Jap Jap Trip (Part 1)

piggy_cathy
6 min readMar 9, 2022

--

บันทึกเรื่องราวของคน 2 คน ณ ดินแดนอาทิตย์อุทัย
ความเป็นมาของทริปนี้นั้น แค่เริ่มก็ไม่ธรรมดาแล้ว 5555

Before the Trip

แคทเป็นคนชวนเพื่อนไปก่อน เริ่มชวนปลายเดือน เมษายน คุยกันมาเรื่อยถึงทริปที่จะไป แต่ยังคงไม่คอนเฟิร์มเวลาที่จะไป เพราะเรายังไม่รู้กำหนดการณ์ของการเรียน การงานในอนาคตที่แน่ชัดจึงคุยๆกันไว้ก่อนว่าจะไปประมาณกลางเดือนมิถุนายน

เวลาล่วงเลยมาจนถึง กลางเดือนพฤษภาคม เพื่อนได้เวลาที่แน่นอนแล้วแต่ตัวแคทเองยังไม่ได้ จึงยังไม่เริ่มทำการจองตั๋วใดๆทั้งสิ้น

ปลายเดือนพฤษภาคม ก็ยังไม่คอนเฟิร์ม ทำใจไว้ระดับนึงว่าอาจจะไม่ได้ไปแล้ว T_T

ต้นเดือนวันมิถุนายนเป็นการนับถอยหลัง ยิ่งใกล้กลางเดือนเท่าไหร่ เรายิ่งหมดหวังเท่านั้น

แต่แล้วทริปของเราก็เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 6 มิถุนายน วันที่เราเริ่มทริปด้วยการจองตั๋วเครื่องบินกัน คุยกันคร่าวๆว่าจะไปไหนกันบ้าง ไปกี่วัน ทำอะไรที่ไหนบ้าง และจัดการจองตั๋ว ภายใน 2 วัน (วันที่ 5 และ 6) การวางแผนที่รวดเร็วแข่งกับความเร็วของแสง

วันถัดมา ทำการจองที่พัก ปรึกษาหารือกันครึ่งค่อนวันกว่าจะหาโรงแรมที่เหมาะสมเจอ

เราจองตั๋วเครื่องบินและที่พักผ่าน traveloka ทั้งหมด ถ้าจองตั๋วเครื่องบินก่อนจะได้ promotion code สำหรับที่พักส่งให้ทาง email ที่เราให้ไว้ แคทได้ลด 15% สูงสุด 400฿ ก็เป็นข้อเสนอที่ดี ประหยัดไปอีกขั้น อ่อ แล้วจองผ่านแอป ถูกกว่าจองผ่านเว็บนะคะ

อีกวันถัดมา ทำการซื้อตั๋วสวนสนุกต่างๆที่เราจะไปกัน เราวางแผนว่าจะไป Universal Studio Japan และ Fuji-Q Highland แต่เช็คสภาพอากาศโตเกียวแล้วอาจจะมีฝนเราจึงตัดสินใจซื้อแค่ USJ แค่ที่เดียวไปก่อน

แคทซื้อตั๋ว USJ จาก H.I.S ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น ตั๋วเข้าได้ สบายบรื๋อ ส่วน Fuji-Q ซื้อได้จาก H.I.S เช่นกันแต่หากสภาพอากาศไม่ดี เครื่องเล่นบางเครื่องใน Fuji-Q จะปิดแคทกับเพื่อนเลยเลือกที่จะยังไม่ซื้อ รอเช็คอากาศใกล้ๆอีกทีก่อน

3 วันก่อนการเดินทาง จัดการแลกเงิน ตามหาบัตร USJ Express Pass ปรากฎว่าเหลือแค่ 1 ที่ แคทเลยเลือกที่จะไม่ซื้อละกัน (ในใจภาวนาขอให้ คนอย่าเยอะๆๆ)

เกี่ยวกับตั๋ว USJ แบบย่อๆ

การเข้า USJ ต้องมีบัตรเข้าสวนสนุก มีหลายประเภท One day pass Two day pass Annual pass และอื่นๆ แค่บัตรแบบนี้เราก็สามารถเล่นทุกเครื่องเล่นในสวนสนุกได้ ยกเว้นบางอย่างที่เขาจะมีกำกับไว้ว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

ส่วน USJ Express pass คือบัตรลัดคิวนั่นเอง เป็นบัตรเสริมที่เอาไว้ลัดคิว ถ้าไม่อยากต่อแถวนานๆ เราก็ซื้อบัตร express pass จะมีช่องทางพิเศษให้ และจะมีหลานประเภทเช่นกัน เช่น แบบ 7 เครื่องเล่น 4 เครื่อง รายละเอียดมีอยู่ใน website ของ USJ

สำหรับการซื้อ USJ Express pass ที่ไทยมีเอเจนซี่เป็นตัวแทนขายบัตร USJ Express pass อยู่ (หารายชื่อได้ใน website เช่นกัน) แต่ต้องซื้อล่วงหน้า 14 วัน อีกทางเลือกคือ H.I.S ช่วยกดได้ เสียค่ากด 200฿ (ถ้าซื้อตั๋ว USJ กับเขา) และเขาจะใช้บัตรเครดิตเราตัดเงินค่าตั๋ว หรือจะกดเองก็ได้มีแนะนำในกระทู้พันติ๊ป ฮี่ฮี่ (เราไม่ได้เขียนเน้ออ หาเจอเฉยๆ)

2 วันก่อนการเดินทาง แพ็คกระเป๋า ซื้อประกันการเดินทาง (AXA: 6 วัน ประมาณ 700฿) ซิมอินเตอร์เน็ต (เราซื้อ travel sim ของ truemoveH เน็ตแรงดีไม่มีตก มีปัญหาก็โทรกลับมาปรึกษาได้ แนะนำๆ) และเสื้อกันฝน รวมทั้งไปทำงานส่งท้ายการลาหยุดยาวสักหน่อย

Day 0

คืนวันเดินทาง 4 ทุ่มนิดๆ เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมือง รอไม่นานเพื่อนก็เดินทางมาถึง รอช้าอยู่ใยเดินทางกันเลยยย

จัดการเช็คอินที่เคาท์เตอร์ ลุ้นเรื่องน้ำหนักกระเป๋าเล็กน้อย (ซื้อไป 20 โล แชร์กัน 2 คน) พอดีๆ ไม่มากไม่น้อยเกินไป ผ่านตม. รอคิวตรงแถวเครื่องอัตโนมัติก็ไม่นานมาก ผ่านตมเรียบร้อย แคทเราก็เดินทางเข้ามาในเกท เดินไปเดินมา เข้าห้องน้ำ สำรวจราคาน้ำดื่ม (แพงไป ไม่ซื้อ 5555) วนไปวนมารอเวลาสักพัก

เพื่อนผู้น่ารักมีบัตรเข้า lounge ดีจุงงง (ขอติดสอยห้อยตามไปด้วยคน) แคทกับเพื่อนเลยใช้เวลาเรื่อยเปื่อยภายใน lounge กินนู่น ชิมนี่ (สายกินที่แท้ทรู กินตั้งแต่ยังไม่เริ่มบิน!) จนใกล้เวลาจะบิน เราก็ทำการย้ายตัวเองออกมา เตรียมตัวขึ้นเครื้อง
แต่! มีใครบางคนลืมโทรศัพท์! เดินหากันให้ขวัก โทรเรียกเอย ต้องขอบคุณแขกใจดีใน lounge ที่ชี้ทิศทางของเสียงสั่นสะเทือน(ของโทรศัพท์) ทำให้เราใช้เวลาไม่มากจนเกินไป (แต่ก็ตาถั่วมองไม่เห็นไปหลายนาที ทั้งๆที่เขาบอกแล้วนะ!)

การบินจากน่านฟ้าไทยไปญี่ปุ่น ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เครื่องบินลำใหญ่ ที่นั่งสบาย สายการบินนกสกู๊ด ไฟลท์นี้ลงนิ่มมากกกกกก ไม่สะเทือนเลย แต่ตอนเบรกหน้าเกือบทิ่ม 55555

Day 1

ถึงญี่ปุ่นแล้วจ้าาา

ถึงปุ๊บก็ตามแผนจ้าา (แผนอะไรนะหรอ: ไม่มี?!) อย่างแรกที่ทำคือเอากระเป๋า เข้าห้องน้ำ เชยชมตู้ชากาปอง และซื้อโตเกียวซับเวย์พาส 72 ชม. (เห็นไหม เรามีแผน! เราซื้อตั๋วเหมา!) ราคา ¥1500 จริงๆแล้วมีขายแบบ 48 ชม. ¥1200 และ 24 ชม. ¥800 ด้วย แต่เท่าที่คำนวนแล้ว นักท่องเที่ยวอย่างเรา ไปเที่ยววันละ 3 ที่ การซื้อ 48 ชม. หรือ 24 ชม. อาจไม่คุ้มค่า

Tokyo Subway Pass ใช้ได้กับ Tokyo Metro Line และ Toei Line ง่ายๆคือ ถ้าจะเที่ยวในโตเกียว อย่างเช่น Shinjuku Shibuya Sky tree Tokyo tower Ueno แนะนำให้ซื้อเพราะคุ้มแน่นอน! รถไฟหนึ่งเที่ยงขั้นต่ำ ¥130 ถ้านั่งรถไป 3–4. เที่ยวตลอด 3 วันก็คุ้มแล้ว สะดวกสบายด้วย ลงผิดเราไม่หวั่นเพราะเราซื้อเหมาๆ ผิด (คนที่ไม่ชินเส้นทางแบบเราๆก็ซื้อไว้ ถือว่าสะดวก ลดความกังวลไปได้มาก)

ส่วนคนที่จะออกนอกเมือง (ส่วนใหญ่จะใช้เส้น JR line หรือ Private line ซึ่งบัตรเขียวไม่ครอบคลุม) นอกโตเกียวหรือจำเป็นต้องใช้สายอื่น ลองคำนวนกันดูนะคะว่าคุ้มมั้ย

มีโตเกียวพาสอยู่ในมือเสร็จแล้วไงต่อ? ไปขึ้นรถไฟโล้ดดด แล้วขึ้นสายไหนล่ะ? ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ยืนงงอยู่นาน (ยืนหลบมุมด้วยนะ ข้างๆเสา กลัวเกะกะคนอื่นเขา 555 ทริปนี้หลบมุมบ่ายมาบอกเลย) จะเดินไปถามก็ไม่รู้ว่าถามตรงไหนดี ถามอากู๋ก็งงพอกัน ดูแผนที่รถไฟซิ!

เราวางแผนจะไปวัดอาซาคุซะก่อนน (จริงๆแล้วคือวัดเซนโซจิ สถานีอาซาคุซะ แค่ชื่อยังผิด จะเอาอะไรมาก 5555) แล้วค่อยเข้าที่พัก

สถานีไหนผ่านวัดมั่งเอ่ย? มองไปมองมา อุ๊ย Keisei Line ผ่าน เริ่มการกดเครื่องออกตั๋ว กดที่หมาย อ่าว ทำไมมี 2 ราคา แล้วมันแตกต่างกันยังไง(ว่ะ) เอาที่ถูกไว้ก่อน!

มองป้าย มองทางเดินไปชานชะลา (เดินถูกนะเออ) แล้วก็ขึ้นรถไฟไป นั่งรถไปเรื่อยๆก็หาข้อมูลเพิ่มเติมว่าที่เรามาเนี่ย ถูกแล้วแน่ๆ ไม่ได้ขึ้นผิด! เราขึ้นรถไฟถูกสาย! ถูกเส้นทาง! แต่เลือกผิดขบวนจ้าาา ที่เราขึ้นคือ Main Keisei Line ซึ่งจะจอดบ่อยมากกกก เริ่มที่ KS41 เราลง KS09 เมื่อไหร่จะถึง?! (ยังดีกว่า local นิดนึง ขบวนนั้นจอดทุกป้าย แต่ Main line จอดแค่ 10–20 สถานีเอ๊ง แต่! ถ้า Sky Access Line จะจอดสามป้าย (ขบวนที่เราควรจะขึ้น)! แต่ก็นั่นแหละ ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งลมชมวิวกันไป

บทเรี่ยนบทที่ 1: อย่าเสียดายตังค์ เราควรใช้มะนอย่างคุ้มค่าแทนที่จะเสียเวลา และ รถไฟญี่ปุ่นมีหลานขบวนหลายแบบ limited express, access line, skyliner (เดี๋ยวพวกเขาเหล่านี้จะตามมากหลอกหลอนเราอีกครั้ง โปรดติดตามตอนต่อไป 5555)

นั่งมองความเรียบง่าย น่าจะเป็นย่านที่พักอาศัย ไม่วุ่นวายเหมือนย่านช้อปปิ้ง หรือย่านท่องเที่ยว เป็นมุมที่แคทไม่เคยเห็นในการมาญี่ปุ่นครั้งแรก (2 ปีก่อนมากับทัวร์) ขึ้นรถไฟผิดขบวนก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด (positive thinking is the best!!)

เหม่อมองผ่านหน้าต่างรถไฟได้สักพัก (ร่วมชั่วโมงนิดๆ) ก็ถึงสถานีที่เราจะต้องเปลี่ยนสายรถไฟกัน! ยังไม่ถึงจ้า เอาละไฟเราแรง เราจะไป ทาง Ueno เพราะฉะนั้นเราต้องมองหารถไฟที่ไปทางนั้น ประมวลความคิดในสมองอย่างรวดเร็วและเริ่มมองตามป้ายต่างๆเพื่อหาคำว่า ‘Ueno’ แล้วเราก็เจอ! โอ๊ะ ไม่ต้องเปลี่ยนชานชะลาเพียงแค่เปลี่ยนขบวนนี่น่า ขึ้นเลยๆ! (ความแปลกใจมีเป็นศูนย์) พอขึ้นมาแล้ว เอ๊ะ แปลกๆ ทำไมเหมือนเราขึ้นสายเดิมเลยล่ะ สถานี KS– เหมือนเดิม ผ่านไปหนึ่งสถานี คงยังเหมือนเดิมมั้ง ผ่านไปสองสถานี ไม่ใช่และ ลงๆๆ

แล้วภาพที่เรามองออกไปเป็นเช่นนี้…

เราอยู่ที่ไหนในญี่ปุ่นเอ่ยยย…

เดินลง ข้ามมาอีกฝั่งของชานชะลาเพื่อนั่งรถกลับไปทิศทางเดิม ระหว่างรอรถก็มีรถไปวิ่งผ่าน มาให้ความหวังเรา และจากไปอย่างรวดเร็ว (ไม่จอดนั่นเอง) รอไปก็ปรึกษาหารือกันไป

รถไฟที่มาจะจอดที่สถานีที่เราจะลงมั้ยนะ? (ย้อนกลับไปดูบทเรียนบที่ 1) จะออกนอกเส้นทางอีกรึเปล่า? เราจะหลงอีกกี่รอบในวันนี้? จะถึงวัดกันกี่โมง?

แต่เราก็ยังมีอารมณ์สำรวจตู้กดน้ำ ตามหาโกโก้ (ทริปนี้มีปฏิบัติการณ์ลับหลายอย่าง เรื่องของกินปาไป 99.99%) เมื่อรถมาเราก็ขึ้นกันไป และก็เป็นไปตามที่เราหวังรถไฟพาเราทั้งคู่มาส่งที่สถานี จุดเปลี่ยนสาย มองดูป้ายอย่างใจเย็น ช่วยกันคิด ช่วยกันดูจนแน่ใจ และเราก็ทำสำเร็จ ขึ้นสายที่ถูก!

ช่วงมีสาระ: หากใครขึ้น Keisei Line มากจาก Narita แล้วจะเข้าเมืองเส้น Asakusa ต้องเปลี่ยนรถไฟที่สถานี KS-09 Aotto ลงจากขบวน Keisei และขึ้นรถไฟฝั่งตรงข้าม Asakusa Line หรือเอาให้ชัวร์ ป้ายจะเขียนว่าไป Oshiage (สถานีที่สามารถลงไปเที่ยว Skytree ได้) ตอนแรกรถไปจะเป็นสายอื่น แต่จะเปลี่ยนเส้นทางเป็น Asakuasa Line เมื่ออกจากสถานี Aotto

หูตาไวเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อเดินทางนะจ้ะ

ทริปนี้จะมีวิ่งขึ้นวิ่งลงรถไฟพอเป็นสีสัน ดูว่าถูกขบวนนะ! ถูกสายนะ! ถูกสีนะ! ถูกฝั่งนะ! ตอนวิ่งเข้า-ออกก็ตลกตัวเอง อายด้วย คนในรถคงงงว่าทำอะไรกัน นึกแล้วยิ่งขำ 555555

หลังจากมีการหลงเกินขึ้นตั้งแต่ 2 ชั่วโมงแรกในโตเกียว เราก็ระวังกับการเดินทางมากขึ้น คอยช่วยเหลือกันมากกว่าเดิน คอยมองนู่นมองนี่ อ่านป้ายไปตามทาง มองไปไกลๆมากขึ้นเพราะบางที (และหลายที) ป้านที่เราต้องการองจะอยู่เลยระดับสายตาไปหน่อย

จริงๆแล้วเราเลือกมาเที่ยวที่วัดเซนโซจิก่อนเพราะกว่าเราจะเช็คอินโรงแรมได้ก็ต้องบ่าย 3 เป็นต้นไป เลยแวะเที่ยวก่อนแล้วกันไหนๆก็ต้องผ่านวัดนี้อยู่แล้ว สิ่งสถานีรถไฟในญี่ปุ่นมีแทบทุกสถานีคือ ‘ล็อกเกอร์เก็บกระเป๋า’ อำนวยความสะดวกมากๆ ชอบมากก

แต่! เราก็ได้รับบทเรียนอีกแล้วครับท่าน

บทเรียนยทที่ 2 ควรอ่านคำแนะนำที่เขาแปะไว้ก่อนอย่าเชื่อใครง่ายๆ โดยเฉพาะเสียงอัตโนมัติจากตู้ล็อกเกอร์! (คนไทยควรอ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัดนะ ไม่งั้นขะเสียตังค์ฟรี T0T)

เรื่องของเรื่องคือว่า ตู้แต่ละตู้ของแต่ละประเทศ และแม้จะในญี่ปุ่นเอง ก็ทำงานไม่เหมือนกัน!

เรากดหน้าจอตู้ล็อกเกอร์ เป็นอย่างแรก ลองกดดู เขามีเสียงภาษาอังกฤษกำกับบอกด้วยนะว่าเราต้องทำอะไร แคทกับเพื่อนก็มองหน้ากัน ทำตามทีละขั้นตอน เขาให้ทำอะไรก็ทำ ปิดล็กเกอร์ก็ปิด หยอดตังค์ก็หยอด *กริ๊ก* อ่าว ล็อกแล้ว กระเป๋ายังอยู่ข้างนอกอยู่เลย …. เราเปิดออกมาได้มั้ย? น่าจะได้ แต่ถ้าจะล็อกอีกก็ต้องใส่ตังค์อีก เออ ดี เสียสองรอบ …

จะจำไว้เลย เจ้าตู้ล็อกเกร์ นายจะหลอกเราไม่ได้อีก!

ในเวลาไม่นาน เราก็มาถึงวัดชื่อดังของโตเกียวกันแล้ว ขอพรให้การเดินทางในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย (หลังจากผจญภัยมาเยอะเหลือเกินทั้งที่อยู่โตเกียงยังไม่ถึงครึ่งวัน) เดินชมรอบๆวัดนิดหน่อย (เพราะเคยมาแล้ว) และเริ่มหาของกิน!

ตั้งแต่เหยียโตเกียวได้ดื่มแค่น้ำ ตอนนั้นจะเที่ยวแล้ว ใช้แรงเยอะสมองแยะ ต้องการอาหารด่วน เราเลยเริ่มกันที่ร้านขายของในวัดก่อนเลยยย ขอบอกว่าทุกอย่างดูน่ากินไปหมดจ้าาา เดินไปเดินมาสักพักเราก็เจอร้านที่โด๊นโดน เลยจัดมาสักเล็กน้อยก่อน (เผื่อท้องไว้กินอย่างอื่นต่อ) ไม่รู้เรียกว่าอะไร ก้อนนุ่มๆ เล็กๆแบบมินิมอลแต่ชีสแน่นมาาาาาาาาก อิ่มกินเลยที่เดียวกับก้อนแค่นี้

แต่เราก็มาต่อกันที่ไอศครีมรสถั่วแดง หวานมากกกก… หลังจากเจอไอศครีมอันนี้ไป เราไม่กินถั่วแดงอีกเลยตลอดทริปนี้ ไม่ไหวๆ /:(

หนำใจกับของหวานก็เดินต่อเพื่อหา… ของคาว แล้วเราก็เจอร้านนี้ (ลืมถ่ายหน้าร้านมา)

ร้านนี้จะไม่ได้อยู่ในตัววัด ต้องเดินแยกในซอย ทางฟั่งขวา (หันหน้าออกจากวัด) เดินมาไกลอยู่พอควร ผ่านมาประมาณ 2–3 แยก เป็นร้านค่อนข้างใหญ่ ร้านจะมีตู้โชว์ข้าวแกงกะหรี่จานใหญ่ๆ ดูน่าทานในแบบต่างๆ ถัดมาจะเป็นทางเข้าร้าน เพื่อนเรากินแกงกะหรี่เนื้อ ติดใจมาก

แกงกะหรี่ (หมู) หอมๆแบบญี่ปุ่งง หมดทุกอย่างทั้งจานหลักจานรอง ถ้วยที่เห็นมุมขวาบนในรูปคือน้ำซุปนะจ้ะ ตอนแรกเห็นนึกว่าชา แต่พอดื่มเข้าไป น้ำซุปหัวหอม จิบไปพลางกินแกงกะหรี่ไปพลาง ตัดรสชาติกันได้ดี ถึงแม้เรื่องทางเราจะหลงกันตั้งแต่เริ่มแต่เรื่องอาหารเราเริ่มต้นกันได้ดี

ตรงนี้เป็นซอกเล็กๆข้างสถานี่อาซาคุซะ ภาพนี้บ่งบอกถึง 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น:

1. เจ็บใจกับตู้ล็อกเกอร์ซ้ำสองเพราะราคาที่ถูกกว่า

2. กำลังตามหาโกโก้ แต่ก็ยังคงไม่เจออยู่ดี -“-

นั่งรถไฟจากสถานีอาซาคุซะมายังที่พัก (ลืมถ่าย อีกแล้ว) ทริปนี้นับว่าเป็นทริปที่ถ่ายรูปค่อนข้างน้อย(มาาาก) ถ่ายไม่มีใครหยิบกล้องก็จะลืมกันว่าต้องถ่ายรูป เพราะว่าเรามัวแต่เปิดดู google map กางแผนที่รถไฟ เปิด safari หาที่เที่ยว แทบไม่ได้คิดถึงเรื่องถ่ายรูปเลยจ้าาา ถ้ารูปน้อย ขออภัย รูปเรามีจำกัดจีๆ

ที่พักของเราอยู่ใกล้ๆสถานี Inaricho ห่างจากสถานี Ueno ซึ่งเป็นสถานีใหญ่เพียงหนึ่งสถานี (เดินไป 5 นาทีก็ถึง ถ้าไม่ขี้เกียจ 5555) เราเข้าที่พัก นอนพักกันนิดหน่อยก่อนออกเดินทางต่อ

จุดหมายต่อไป สถานีโตเกียว Tokyo Station M17 (Marunouchi line) … ใช้บัตรเขียวนั่งรถไฟปุ๊บถึงปั๊บ ฟังดูเหมือนง่าย

แต่! สถานีโตเกียวใหญ่มากกกก เดินหลงกันเป็นชั่วโมงจ้า อีกทั้งแคทและเพื่อนแอบมีจุดหมายที่ไม่แน่นอน คือได้ข้อมูลมาว่าสถานีโตเกียวมีของกินเยอะ เราก็มากันเลย (คนเห็นแก่กิน! 555)

หลังจากที่เห็นป้ายอันแสนงงงวยในซัปเวย์ (หมายถึงรถไฟใต้ดินนะ ไม่ใช่อาหาร!) เราก็ลองค้นใน Google map หาทางออกให้กับความงงนี้ จนเดินคลำทางหาทางออกได้ ก็เจอตึกสวยๆจนอดถ่ายรูปเก็บไว้ไม่ได้ แต่เรายังไม่เจออาหารที่ในเน็ตเขาว่ากันเลยนะ! แอบได้ยินเสียงคล้ายๆมีใครตั้งเวทีด้วย คืออะไร้หนิ

หลังจากหาทางออกเจอ มองตึกนู้นตึกนี้ หาชื่อตึกเพื่อปรับทิศทางใน Google map ให้เข้าที่ เราก็เดินตามที่อาดกู๊บอกกันไป เดินวนไป วนมา Google map ช่วยคุณได้! ช่วยคุณให้เดินวนรอบสถานีโตเกียว 2 รอบได้

ในที่สุดก็ได้เจอกับสถานที่ที่ตามหา Kitchen Street (เจอด้วยความบังเอิญ บอกเลย! เดินอยู่โซนขายของอยู่ดีๆ เหลือบมองเห็นป้ายนี้อยู่ตรงหางตา ดีใจเหมือนหาวันพีซเจอ!) เดินเข้าไปอย่างไม่รีรอ แต่พอเจอรูปร้ายอาหารต่างๆกลับไม่ถูกใจอย่างที่คิดเราจึงหาตัวเลือกอื่นๆต่อ

ตัวเลือกถัดไปของเราคือ… Character Street

ขอบอกเลยว่า หายากพอกัน เดินวนรอบสถานีโตอีกหนี่งรอบ เราก็หาไม่เจอหรอ ช่วยกันดูป้ายทีามีตลอด ทุก 3 เมตรก็แล้ว Google map ก็แล้ว เดินไป เดินมา เดินในสถานีโตเกียวจากฟ้าสว่างยันฟ้ามืดอ่ะ คิดดู๊

แล้วในที่สุด เราก็หาห้างฯเจอ! Character Street เป็นซอยในห้างฯ Tokyo First Avenue (จริงๆแล้วออกแนวคล้ายๆ plaza) ข้อมูลนี้มาจากอากู๋ แต่ชะเง้อชะแง้หาแหล่งการ์ตูนที่เราตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ แต่เราเจอ Information Desk หนทางสว่างมาแล้วว เดินไปถามทันที เขาช่วยอธิบายว่า Character Street อยู่ที่ไหนอย่างเต็มที่ “คุณเดินตรงไปทางนั้นนะ จะเจอตู้ atm เจอตู้ atm แล้วเลี้ยวซ้าย แล้วเจอ daimaru (ถ้าจำไม่ผิด) เสร็จเลี้ยวซ้ายอีกรอบนะ”

Atm atm atm เจอ atm เสร็จเลี้ยวซ้าย

ทำไมเดินมาตั้งนานแล้ว ยังไม่เจอ atm เลยเปล่า(ว่ะ)

อะๆเจอ daimaru แล้ว

โอ๊ะมีการ์ตูนเต็มเลย

ถึงแล้วๆๆๆ (โว้ย)

ทุกวันนี้ก็ยังงงว่า atm ที่เขาพูดถึงคืออยู่ตรงไหน(ฟร่ะ) 5555

Character Street ตรงตามชื่อเลยฮับ

มีร้านรวงต่างๆขายมากมาย แต่ละร้านก็จะขายการ์ตูนแตกต่างกันออกไป มี Naruti One Piece Pokémon Sanrio และอื่นๆอีกมากมาย มีให้เลือกช้อปเยอะจนละลานตาไปหมด แต่เรานี่เป็นเพียงวันแรก เราจึงต้องหักห้ามใจตัวเอง ไม่งั้นได้อดข้าวในวันหลังๆแน่ (มีแผนว่าจะไป Akihabara ต่อด้วย ครานั้นได้ละลายทรัพย์ของจริงแน่ 5555) เราเลยเดินดูเฉยๆไว้ก่อน

แต่แล้ว เมื่อเราเห็นโซนนี้ ความอดทนก็หมดลง….

ชากาปอง *O*

เสียทรัพย์พอเป็นพิธี กล้ำกลืน เบือนหน้าหนีแล้ว ก้าวต่อไป (ดราม่าทำไม)

เดินดู และซื้อของกันหนำใจก็ถึงเวลาอาหารเย็นกันแล้วว

เพื่อนแคทเหลือบไปเห็น Ramen Street พอดีซึ่งอยู่ในสถานีโตเกียวเช่นกัน เราจึงลองไปหดูร้านอาหารกันว่าจะมีอะไรที่โดนใจพวกเราสองคนหรือไม่ และเราก็เจอกับร้านที่ขาย okonomiyaki (พิซซ่าญี่ปุ่น) กดตู้สั่งอาหาร (ด้วยความทุลักทุเล) ส่งออเดอร์และเดินเข้าร้าน

พนักงานช่างน่ารักจริงๆ คงเห็นว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว อยากใหเราซึบซับความญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ จัดให้เรานั่งหน้าเตา ได้เห็นกรรมวิธีการทำ okonomiyaki ตอนแรกก็ตื่นเต้นมากเลย แต่พอรอไปซักพัก เริ่มนาน หน้าเริ่มมัน อยากย้ายโต๊ะเหลือเกินนน 5555

หลายนาทีต่อมา… ได้กินแล้วเย้

รสชาติแปลกใหม่ อรรถรสไม่เหมือนอาหารญี่ปุ่นปกติ ที่จะจืดๆ แต่เมนูนี้มีหลากรสชาติ หนักเค็มและปริมาณเยอะมาาก ทำเอาแน่นท้องไปเหมือนกัน โดยรวมถือว่าดี แต่เยอะไปหน่อย กินมากๆจะรู้สึกเลี่ยนๆ แต่ถ้าใครสั่งเมนูนี้ขอบแกเลยว่าอิ่มแน่นอน!

อิ่มท้องแล้ว แต่ยังไม่อยากกลับที่พัก เราเลยตัดสินใจไปเซอเวย์ที่ Tokyo Tower กันก่อนเพราะเราวางแผนกันว่าจะไป Tokyo Tower กันพรุ่งนี้เช้า ถือว่าเดินเล่นไปด้วยเลย

การไป Tokyo Tower เราสามารถเดินทางโดยรถไฟเช่นเดิม ลง สถานี Kamiyacho H06 (Hibiya line) Akabanebashi E21 (Oedo line) หรือ Onarimon I06 (Mita line) ก็ได้

ขาไป จาก Tokyo Sation แคทนั่งรถไฟไปลง Kamiyacho เพราะเร็วที่สุดไม่ต้องนั่งรถไฟอ้อม แต่ต้องเปลี่ยนรถไฟจาก Marunouchi line ไป Hibiya line (M16-H08)

ตอนเดินออกมาจากสถานีฟ้าเริ่มมืดแล้ว ค้นอากู๋เช่นเดิมว่าเดินยังไง แต่ก็ชะเง้อมองหาแสงไฟสวยๆของ Tokyo tower ยามค่ำคืนเพราะจะได้เดาทิศทางในการเดินได้แม่นยำยิ่งขึ้น และเราก็เห็น Tokyo tower ในระยะไกลกันแล้ว รอช้าอยู่ใยเดินไปกันเลย!

ใช้เวลาไม่นานเราก็เดินทางมาถึง Tokyo Tower เป็นที่เรียบร้อย

สวยมาก! สวยมากๆๆๆๆๆๆๆ

อยากเก็บภาพไว้เยอะๆแต่ถ่ายยากเช่นกันให้ได้ครบทั้งตึก ภาพนี้ได้มาจากการก้มลง มือแทบติดพื้น ชิดขอบฟุตบาท (เสี่ยงรถเฉี่ยว ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง) แต่เป็นภาพสวยงามที่ติดตามาก ไปเห็นกับตาดีกว่ามองผ่านรูป นะเออ

ขากลับโรงแรมเราเลือกเดินไปสถานี Akabanebashi (Oedo line) เพราะอยากรู้ว่าลงสถานีไหนเดินใกล้ที่สุด และแคทก็ได้คำตอบว่า ลงสถานี Kamiyacho ใกล้กว่าสถานี Akabanebashi และเดินง่ายกว่าด้วยนะ ^__^

หลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน เราก็กลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนสำหรับวันถัดไป เย้

Cathy the Pooh (12/06/17)

--

--