2016 Year Review

Nut P.
3 min readJan 3, 2017

--

Stock Photo ใส่ให้มันดูมีสีสันเฉยๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไร

เห็นเค้าว่ากันว่าเขียนแล้วจะช่วยให้ย้อนดูตัวเองได้ เลยลองเขียนบ้าง ถึงจะเลทไปสามสี่วันก็นะ…

1.

2015 ตั้ง new year resolution ไว้ที่ไหนซักที่ (fb มั้ง) ว่าจะออกกำลังกาย ถือว่าประสบความสำเร็จละกัน เดือนกุมภาวู่วามสมัครฟิตเนสที่ virgin active พร้อม personal trainer ด้วย ถึงกับกินแกลบตังหมดอยู่ครึ่งปี ซึ่งการมี trainer ข้อดีคือเหมือนมีคนบังคับกลายๆว่ายูต้องมานะ ก็เลยได้ไปประจำ 55 เล่นอยู่ถึงประมาณเดือนตุลาก็เลิกเล่นกะ trainer หลังจากนั้นก้อห่างหายฟิตเนส 55555+

ผลที่ได้คือได้ความแข็งแรงเพิ่มมาหน่อย แต่หุ่นก็ไม่ได้ดีขึ้น ไม่ได้เห็นกล้ามอะไร อาจจะเพราะต้นทุนทางร่างกายเดิมเข้าขั้นเลวร้าย (เช่น วิดพื้นไม่ได้เลย) ละก็ได้ความรู้วิธีออกกำลังกาย พอเล่นเองเป็นละ ส่วนด้าน cardio ความอึดยังถือว่าเลวร้ายอยู่ เพราะไม่ชอบ cardio ด้วยมั้ง

ฉะนั้นปีนี้ก็คงต้องไปฟิตเนสให้จริงจังขึ้น ละเพิ่มออก cardio บ้าง

เพิ่งรู้ตัวว่ามีปัญหาด้าน flexibility ของร่างกายด้วย (อาจจะเพราะอาชีพที่ต้องนั่งหน้าคอมทั้งวัน) ยังหา solution ให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง ลองไปเล่นคลาสโยคะนี่ทำไม่ได้ซักท่า 555+

ถ้าใครอยากสมัครฟิตเนส เราแนะนำให้สมัครที่ที่ทำให้เราหมดข้ออ้างการไม่ออกให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ ที่ Virgin Active มีเสื้อกางเกงถุงเท้าผ้าเช็ดตัวให้ คือเอามาแต่รองเท้าพอ เลยสมัครที่นี่ ฮา

เรื่องกินคลีนอะไรนี่ทำไม่ได้จริงๆ อกไก่มันไม่อร่อยนิหว่า ต้องค่อยๆปรับไป

Standing Bar ที่ออฟฟิศ เคยมีคนเดิมเข้ามาถามว่านี่ร้านกาแฟรึเปล่า ฮา

2.

เปลี่ยนโหมดจากเรียนมาทำงานได้ปีครึ่งแล้ว พบว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนขี้เกียจมากถึงมากที่สุด ยังสงสัยอยู่จนถึงตอนนี้ว่าตอนเรียนนี่เรียนได้ยังไงฟะ

เริ่มรู้สึกตัวว่าเรามี habit หลายอย่างที่จะขัดขวางไม่ให้เราประสบความสำเร็จในการทำงาน เช่น

  • เพิ่งรู้เราเป็นคนกลัว fail อาจจะเพราะตอนเรียนเราทำได้ดี และการเรียนมันมีเป้าหมาย+purpose ชัดเจน เลยติดนิสัยมา พอมาทำงานพอเราเจออะไร unknown มากๆ เราจะไม่กล้าตัดสินใจหรือไม่กล้าลุยไปก่อน จะวนไปวนมาอยู่กับที่ หาข้อมูล ศึกษานานมากกกกกกกกก นานจนกว่าเราจะมั่นใจว่า “โอเค ทำตอนนี้ไม่น่าเฟลละ” ถึงค่อยทำ ซึ่งนิสัยนี้มันเป็นดาบสองคม คมที่ดีคือข้อมูลเราจะแน่นมาก ส่วนคมที่แย่คือสุดท้ายแล้วเราอาจจะไม่ได้เริ่มต้นทำซักที ไม่กล้าออกไปลุยก่อน ซึ่งในโลกการทำงานบางทีมันก้อต้องลุยๆไปก่อน แล้วค่อยดู feedback ว่าจะอะไรยังไงต่อ อันนี้ต้องปรับปรุง
  • งาน craft เกินไป: บางทีเราทำงานโดยไม่ได้ดูว่า result สุดท้ายที่ต้องการคืออะไร หรือไม่ได้ดูว่าตอนนี้อยู่ในขั้นไหน (เช่น ทดลองออกแบบ หรือขั้นสุดท้ายก่อนใช้จริง) + ไม่ได้ดู limitation อื่นๆ เช่น เวลา ประกอบกับนิสัย ocd เล็กๆ ทำให้เรามัวแต่ craft งานส่วนเล็กๆ ทั้งๆที่ส่วนนั้นอาจจะไม่ได้สำคัญต่อ goal ที่ต้องการเลย (ภาษาบิสเนสเรียกว่าไม่ Result-oriented) ซึ่งวิธีแก้ก็ต้องหัดประเมินให้ได้ว่างานที่เราทำอยู่ผลลัพท์สุดท้ายต้องการอะไร และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง
  • เป็นคนที่ focus แย่ วอกแวกง่าย แถมอู้บ่อย (ติดเฟซบุ๊คไรงี้) (หยุดปีใหม่อาทิตย์นึงแทบไม่ได้ทำอะไรเสร็จเลยคิดดู โคดกาก) เลยส่งผลให้ productivity ต่ำตามไปด้วย วันนึงทำงานได้น้อยถึงน้อยมาก ก็ได้คำแนะนำให้ลองอ่าน Eat that Frog แล้วเอามาปรับใช้ดู ซึ่งพออ่านจบแล้วหลักการคร่าวๆ คือให้ลิสต์มาว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เรียงลำดับความสำคัญ แล้วทำงานที่สำคัญที่สุดก่อน โฟกัสที่งานนั้นงานเดียวจนกว่าจะเสร็จ ก็ต้องลองเอาไปปรับใช้ดู ส่วนเรื่องโฟกัสหลุดก็พยายามหยิบเทคนิก timebox เช่น pomodoro มาใช้

ก็หวังว่าถ้าเราแก้นิสัยแย่ๆ พวกนี้ได้แล้วชีวิตการงานน่าจะดีขึ้น

โรงเจ กินกลางวันฟรี 55+

3.

ทำงานที่Jitta มาหนึ่งปีกว่าแล้ว การทำงานในบริษัท startup ขนาดเล็กถือว่างานยุ่งและเหนื่อยมาก ด้วยความที่คนน้อย เลยต้องทำอะไรหลายๆอย่างด้วยตัวเอง ก็ได้เรียนรู้มากมาย นอกจาก Backend ที่ทำปกติแล้วก็ได้ไปแจมส่วนของ DevOps ด้วย ดีใจที่ได้ทำงานใกล้ชิดกับคนเก่งๆ หลายคน ละก้อได้เห็นว่าโลกวงการ Finance มันเป็นยังไง

พอได้มาทำงาน software จริงๆก็เริ่มรู็สึกว่าการสร้าง software มันยาก และการสร้าง software ที่ดีนี่แม่งโคตรยากไปใหญ่ ไม่เหมือนตอนเรียนที่เขียนชุ่ยๆ อะไรก็ได้ให้มันใช้ได้ พอมาทำ software จริงๆ มีประเด็นที่ต้องทำหลายอย่างมาก Requirement/Estimation งาน, Performance ของระบบ, Architecure ของโปรแกรม, Security, Testing, Coding Practice, บลาๆๆ เต็มไปหมด ไอ่ SE/SA อะไรตอนเรียนนี่ดูง่ายไปเลย (ถ้าไม่นับเรื่องที่ทำรายงานส่งตอนเรียนนะ เกลียดการทำงานเอกสารมาก 555)

หลายคนชอบมาถามว่า อยู่จิตตะงี้ เล่นหุ้นจนรวยแล้วป่าว ขอตอบตรงนี้เลยว่าไม่ เพราะไม่มีตังไปลงทุน แกลบ 5555555

4.

ชิบหาย ชักยาว แต่ไม่เป็นไร เขียนต่อ ไม่แคร์คนอ่าน 555

ปีนี้ทำอาหารเยอะขึ้น กินได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถือว่ามี sense การทำอาหารเพิ่มขึ้นหน่อย สามารถทำเมนูโง่ๆ โดยไม่ต้องตวงเป๊ะๆ พอได้ รู้สึกว่าการทำอาหารช่วยให้เราได้ทำอะไรอย่างอื่นบ้างที่ไม่เกี่ยวกับคอม

จริงๆ ทำอาหารก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นนะ มาทำกินเองกันเถอะะะ

ความพยายามครั้งล่าสุด: ข้าวผัด

ได้ไปเที่ยวสามรอบ กระบี่ หัวหิน ภูเก็ต (มีแต่ทะเล) ไปดำน้ำ snorkeling สองทีแต่ไม่ค่อยเห็นอะไรเท่าไหร่ เลยรู้สึกแค้น อยากไปดูที่มันแบบสวยๆ พีคซักทีในชีวิต เลยจองไปหลีเป๊ะกลางเดือนนี้ แบบ peak season สุด แพงสุด แกลบสุด กะว่าถ้าไม่สวยก็ยอมแพ้กับทะเลไทยละ 555

หาดกะรน ไปนั่งชิลๆ (live photo เจ๋งเฟร่อ 55)

ตอนไปนั่งเฉยๆ ที่หาดที่ภูเก็ต ฟังเสียงคลื่น รู้สึกสงบมาก เรียนรู้อย่างนึงจากชายหาดว่าเราควรจะมี moment สงบๆ บ้างในชีวิต โดยเฉพาะ moment ที่ไม่ติดกับเทคโนโลยี เล่นมือถือให้น้อยๆลง อะไรงี้ (ดูเวิ่นเว้อ 55)

5.

เราตั้งเป้าว่าจะจดรายจ่ายมานานมากแล้ว เพิ่งได้ทำจริงๆเมื่อธันวาที่ผ่านมา เพราะรู้สึกว่าตัวเองเก็บเงินไม่ค่อยได้ แล้วไม่รู้ว่าเงินมันหายไปไหน เลยต้องเริ่มจดจริงๆ จังๆ เลยพบว่าจริงๆ พวกค่ากินค่าอะไรต่อวันมันไม่ได้เยอะเลย (เนื่องจากที่บริษัทกินกลางวันฟรี) เงินที่หายไป ถ้าไม่นับค่าเทรนเนอร์ฟิตเนส ค่าช่วยที่บ้านผ่อนคอนโด เงินมักจะแอบหายไปกันซื้อ gadget จุกจิกต่างๆ (เช่น จอคอม ลำโพง คีย์บอร์ด) เป็นอันดับหนึ่ง ส่วนรองลงมาซึ่งไม่ค่อยเท่าไหร่คือค่ากินหรู เช่นเนื้อย่าง กาแฟ ไรพวกนี้

ธันวาคม เดือนแห่งค่าของขวัญ T_T

การจดรายง่ายนี่นอกจากช่วยให้เรา track ได้ว่าใช้ไปเท่าไหร่แล้ว มันเหมือนจะช่วยเตือนสติหน่อยๆ ด้วยว่าอย่าใช้เงินเยอะ

เราลองซื้อและเปลี่ยนแอพจดรายจ่ายมาหลายแอพละ พบว่าอันที่สวย ใช้ง่าย และชวนให้เราจนรายจ่ายสุดคือ Spendee และ Dollarbird (ตอนนี้ใช้ Spendee)

6.

เราเพิ่งรู้สึกเสียดายว่าเราเป็นคนถ่ายรูปน้อยมาก ทำให้ย้อนกลับมาดูแล้วไม่มีอะไรให้ดู (งงปะ 55) เช่นตอนปีสามเราไปญี่ปุ่นสามเดือน แต่แทบไม่มีรูป moment หรือบรรยากาศที่อยู่ที่นั่นเท่าไหร่เลย พอเวลาผ่านไปนานๆ ภาพมันก็เลือนลางไป เลยพูดกับตัวเองไว้ว่าเวลามี event ไม่ว่าเล็กใหญ่จะพยายามถ่ายรูปให้มากขึ้น ยิ่งเดี๋ยวนี้มีพวก live photo, moments ที่ถ่ายวีดีโอสั้นๆได้ ก็น่าจะช่วยให้เก็บความทรงจำได้มากขึ้น

หนึ่งในไม่กี่รูปที่ถ่ายไว้ ไปตอนกำลังเปลี่ยนฤดู ได้เห็นหิมะตกอยู่ห้านาที บ้านด้านซ้ายคือบ้านโฮสที่ไปอยู่ตอนปีสาม

เราเพิ่งสมัครและหัดเล่น Instagram เชยปะล่ะ 555 ตอนแรกพยายามถ่ายแต่รูปสวยๆ ไปลง แต่เริ่มยอมแพ้ละ เดี๋ยวจะถ่ายมั่วซั่วมากขึ้น

ทั้งหมดนี้ที่เขียนมาเพื่อหาข้ออ้างซื้อกล้อง แฮ่ (แต่แกลบอยู่ อด)

7.

สิ่งที่อยากพัฒนาในปี 2017 เช่น

  • สกิล Programming / Software ต่างๆ เช่น JS, Testing, Clean code, SW Architecture
  • อยากหุ่นฟิตๆ ละ
  • Productive มากขึ้น เพื่อที่จะได้รู้สึก success ในทุกๆวัน

8.

เค้าบอกกันว่าเวลาตั้ง New Year Resolution ให้ตั้งที่มัน actionable วัดผลได้ และตั้งอันเดียวพอ ทำให้ได้ก่อนซักเดือนค่อยตั้งเพิ่ม เราเองก็เคยมีประสบการณ์ตั้งเยอะๆ แล้วไม่ได้ทำซักกะอัน

ฉะนั้น January 2017 Resolution ของเราคือ

“วันทำงาน ตื่นเจ็ดโมง”

ทำแค่นี้ก็ยากเกินพอแล้ววววว ปกติตื่นสิบโมงนู่น ก็อยากจะเป็น morning person กะเค้าบ้างอะไรบ้าง รู้สึกว่าการนอนดึกตื่นสายมันทำให้รู้สึกขี้เกียจ แถมตื่นเช้าแล้วรู้สึกมีเวลาทำอะไรได้เยอะตอนเช้า เลยเอาอันนี้เป็นอันดับแรกก่อนเลย

มีแค่อันเดียว ถ้าทำไม่ได้ก้อกากมาก (ด่าตัวเอง 55)

ย้ำ “วันทำงานตื่นเจ็ดโมง”

อ่านจบด้วย ปรบมือ แปะๆๆๆๆ 😂 😂 😂

ปล. บล็อกนี่ลองเขียนแบบ free flow พิมพ์ไปเรื่อย ไม่แพลนไรเลย เลยดูเวิ่นเว้อสุดๆ

--

--