเริ่มลงตัว เราจะมีความสุขมากๆ ครับ ผมยืนยัน

โฮมสคูล ไปเที่ยวบ้าง ไรบ้าง ก็ได้ .. เที่ยวได้ในช่วงวันธรรมดาจึงประหยัดกว่า .. คนน้อยกว่า เที่ยวสบาย

เด็กที่เรียนอยู่ในระบบ ก็สามารถใช้หลักของโฮมสคูลได้ ครับ

ลูกชายคนโต เรียนอยู่ ม.2 English Program .. พอดีผมรู้จักโฮมสคูลช้าไป ตอนนี้เค้ายังอยากไปโรงเรียนอยู่ เพราะเป็นวัยที่ต้องมีตัวตน ต้องการเพื่อนล่ะ แต่ก็ไม่ได้ชอบเรียนเท่าไหร่นะครับ ฮ่า ผลการเรียนก็กลางๆ .. ก่อนหน้านี้ คุณแม่ ก็เป็นห่วง และกังวลมาก พยายามเคี่ยวเข็ญ อยู่ในวังวน เหมือนที่เขียนไว้ด้านบนเลยครับ ซึ่งลูกเองก็ทำได้ดีพอสมควร เป็นเด็กที่ไม่มีปัญหากับระบบเท่าไหร่ .. แต่ก็ไม่มีความสุข ไม่มีเวลาเหลือ สำหรับค้นหาตัวเองเลย

ผมเลยบอกลูกว่า .. ป๊ากับแม่ขอโทษนะ ก่อนหน้านี้ ป๊ากับแม่ กดดันลูกมากเกินไป เพราะลูกเรียนในระบบ เราก็อยากให้ได้เกรดดีๆ .. แต่ต่อจากนี้ พ่อแม่จะไม่ยุ่งกับเรื่องเกรดอีกแล้ว ให้ลูกดูแลตัวเอง จะได้เรียนต่อกับเพื่อนหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวลูกเอง .. มีเงื่อนไขแค่ เราจะจำกัดเวลาเล่นมือถือ และขอให้ใช้เวลาว่าง มาทำในสิ่งที่ชอบ เพื่อค้นหาตัวตนของตัวเอง (พี่ยิ้มกว้าง แล้วรีบตอบรับทันที)

ถ้ามีครูมาบอกว่า ลูกเราเกรดไม่ดี อันนี้ผมรับได้นะ ..​ แต่ถ้าลูกไม่มีความสุขในการเรียน อันนี้ผมรับไม่ได้

พี่กังฟู กำลังใช้อุปกรณ์งานไม้ของป๊า ที่วางอยู่รอบๆ ตัว มาประดิษฐ์อะไรซักอย่าง

โฮมสคูล มีข้อจำกัดอยู่ แต่ปรับได้

พ่อแม่โฮมสคูล ทั้งที่เริ่มทำไปแล้ว และที่ยังรอจังหวะที่จะเริ่มทำ ต่างก็มีความกังวลในหลายประเด็น .. ผมเลยรวบรวมมาไว้ให้ และให้ข้อคิดไว้ ดังนี้ครับ

อย่าเปรียบเทียบ .. ถ้าเราเปรียบเทียบลูกของเรา กับเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน มันไม่แฟร์ .. เราอยากให้เด็กโฮมสคูลที่ไม่ได้ไปโรงเรียน ให้รู้เรื่องเท่ากับ เด็กที่ไปโรงเรียน มันเป็นไปไม่ได้ครับ .. เด็กไม่ได้เรียนตารางธาตุ เป็นไปไม่ได้ ที่จะรู้เรื่องตารางธาตุ .. แต่ถ้าเป็นเรื่องการแก้ปัญหา .. ถ้าเป็นเรื่องที่ลูกเราถนัด .. ลูกเราเก่งกว่าเด็กคนอื่นๆแน่นอนครับ

กลัวจะเสียโอกาส .. ให้ลูกออกจากโรงเรียน แล้วถ้าจะสอบเข้าโรงเรียนดีๆ มหาวิทยาลัยดีๆ ได้งานดีๆ ได้ยังไง .. อย่าลืมว่า ก่อนออกจากโรงเรียน เราให้ลูกเป็นคนเลือก เมื่อเค้าเลือกแล้ว จงเชื่อมั่นในตัวลูก .. ถ้าลูกอยากจะเป็นหมอ เค้าจะตั้งใจเรียนเอง และสอบเข้าเรียนหมอได้อย่างแน่นอน .. ถ้าเค้าอยากทำ เค้าก็จะมีความพยายามอย่างแรงกล้าที่จะทำ ให้สำเร็จอย่างแน่นอน (ลูกตั้งใจทำเอง แถมมีเราสนับสนุนอยู่ สบายใจได้)

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

คนในครอบครัว ยังไม่เห็นด้วย .. เป็นธรรมดา ที่คนรู้จัก ที่หวังดีกับเรา ก็จะเตือนเรา เพราะว่ามันผิดไปจากประสบการณ์ที่เค้าเคยผ่านมา .. พ่อกับแม่ต้องเข้มแข็ง และคอยปกป้องลูก ประคับประคองให้โฮมสคูลดำเนินการไปได้ .. แล้วไม่นาน ทุกคนจะเห็นความเปลี่ยนแปลง จากผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ 1 ปี แต่เป็นแค่ 2–3 เดือน เท่านั้นเอง .. เด็กๆ เป็นหลักฐานที่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า เรามาถูกทาง

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

สถานะทางการเงินครอบครัวไม่ดี อาจจะไม่สามารถซับพอร์ตได้เต็มที่ .. เด็กบางคนชอบอวกาศ อยากเจอมนุษย์อวกาศตัวเป็นๆ อยากไปนาซ่า อยากลองนั่งยานอวกาศของจริง .. เด็กบางคนชอบผจญภัย อยากไปป่าอเมซอน ..​ ให้ทำจริงๆ คงทำไม่ได้ เราก็ต้องหาวิธีส่งเสริมไปในแบบอื่นที่พอจะทำได้แทน .. ลูกชอบว่ายน้ำ เล่นดนตรี เล่นไอซ์สเก็ต หรือกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายสูง .. เราก็ลดมาตรฐานลงมาก่อน พร้อมเมื่อไหร่ หรือมั่นใจว่าเอาจริงแน่ๆ ล่ะ ค่อยตัดสินใจจ่าย

โฮมสคูล ไม่ใช่การเปย์ลูก ไม่ใช่การสปอยลูก .. การให้ลูกได้รอคอย ฝึกฝนในสิ่งที่พอจะทำได้ก่อน ค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ หรือแม้แต่ เก็บสะสม หาเงินเอง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็ทำได้

อุปกรณ์สำคัญ ที่อยากแนะนำ ก็มีแค่ คอมพิวเตอร์ กับ Printer .. เราก็สามารถพิมพ์แบบฝึกหัด ภาพวาด โมเดลกระดาษ ใบงาน กิจกรรมต่างๆ ได้เยอะมาก .. หรือ สามารถนำกล่องลัง มาช่วยกันประดิษฐ์ สิ่งต่างๆ ตามจินตนาการ .. การทำกิจกรรมภายในบ้าน อย่างเช่น การกวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ตากผ้า ล้างจาน ทำอาหาร ปลูกผัก .. การช่วยบ้านขายของ ช่วยพ่อแม่ทำงาน ก็ถือเป็นการเรียนรู้ .. เด็กโฮมสคูล เรียนรู้จากชีวิตจริง

ฝีมือประดิษฐ์ จากคุณแม่และเด็กโฮมสคูล ครอบครัวหนึ่ง เจ๋งอ่า

ทำกิจกรรมนอกบ้าน ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในบ้าน กิจกรรมฟรี มีอยู่มากมาย งานหนังสือ พิพิธภัณฑ์ สาธารณะ เก็บดอกไม้ใบไม้ สนามเด็กเล่น ห้องสมุด ศูนย์เยาวชน งานอีเว้นท์ กิจกรรมตามห้าง สลับไปมาได้ทุกวัน .. ตอนแรกเน้นฟรี ไปก่อน .. เพื่อให้เด็กได้ทดลอง ถ้าชอบจริงๆ ค่อยว่ากัน .. เวลาจะไปก็เตรียมตัวให้พร้อม เช่น เตรียมอาหาร น้ำ ขนมไปด้วย วางแผนการเดินทาง ค่าใช้จ่ายจะน้อยมาก .. แถมเราไปในช่วงที่เค้าไปโรงเรียนกัน ก็ไม่ต้องไปเบียดแย่งใคร รถเมล์ก็ว่าง รถก็ไม่ติด ห้องสมุดก็ไม่มีคน เหมือนมันเปิดมาเพื่อเราโดยเฉพาะเลย เยี่ยมมากๆ

พ่อแม่ไม่มีเวลา .. โฮมสคูล พ่อแม่ คือ ผู้รับผิดชอบลูกเต็มร้อย .. ดังนั้น ถ้าไม่มีเวลา ก็จะต้องบริหารให้มีเวลาให้ได้ครับ .. ลูกมาเป็นอันดับหนึ่ง .. บางครอบครัวยอมเสียรายได้บางส่วน ให้แม่มาดูแลลูกเต็มเวลา ส่วนพ่อก็ทำงานไป , บางคนเห็นโอกาสก็เปลี่ยนอาชีพใหม่เลย เพื่อที่จะได้มีเวลาอยู่กับลูกเยอะๆ ,​ บางคนสามารถพาไปที่ทำงานด้วยได้ เด็กจะได้ประสบการณ์จากรุ่นใหญ่ , บางคนก็ให้ลูกช่วยทำงานไปด้วยเลยก็มีครับ .. งานที่ดี คืองานที่เข้ากับวิถีชีวิตของเรา

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

พ่อแม่เปลี่ยน ลูกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน

ปัญหาการศึกษาไทย เราแก้ได้เอง 100% โดยเริ่มจากพ่อแม่ .. ในเมื่อระบบการศึกษาเดิมมันแย่อยู่แล้ว ถ้าเราทำเอง ย่อมได้ผลดีกว่าอย่างแน่นอน .. บางที การปล่อยให้เด็กได้คิด ได้ทำเอง ลดการควบคุมให้น้อยลง เด็กจะสามารถเดินได้ด้วยตัวเองอย่างมั่นคง ลูกของเราจะได้มีชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และหลงไหล .. เด็กจะมีจิตใจที่เข้มแข็ง สามารถดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ เอาตัวรอดจากสังคมภายนอกได้ .. มีความพร้อมสามารถก้าวทันอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้

ภาพประกอบทางอินเตอร์เน็ต

ครอบครัวโฮมสคูลสร้างการเรียนรู้อย่างมีความสุข และมักจะส่งต่อความรู้สึกนี้ ออกไปเรื่อยๆ .. แล้วโฮมสคูลก็จะกลายเป็นเทรนด์ที่จะถูกพูดถึงในวงกว้างมากขึ้นในไม่ช้า .. เมื่อครอบครัวเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ระบบการศึกษาไทยก็จะเปลี่ยนตามไปเอง .. ผู้ที่สามารถทำโฮมสคูลได้ ก็จะได้รับผลดีนี้ไปด้วย .. แต่กว่าจะถึงตอนนั้น เรามาเปลี่ยนตัวเราเองก่อนดีไหมครับ เพื่อลูกๆ ของเรา .. ขอบคุณที่อ่านจนจบ และถ้าใครที่เพิ่งรู้จักโฮมสคูลหวังว่า บทความนี้จะให้มุมมองใหม่ให้กับคุณได้ และถ้าบทความนี้มีประโยชน์ ช่วยแชร์ไปยังคนที่คุณรัก ด้วยนะครับ

เกี่ยวกับผู้เขียน

ณฐพงษ์ เลิศศรี (พ่อตี๋เล็ก)
เว็บโปรแกรมเมอร์ ผู้มุ่งสู่
- ซีอีโอ doer.team
- นักกสิกรรมธรรมชาติ
- พ่อลูกสาม เด็ก Home School

--

--