เล่าประสบการณ์การฝึกงานกับโครงการ Developer Bootcamp 2018

Chayanon Thongpila
5 min readOct 10, 2018

--

เชื่อว่าชีวิตการเป็นนักศึกษาของหลาย ๆ คนคงไม่ได้เรียนรู้แค่ในห้องเรียน ตอนนี้ผมเองก็กำลังจะก้าวขึ้นสู่การเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 แล้ว ชีวิตยังไม่เคยผ่านการฝึกงานจากที่ใดเลยและไม่ได้รับงานจากข้างนอกมาทำด้วย ปัจจุบันความรู้ที่มีก็จะเป็นสิ่งที่เรียนจากในห้องเรียนกับสิ่งที่เรียนรู้เองนิดหน่อย ถึงแม้ว่าในทุก ๆ เทอม จะมีโปรเจคที่ต้องทำในแต่ละวิชา แต่สุดท้ายเองก็ไม่ได้รู้อยู่ดี ว่าจริง ๆ แล้วโปรเจคที่ทำในคณะกับงานที่เขาทำกันจริงตามบริษัทเขาทำกันยังไง แน่นอนครับว่าตามหลักสูตรคณะก็ไม่ได้มีกำหนดว่าจำเป็นต้องฝึกงานด้วย…

รู้จักโครงการนี้ได้ยังไง ?

สำหรับโครงการ Developer Bootcamp 2018 เป็นโครงการที่จัดขึ้นโดย Kasikorn Business Technology Group (KBTG) ในปีนี้เป็นปีแรก ตัวผมเองได้รู้จักโครงการนี้ผ่านการประชาสัมพันธ์จากทางคณะ ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกเพราะก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมาฝึกงานเหมือนกัน แต่จากการอ่านรายละเอียดของโครงการก็น่าสนใจดีเหมือนกัน โดยโปรเจคที่คิดว่าน่าจะเหมาะสมกับ Required Skills ของเราเองเป็นโปรเจค K PLUS Mobile Banking ครับ

หัวข้อโปรเจคที่มีภายใน Developer Bootcamp นั้นประกอบด้วย
1. Blockchain
2. Digital currency on Blockchain
3. K PLUS Shop Mobile Application Development
4. Golang High Performance Application for K Plus Shop
5. K PLUS: Mobile Banking
6. Library Hall Play
7. Channel Integration API
8. Machine Lending Platform
9. Payment Gateway

FYI : KBTG != Kasikorn Bank

Kasikorn Business Technology Group (KBTG) เป็นบริษัทที่แยกออกมาจากกสิกร โดย Concept คือเป็น Technology Company ซึ่งจะไม่ได้จำเป็นว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่คิดหรือพัฒนาขึ้นจะตอบโจทย์ทางการเงินอย่างเดียว อาจจะตอบโจทย์ผู้โภคอื่นๆ และให้โอกาสกับผู้บริโภคที่มากกว่าการเงินแต่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยในปัจจุบันตั้งบริษัทมาได้ 2 ปีกว่า ๆ และมีโปรเจคใหญ่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ K PLUS Mobile Banking , OriginCert (Based on Blockchain) และ Beacon Interface

ประกาศผล

สำหรับการประกาศผลที่เรียบง่ายจากฝ่าย HR คือการโทรมาแจ้งรายละเอียดว่าได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ พร้อมส่งรายละเอียดเพิ่มเติมเข้ามาทางอีเมลที่เราได้แจ้งไปตอนแรก โดยมีเพื่อนติดโครงการนี้ด้วยอีกคนนึง *Yayyyy*

Day 1

You’ll always my day one… Day zero when i was no one… #ผิดๆๆ
การฝึกงานวันแรก เนื่องจากบริษัทตั้งอยู่กลางเมืองทองธานี การเดินทางมาที่นี่สะดวกที่สุดจะเป็นรถตู้จากอนุสาวรีย์มาจอดตรงข้างบริษัทเลย ก็วันแรกที่เริ่มฝึกงานเป็นวันที่เพิ่งจบค่าย ITCamp ที่คณะไปหมาด ๆ ทำให้เช้าวันนี้ต้องแหกขี้ตาเดินทางมาจากลาดกระบังตั้งแต่เช้าเพราะกลัวมาไม่ทันบวกกับยังกะเวลาในการเดินทางไม่ถูก

ในส่วนของกิจกรรมช่วงเช้าเป็นการ Ice Breaking เพื่อให้นักศึกษาที่มาจากหลายมหาลัยได้ทำความรู้จักกัน จริง ๆ ก็คือทำให้ตื่นนั่นแหละ *ง่วงมากกกกก* ส่วนช่วงบ่ายก็รับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการฝึกงาน

บัตรพนักงานที่หน้ามันเป็นปลาทู โว้ยยยยยยยย T_T

สิ่งที่จะได้รับตลอดการเป็นนักศึกษาฝึกงานของที่นี่ หลัก ๆ จะมี
1. บัตรพนักงานสำหรับใช้ในการ Access เข้าตึกและลิฟท์ชั้นต่างๆ
2. คอมพิวเตอร์แลปท็อป จะมีทั้ง Macbook Pro (non-touchbar) สำหรับนักศึกษาที่เขียนแอป iOS และ Thinkpad ขนาด 12.5 นิ้วสำหรับการเขียนแอปฝั่ง Android และใช้งานทั่วไป
3. อีเมลบริษัทเพื่อใช้ในการส่งอีเมลและเข้าถึงระบบภายในต่าง ๆ
4. Udemy Online Course : เนื่องจากบริษัทมีการซื้อ License ของ Udemy ไว้ให้พนักงานภายในบริษัท ซึ่งแน่นอนว่านักศึกษาเองก็สามารถขอสิทธิในการเข้าใช้งานได้เช่นกัน โดยสามารถเข้าถึงคอร์สเรียนได้มากถึง 2000+ คอร์ส

หลังจากรับบัตรพนักงานและคอมเรียบร้อยก็แยกย้ายเข้าทีมตัวเองจ้า และนี่ ! ก็คือโฉมหน้าสมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมการฝึกงานตลอด 2 เดือน

K PLUS Mobile Banking Team

ก่อนอื่นขอแนะนำเพื่อน ๆ และพี่ในทีมให้รู้จัก เรียงจากซ้ายไปขวา
1. เราเองงงงงง คนเหงา 2018 จาก KMITL
2. คุณสุ วิศวะคอม ฯ KMUTT
3. พี่นิโคล เป็นพี่ที่คอยดูแลนักศึกษาฝึกงานทีมเราครับ (แต่ในทีมเวลาคุยกันก็เรียกคุณแม่ตลอด)
4. คุณจูนน์ IT SIIT
5. คุณกอล์ฟ ICE Chula
เรื่องแปลกที่จริง ๆ ก็คงไม่แปลกมั้ง คือทุกคนอัธยาศัยดีมาก เข้ากันง่ายสุด ๆ เปิดมาวันแรกก็คือคุยกันเหมือนรู้จักกันมาก่อน

หลังจากที่แยกย้ายเข้าทีมก็จะมีการแบ่งฝ่ายอีกทีนึง ซึ่งอย่างที่บอกว่าเราอยู่ทีม
K PLUS Mobile Banking การทำงานในฝ่ายนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ฝ่ายหลัก ๆ คือ
1. Backend
2. Front End
3. Client (iOS + Android)
ตัวผมเองถนัดการเขียน Android ก็เลยได้มาอยู่ฝั่ง Client กับคุณกอล์ฟ ส่วน 2 สาวดูเหมือนจะอะไรก็ได้ ก็เลยไปลองทำงานฝั่ง Backend ดู จริง ๆ แล้วถ้ามีเวลาอีกหน่อย คงขอย้ายไปลองทำงานฝั่ง Back End ด้วย

การทำงาน ( Technical หน่อยนะ )

เนื่องจากระยะเวลา 2 เดือนในการทำงาน ถ้าแบ่งออกหลัก ๆ จะแบ่งได้เป็น 2 ช่วงคือการฝึกงานในแผนกกับแยกออกมาทำโปรเจคที่ต้องใช้ใน Final Presentation วันสุดท้ายของการฝึกงาน ในส่วนของเวลาปกติของการเข้า-ออกงานคือ 08.30–17.30 แต่สำหรับทีม Client ที่ได้ไปอยู่จะมี Daily Stand up meeting ทุกเช้าตอน 09.30 พี่ ๆในแผนกรวมถึงเราก็จะมาได้ช่วงนั้นกัน

การทำงานของที่นี่ใช้รูปแบบการทำงานแบบกึ่ง ๆ Agile พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าอิงตามรูปแบบ Scrum ก็จะมีการแบ่งเฟสการทำงานชัดเจน ตั้งแต่แตกฟีเจอร์เป็น Task งานย่อย ๆ , หาคนรับผิดชอบในแต่ละฟีเจอร์ (ส่วนใหญ่จะฟีเจอร์นึงจะรับผิดชอบที่คน ๆ เดียว เพราะว่าเวลาไล่โค้ดตัวเองจะง่ายนิดนึง) , ส่งมอบฟีเจอร์ที่ถูกพัฒนา , ทำ Retrospective Meeting ซึ่งก็ที่บอกว่าแบบกึ่ง ๆ ก็เพราะว่าเนื่องจากโปรเจคที่กำลังทำกันอยู่นั้น…. มีความเดือดมากกกก 🔥🔥🔥 การที่พัฒนาฟีเจอร์ให้ทำงานถูกต้องและเสร็จตามที่วางไว้จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

อย่างที่บอกว่าเราได้มาอยู่ที่ Client เพราะว่ามีพื้นฐานการเขียน Android + มีความรู้เรื่อง Design Pattern ประมาณนึง จริง ๆ คือหลาย ๆ อย่างก็คือสิ่งที่ได้เรียนมาจากวิชา Software Engineering ตอนปี 3 เทอม 1 แทบทั้งนั้น แต่เพิ่งจะได้มาใช้จริง ๆ ก็ตอนนี้แหละ 👏🏻 👏🏻 สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการมาอยู่ในทีม K PLUS คือในงานที่ต้องขึ้น Production จริง Flow การทำงานส่งข้อมูลระหว่าง Back End — Front End-Client เป็นยังไงบ้าง

เดิมทีเวลาเราทำโปรเจคเดี่ยว (Android App)ในคณะสโคปของโปรเจคจะไม่ได้ใหญ่มาก ทำให้ใช้รูปแบบ MVC ในการเขียนได้ แต่สำหรับแอป K PLUS ที่กำลังพัฒนากันอยู่นั้น ใช้รูปแบบ MVP ในการเขียน บวกกับมีการใช้ Dagger 2 เพื่อการทำงานภายในแอปเป็นไปในรูปแบบที่ควรจะเป็น ทำให้ไฟล์ที่ต้องเขียนทั้งหมดในแต่ละฟีเจอร์เยอะมากกว่าเดิมประมาณ 2–3 เท่า (แยก Presenter ออกจาก Activity + สร้างไฟล์ Modules) จึงทำให้ในช่วงแรกต้องใช้เวลานั่งไล่โค้ดเพื่อศึกษารูปแบบคร่าว ๆ ประมาณนึงเลย

จริง ๆ ความบันเทิงมันเริ่มต้นตั้งแต่การใช้แลปท็อปบริษัท(Windows) ละแหละ อย่างที่สาย Android Developer รู้ ๆ กันคือเราจะเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งรอ Build App ซึ่งในการ Build App ที่โดยใช้เวลานานที่สุดจะเป็นการ Build ครั้งแรกหลังจาก Clone Repository ลงมาจาก Git ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่คิดหรอกว่ามันจะนานขนาดนี้ แต่พอมารันจริงเท่านั้นแหละ…..ใช้เวลาราว ๆ ~45 นาที ส่วนการ Build ปกติเวลาแก้ไขโค้ดก็จะประมาณ 2–3 นาที จะเห็นว่านานเอาเรื่องอยู่ จนสุดท้ายตัดสินใจใช้ Macbook Pro เครื่องที่ใช้อยู่แทน เพราะลดเวลาในการ Build ได้ระดับนึงเลย

สิ่งที่เรียนรู้จากการมาอยู่ฝั่ง Client

ชีวิตเด็กฝึกงานก็ควรจะทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันหน่อย จะได้เป็นประสบการณ์ที่ดี ในส่วนของฟีเจอร์ที่เราได้รับมาทำเป็นฟีเจอร์การจ่ายเงินผ่าน Facebook (Pay with K PLUS) ที่ทางธนาคารกำลังโปรโมทอยู่ (ณ ตอนที่เขียนบทความนี้คือต้นเดือนสิงหาฯ) แต่ว่าฟีเจอร์ที่เราทำอยู่นี้จะอยู่ใน K PLUS ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว

ด้วยความที่ฟีเจอร์นี้ไม่ต้องไปทำงานร่วมกับฟีเจอร์อื่น ๆ ทำให้ไม่ต้องห่วงว่าจะกระทบกับงานที่พี่ ๆ เขาทำอยู่ ถ้าใครที่ได้วิดีโอที่แปะอยู่ข้างบนก็จะเห็นได้ว่าการทำงานของฟีเจอร์นี้ไม่ได้ยาวมากเหมือนการโอนเงินปกติเลย ซึ่งจริง ๆ แล้วจะมีดีเทลเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง เช่นการขอยินยอมระหว่างแอป K PLUS และ Messenger , การตรวจสอบการทำธุรกรรม , การยืนยันการทำรายการ ฯลฯ

ในช่วงแรกเราเริ่มทำจากอะไรที่ง่าย ๆ ก่อน เช่น สร้าง Layout เพื่อใช้ในการแสดงผลตามโฟลวการรายการทั้งหมด ซึ่งจะมีการออกแบบไว้บน Zeplin จากทาง Designer อีกที โดยที่ Dev จะสามารถตรวจสอบได้ว่าทำตรงตามที่ออกแบบไว้มั้ย (Font size / colors / dimension / Image size) จากนั้นจึงลองไล่โฟลวกับข้อมูลที่ Mock ขึ้นมาเองว่าสามารถทำงานได้ตรงตามเงื่อนไขที่วางไว้มั้ย กดปุ่มแล้วสามารถไปกลับตรงตามที่ควรจะเป็นหรือเปล่า

หลังจากที่ Layout หน้าต่าง ๆ เริ่มโอเคจึงเริ่มยิง Service ทีละหน้าจนครบ ความยากช่วงนี้คือเรื่องการส่ง Request หาฝั่ง Front End ซึ่งจะมีปัญหาบ่อย ๆ

เราใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการทำฟีเจอร์นี้จนจบโฟลว (จริง ๆ ก็นานอยู่แหละ) ฟีเจอร์สามารถส่งสลิปกลับไปหา Messenger ได้ตามที่โฟลววางไว้ ซึ่งถามว่ามันเสร็จจริง ๆ หรอ? เปล่าเลย พี่บัดดี้น่าจะต้องมาตามเก็บ Defect ที่น่าจะเกิดขึ้นแน่นอนหลังส่งฟีเจอร์ไปทดสอบ ต้อง Refactor อีกด้วยแหละ

เที่ยงนี้กินอะไรดี ?

ขอเบาสมองคนอ่านด้วยอย่างอื่นบ้าง 55555 สำหรับคำถามยอดฮิตที่เจอมาตลอดสองเดือนก็คือ เที่ยงนี้กินอะไรดี ? จริง ๆ ช่วงแรกก็จะกินในห้องอาหารของบริษัทนั่นแหละ แต่ช่วงหลัง ๆ ก็เบื่อ ๆ เลยออกไปกินข้างนอกบ้าง สำหรับเมนูที่เราจำได้และกินวนอยู่บ่อย ๆ คือ
1. ข้าวหมูกรอบ ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง
2. เล้งแซ่บ
3. ข้าวกะเพราไข่ดาว
4. สเต็ก
5. ก๋วยเตี๋ยว
นั่นแหละ มันก็จะวน ๆ อยู่ไม่กี่อย่าง ทีนี้ ! ปัญหาที่เจอไม่ได้มีแค่เที่ยงนี้กินอะไรดี แต่คือจะจ่ายเงินยังไง ? ปัญหานี้เจอบ่อยมากเพราะว่าปกติตอนเที่ยงจะไปกินข้าวกันประมาณ 6 คน แต่ละคนก็จะสั่งอะไรไม่เหมือนกัน ตอนเก็บเงินยอดรวมมันก็จะมีเศษเยอะ ๆ หน่อย ก็คือถ้ากินปกติในตึกก็จะไม่เจอปัญหานี้ เพราะว่าใช้จ่ายเงินผ่าน QRCode ได้ แต่พอมากินข้างนอกเท่านั้นแหละมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินขึ้นมาทันที วิธีแก้ตอนนี้ก็เลยให้คนนึงออกไปก่อน ที่เหลือค่อยโอนคืน นั่นก็เลยมาเป็นโปรเจคสำหรับ Final Presentation

K-Share (Conceptual)

ช่วงเดือนเข้าเดือนที่ 2 ของการฝึกงาน (July) มีการแยกออกจากแผนกมาทำงานด้านนอก ซึ่งก็จะย้ายที่ไป ๆ มาๆ แล้วแต่อารมณ์ สำหรับหัวข้อโปรเจคที่จะทำส่งคือ K-Share ครับ เป็นฟีเจอร์ที่อยู่ในแอป K PLUS (Concept) โดยการทำงานหลักของฟีเจอร์นี้คือเป็นการสร้างกลุ่มเพื่อเรียกเก็บเงินผ่านเบอร์โทรศัพท์ที่ได้ผูกกับพร้อมเพย์ (Based on Request to pay policy)

FYI : สำหรับ Request to pay (RTP) เป็นการเรียกเก็บเงินแบบ 1:1 ที่เป็นของตกลงกันระหว่างธนาคารว่าทุกธนาคารจะรองรับระบบนี้ จุดประสงค์หลักของระบบนี้คือทำเจ้าของร้านค้าหรือผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไป สามารถส่งคำขอเรียกเก็บเงินจากหมายเลขปลายทางได้ โดยฟีเจอร์นี้มีอยู่แล้วบน K PLUS เวอร์ชันปัจจุบัน แต่คิดว่าคนน่าจะใช้ไม่เยอะ เพราะหมายเลขปลายทางต้องเปิดรับการส่งคำขอด้วย

หลัก ๆ ของไอเดียโปรเจคที่คิดกันก็เป็นเรื่องการปรับให้ RTP สามารถส่งคำขอทีเดียวหลาย ๆ เบอร์ได้ (Group of transaction) เพราะระบบปกติที่มีอยู่ตอนนี้ค่อนข้าง Tracking ลำบากในกรณีที่ต้องส่งคำขอเรียกเก็บเงินไปหลาย ๆ เบอร์

โดยในช่วงเดือนนี้ก็จะมีการประชุมกับพี่ ๆ ในแผนก เพื่อหาว่าโปรเจคจะเป็นไปในรูปแบบใดได้บ้าง มีข้อจำกัดตรงไหนที่ควรดูบ้าง แล้วค่อยร่าง Prototype คร่าว ๆ ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมขอไม่ลงลึกไปมากกว่านี้ละกันนะ

วันศุกร์ว่างสร้างได้

ในทุก ๆ วันศุกร์ทางบริษัทจะมีกิจกรรม Tech Meetup หรือ Knowledge Sharing นั่นเอง เป็นกิจกรรมที่จะเปิดโอกาสให้มีการมาแบ่งปันในเรื่องต่าง ๆ ที่แต่ละคนสนใจ ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อ Design Thinking / Ethereum 101 / Blockchain Consortium ฯลฯ

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อนนักศึกษาโครงการ Bootcamp โดยเฉพาะอีก ไม่ว่าจะเป็นการ Brainstrom โดยใช้ Design Thinking ว่าจะออกแบบอย่างไรให้เหมาะสมกับผู้ใช้งาน

Design Thinking workshop : source by LinkedIn KBTG

หรือแม้กระทั่งมี Workshop ที่จะสอนในเรื่องของการ Pitching ด้วย สอนตั้งแต่เรื่องการพูด / การเรียงลำดับประเด็นที่ต้องนำเสนอ / Body Language ที่เหมาะสมในการพูด (การเดิน + อายคอนแทค) ซึ่งเราเองก็เพิ่งมาเอะใจเหมือนกันว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีสอนในคณะแฮะ ปกติก็จะแค่ยืนพูดพรีเซนท์งานหน้าห้อง นับว่าเป็นสิ่งที่คิดว่านำไปปรับใช้ได้แน่ ๆ ในอนาคต 💖

Final Presentation

ลากยาวมาถึงตรงนี้ ก็ยาวเอาเรื่องอยู่อะ เพราะนี้ก็นั่งพิมพ์อยู่หลายชั่วโมงเหมือนกัน 55555 ก็อย่างที่บอกไปว่าทีมเราทำโปรเจคที่ชื่อ K-Share เพื่อที่จะทำไปใช้ในการ Present วันสุดท้ายของการฝึกงาน ช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาก็เตรียมตัวมาพอสมควรอยู่ ดีพอที่เพื่อน ๆ ในทีมทั้ง 2 คน (กอล์ฟ จูนน์) สามารถพูด 60 Slides ให้จบได้ภายใน 5 นาที ในวันสุดท้ายก็เลยไม่ได้เครียดมากเท่าไหร่ แต่เวลาเยอะพอที่จะไปนั่งเซตผมให้กันเองอะ 5555555555555 ฟีลแบบหน้าไม่แน่น ปากไม่แดง ผมไม่ปัง ไม่มีแรงพรีเซนท์ (ได้หรอ?)

Final Presentation 🐽

รายละเอียดกิจกรรมวันนี้ หลัก ๆ จะเป็นการพรีเซนท์จาก Data Engineer Bootcamp ในตอนเช้า และ Developer Bootcamp ในตอนบ่าย ซึ่งเมื่อเทียบกับกำหนดการที่วางไว้ก็จบไวเหมือนกัน

สำหรับการพรีเซนท์ในวันนี้ แต่ละ Track จะมีการมอบรางวัลที่แตกต่างกันไป ในส่วนของ Track Developer Bootcamp เนื่องจากโปรเจคค่อนข้างหลากหลาย จึงมอบรางวัลให้แต่ละทีมเหมือนกันหมด 🙇🏻‍

ความรู้สึกตลอด 2 เดือนที่ KBTG

สำหรับเราแล้วการมาฝึกงานที่นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทใหญ่ ๆ แบบนี้ ใครจะไปคิดว่าตัวเองจะไปเข้ามาเป็นส่วนเล็ก ๆ ของแอปที่ใช้อยู่แทบจะทุกวัน ซึ่งไม่น่าจะหาโอกาสแบบนี้ได้ง่าย ๆ ถ้าไม่ได้ยื่นเข้าร่วมโครงการมาคงแอบเสียดายเหมือนกัน

สิ่งที่เรารู้อยู่บ้างแล้ว การได้ลองเอามาใช้จริงกับแอปที่ผู้ใช้มากขนาดนี้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ

ถึงพี่บัดดี้ที่น่ารักของน้อง ๆ

ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่คอยให้คำแนะนำต่างๆ ตอบคำถามเดิมของเราที่ถามแล้วถามอีก “พี่บอส Build ไม่ผ่านงะ” ขอบคุณพี่แพร์ที่….ชอบไล่น้องไปอยู่ Backend/Front End , ขอบคุณพี่โจ้ที่คอยกดรายการสั่งซื้อให้ครับ 555555 ขอบคุณเที๊ยะ (เขียนไงนะ?) ที่มักจะมีเรื่องแปลกใจว่าทำไมน้องฝึกงานยังอยู่อีก?

สรุปพี่ๆ แผนกนี้เขาเอ็นดูน้องฝึกงานจริง ๆ มั้ยนะ ?55555555555555555555

ก็นั่นแหละ จริง ๆ ก็ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนในทั้งทีม K PLUS เลย Client / Front End / Back End / BA 🌚 ในทุก ๆ เรื่องเลยครับ 💚 *ก้มกราบเบญจางคประดิษฐ์*

ถึงเพื่อนในทีมที่น่าจะหลงเข้ามาอ่าน

ดีใจที่ได้รู้จักทุก ๆ คนนะครับ เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับตลอด 2 เดือน (หายเหงาไป 2 เดือนอะ) ทุกคนร่าเริงจนจะเหมือนคนบ้า ใครจะคิดว่าร้องเกะวันสุดท้ายจะปล่อยผีขนาดนั้น 5555555555555

เชื่อว่าการทำงานร่วมกันน่าจะมีเรื่องที่ทำให้หัวร้อน หรือ ตกลงกันไม่ได้สักทีแหละ ดีใจที่ทุกคนเป็นผู้รับฟังที่ดี ช่วยกันหาข้อสรุปได้ในที่สุด 💖

สุดท้ายนี้หวังว่าคงได้เจอกันอีก สักที่บนโลกใบนี้ จุ้บ ๆ

Note ไว้เป็นวลีที่ทำให้นึกถึงทุกครั้งที่พูดถึง

#ใครไม่แชร์เคแชร์
#ชนแม่งเลยยยยยย — คุณกอล์ฟ
#ทีมนี้แม่งคัดคนที่หน้าตา
#อิหยังวะ — คุณนัท
#บริการทุกระดับประทับใจในมือคุณ จากพวกเราทีม K PLUS Mobile Banking ขอบคุณครับ
#JuniTheDestroyer
#เเหะๆๆ — คุณจูนน์
#หัวร้อนนนนน-คุณจูนน์
#17.30เรากลับก่อนนะ — คุณสุผู้ต้องไปกลับเมืองทอง-บางมดทุกวัน
#ไม่อ่อนโยนเลยยย
#อุฟุฟวยยยยยยยย

--

--