รับบทน้องฝึกหัดครั้งแรกใน WGC Mentoring Program [part 1]

Aom*
3 min readJun 24, 2024

--

“เหมือนมีคนมาช่วย affirm ในสิ่งที่เราเชื่อ สิ่งเราบอกกับตัวเองว่ามันต้องใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไป”

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ ‘WGC Mentoring Program’ ที่จัดโดย Women Geek Club ค่ะ ตัวโครงการนี้ถือว่าเป็น Season 2 แล้ว ที่ได้สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับผู้หญิง (รวมทั้งเพศอื่นๆด้วยนะ) มาเล่ามาแชร์ประสบการณ์ในสายงานที่ตนเองทำ เพื่อพัฒนาเหล่า mentee ที่กำลังค้นหาหรือตั้งคำถามกับอะไรบางอย่าง ให้ได้คำตอบ และยังได้มิตรภาพอันแสนอบอุ่นจากพี่สาวทั้งหลายที่พร้อมใจกันมาช่วยดันพวกเราให้ไปสู่เป้าหมาย ไม่ว่าในเรื่องสายงานหรือพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ

สำหรับปีนี้มีความพิเศษเพิ่มขึ้นมา คือแบ่งเป็น 2 Track ให้เลือกสมัครตามช่วงวัย

โปรแกรมนี้เปิดรับสมัคร 2 บทบาท คือ mentor และ mentee โดยทั้งคู่สามารถนัด session เพื่อพูดคุยกันได้ทั้งหมด 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 2 เดือนที่จัดกิจกรรมค่ะ ของเราเป็นช่วงเดือน มิ.ย. — ก.ค.

กิจกรรม Welcome session ของโปรแกรมเมื่อปีที่แล้ว

เราตื่นเต้นมากๆ ตอนได้รับอีเมลล์ตอบกลับว่าผ่านการคัดเลือกเป็น mentee เพราะเราสมัครตำแหน่งนี้ไป ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมโครงการให้คำปรึกษาเชิง career path แบบนี้เลยค่ะ *O*

เมื่อรู้ตัวว่าผ่านแล้ว ก็จะถูกดึงเข้ากลุ่มไลน์ กลุ่มดิสคอร์ดของโครงการต่อไป ในส่วนของ Discord นั้นเขาเปิดให้เป็นพื้นที่อิสระเหมือน community เล็กๆเลยค่ะ ที่พี่แอดมินจะสร้างห้องตามความสนใจของเพื่อนๆในโครงการ มีตั้งแต่ห้องสำหรับพัฒนาสกิลต่างๆ ไปจนถึงห้องปีนผา ตีแบต ห้องป่วยไข้ หรือแม้แต่ห้องสาย data เอง เพราะพี่ๆ สายนี้เข้ามาร่วมโครงการกันเยอะมาก

หลังจากปฐมนิเทศเสร็จสิ้น ซึ่งเป็นการแนะนำที่มาของการก่อตั้ง Women Geek Club รายละเอียดโปรแกรม Mentoring และได้ ice breaking กันเล็กๆน้อยๆแล้ว เราก็เข้าสู่การทำความรู้จักกับ mentor ของเราที่ได้ถูกจับคู่ตามสายอาชีพที่ใกล้เคียงกัน นัดแนะเวลาที่จะเริ่ม session แรก และลุย!

ใน session แรก เราไม่ได้ตั้งเป้าหมายชัดเจนนักว่าคาดหวังอะไรบ้าง แค่เตรียมคำถามที่เราสงสัยอยู่เป็นพักๆในช่วงนี้ เนื่องจาก Mentor เรา ซึ่งก็คือพี่บีท เขาทำงานในสาย Data Engineer ที่มีการคาบเกี่ยวกับสายงานเราเพียงเล็กน้อย เราจึงเลือกคำถามเชิง soft skill มากกว่า career path เมื่อถึงเวลานัดและเราทั้งคู่ต่างอยู่ในห้องสนทนาที่ทาง WGC เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พี่บีทก็เริ่มทักทายด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ถามไถ่ถึงความคาดหวังของเราที่มีต่อการพูดคุยถัดไปต่อจากนี้ เราเล่าแบคกราวน์ด้านอาชีพของตัวเองคร่าวๆ ก่อนพี่บีทจะเริ่มแนะนำสิ่งที่พอทำได้ เพื่อให้เราดูมี value ในสายตา recruiter โดยเราจะไล่สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากทีละคำถามดังนี้

1. Advice on career path

  • คอยอัพเดทคอนเทนต์ใน LinkedIn เรื่อยๆ ก็ดีนะ ทรีตให้เหมือนเป็น social media อีกช่องทางของเรา อัพเดตว่าไปทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง ร่วมงานอีเวนท์ไหน และเรียนรู้อะไรจากตรงนั้น
  • ลองเขียน Medium (ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของบทความชิ้นนี้ ทุกคนปรบมือให้เราหน่อยย)
  • เก็บประสบการณ์จากสายงานที่ทำอยู่ไปก่อน แล้วค่อยย้ายไปทำงานที่เรารัก
  • แนะนำวิธีทำ repo ให้น่าสนใจ (โดยการ forking)
  • สอบใบ certificate ที่เกี่ยวข้อง

2. How to be a good speaker that inspires people in public speaking even if I’m introvert (or your secrets to be so confident on stage!)

  • ทางพี่บีทบอกเราว่า practice makes perfect แต่บางทีในสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามคาด มันก็ต้องหัด improvise ด้วย ซึ่งในระหว่างที่เรากำลังดำน้ำอยู่นี้ ก็พยายาม keep cool ไว้ ทำใจให้นิ่ง เพราะสุดท้ายแล้ว show must go on แหละ
  • Public Speaking เป็นทักษะที่ฝึกได้และใช้เวลา

3. What are key factors to be a proficient software engineer ?

  • เรียนรู้พื้นฐานของ Computer Engineering ให้แน่น
  • พี่บีทบอกว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง แต่สิ่งที่ทำให้ senior แตกต่างจาก junior ก็คือประสบการณ์ในการคลุกคลีกับ user พบเจอปัญหามาหลากหลายรูปแบบ จนรู้วิธีแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ

4. What to tell yourself when you feel so discouraged about any problem in your life ?

  • คำถามนี้เรารู้สึกว่าเริ่มหมดมุกแล้วถึงถาม อยากฟังมุมมองในการจัดการอารมณ์ของพี่เขาบ้าง
  • พี่บีทถามกลับว่าเราเคย burn out มั้ย เราก็ตอบว่าเคย จากนั้นเราต่างแชร์วิธีของตัวเองในการ heal ใจในช่วง burn out กัน พี่บีทใช้วิธีการฟัง podcast แนว affirming, ให้แรงบันดาลใจ พร้อมแนะนำ resource ให้เราไปตามต่อเยอะมากๆ มีหนังสือด้วย ส่วนเราก็จะแชร์ว่าเป็นการดูหนังที่ตัวละครหลักเจอปัญหาคล้ายๆกับเรา ดูแล้วมีกำลังใจ และโดดเดี่ยวน้อยลง

5. How to balance everything in every aspect of your life (family, work, personal well-being) ?

  • พี่บีทบอกว่าตัวเขาเองก็พยายามอยู่เหมือนกัน บางช่วงทำได้ บางช่วงก็ทำไม่ได้ อีกอย่างการแบ่งเวลาก็ช่วยให้เราทำมันได้ดีขึ้น

6. If you lose balance, what will you do to maintain it / get back in track again ?

  • พยายามกลับมาดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ด้วยการออกไปทำกิจกรรมต่างๆที่เรารัก ไปเคลื่อนไหว แล้วก็อย่าลืมกลับมาเยียวยาข้างในด้วย เราเห็นด้วยมากๆ เพราะช่วงนี้เรากำลังฝึกตัวเองให้ทำสิ่งเหล่านี้อยู่ และมันคุ้มค่ากับความสงบที่ได้ อาการเจ็บปวดทางร่างกายที่ลดลง เรารู้สึกว่าเริ่มจะเป็นเพื่อนกับร่างกายของตัวเองแล้ว

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปเร็วมากจนน่าตกใจ หลังจากแลกเปลี่ยนกันเสร็จ เราสองคนก็ให้กำลังใจกันในเส้นทางที่ตัวเองเดิน เราชอบที่ mentor ของเราไม่ได้ mentor เราเพียงอย่างเดียว แต่แสดงด้านที่เปราะบาง ด้านที่บางทีก็ไม่ไหวเหมือนกันให้ mentee อย่างเราเห็น ทำให้ฉุกคิดว่าเราไม่ต้องพยายามเก่งไปซะทุกเรื่องก็ได้ ไม่ต้องเร่งพัฒนาตัวเองอะไรขนาดนั้น การหันกลับมาโฟกัสที่ well-being น่าจะดีต่อใจและอ่อนโยนกับร่างกายของเรามากกว่า ส่วนเรื่องการเติบโตในสายงานก็ค่อยเป็นค่อยไป และคอยย้ำกับตัวเองเสมอว่ามัน takes time จริงๆ ก็เกือบทุกอย่างในชีวิต

เราคุยกันว่าสำหรับ session หน้า จะมาลองทำแบบฝึกหัดทบทวน milestone ในชีวิตกัน ซึ่งเป็นไอเดียจากหนึ่งใน resources ที่พี่บีทได้กรุณารวบรวมมาให้เรานี่ล่ะ ;-;

ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ ❤

อันนี้ออมกล่าวเองค่ะ ไม่ใช่ WGC นะ 555

--

--

Aom*

trying my best to be a good writer / designer / software engineer