ประสบการณ์เข้าค่ายคอมพิวเตอร์โอลิมปิกวิชาการของผม [Ver. ไม่วิชาการ]

Kang Chayanin
3 min readJun 20, 2021

Disclaimer

ในส่วนของ Blog นี้ จะเป็นการเล่าประสบการณ์การเข้าค่าย คอมพิวเตอร์โอลิมปิกวิชาการ [สอวน. คอม] แต่จะเป็น version ที่ไม่เน้นวิชาการ (เน้นฮาล้วนๆ)

ผมจะพยายามเอ่ยชื่อให้น้อยที่สุด เพื่อ privacy ของทุกๆคนที่ถูกกล่าวถึงนะครับ หากทำให้ใครไม่พอใจ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ก่อนมัธยมปลาย

เรื่องราวมันมีจุดเรื่มต้นมาจาก ตอน ม.3 ผมเป็นเด็กที่ชอบวิชาเลข (เลขอย่างเดียว วิทย์ไม่เอาจริงๆ) จึงสมัครสอบเข้าค่าย สอวน. คณิตศาสตร์ แต่เนื่องจากวันสอบ มีทั้งสอบเช้าและสอบบ่าย ผมจึงเลือกสอบคอมพิวเตอร์ในตอนบ่าย (เนื่องจากที่เหลือเป็นวิทย์หมดเลย)

แต่บังเอิญสุดๆ ผมดันฟลุคติดค่ายคอม และในวันที่ประกาศผล อาจารย์ค่ายก็ทัก Facebook ผมมาทันทีในคาบที่ผมเรียนคอมพิวเตอร์ และนั่น คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

ผมมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับค่ายปีแรก เนื่องจากเป็นค่ายสำหรับระดับมัธยมปลาย การนอนดึก (เที่ยงคืนคือเลิกเร็ว) และเนื้อหาที่ไปไวจนผมแทบอ้วก ทำให้ผมท้อแท้และหมดกำลังใจในการหวังไปต่อในค่ายที่สูงขึ้น

แต่ก็มีประสบการณ์ดีๆ ที่ได้รับมาจากค่ายเช่นกัน ด้วยความที่โรงเรียนผมเป็นศูนย์จัดค่าย สอวน. คอมพิวเตอร์ และมีพี่ๆ ที่อยู่ห้องเรียนพิเศษ วิทย์-คอม ที่ช่วยดูแลผมที่เป็นเด็ก ม. ต้น ไม่กี่คนในค่ายอย่างดี (ขอบคุณพี่ๆมากนะครับ)

ผมที่กำลังอยู่ในวัยที่ต้องตัดสินใจว่าจะเรียนต่อ ม. ปลายที่ไหนดี ด้วยความที่เริ่มมีความสุขกับการเขียนโค้ดขึ้นเรื่อยๆ และ ประสบการณ์ดีๆที่ได้รับจากค่ายสอวน. ทำให้ผมเลือกได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า ผมจะเรียนต่อที่ห้อง วิทย์-คอม ของโรงเรียนเดิม

มัธยมปลาย : ก่อนเข้าค่าย

หลังจากได้เข้าห้องเรียนพิเศษ วิทย์-คอม ผมได้พบกับสังคมแบบใหม่ที่ผมไม่เคยพบเห็น ที่นี่ไม่ใช่ห้องเรียนที่เน้นวิชาการหนักมาก เพื่อนในห้องส่วนใหญ่เป็นสายกิจกรรม แต่ด้วยความที่ สอวน.คอม เป็นหนึ่งใน Focus หลักของห้อง วิทย์-คอม ทำให้มีการจัดติวต่างๆให้กับพวกผมที่เป็นรุ่นน้อง และในห้องก็มีคนจำนวนมากที่มีเป้าหมายหลักเหมือนผม คือ สอวน. คอม

ค่าย 1 สอวน. คอม

ผมไม่ได้เข้าร่วมค่าย 1 ในวันแรกที่เป็นการปฐมนิเทศและการเข้าที่พัก เนื่องจากมีธุระส่วนตัวทำให้ต้องลา ทำให้ผมขนของเข้ามาในเช้าวันที่ 2 และเข้าไปนั่งตรงโต๊ะข้างๆเพื่อนห้องเดียวกับผม (ปล. ปีนี้เป็นปีที่ ม.4 ติดเยอะเป็นพิเศษ ทำให้ผมไม่ค่อยเหงา)

เนื้อหาวันแรกๆ เป็นเนื่อหาที่ผมเคยเรียนมาแล้วในปีก่อน ทำให้ผมค่อนข้างจะรีแลกซ์ (ขี้เกียจ) และเตรียมหยิบ Joystick ขึ้นมาเล่นเกม Fifa

แต่ทันใดนั้นเอง ผมก็เหลือบไปเห็นรุ่นพี่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างหน้าผม ที่เคยมาปีที่แล้วเหมือนกัน กำลังนั่งทำเว็บ programming.in.th ทำให้ผมรู้สึกผิดต่อตัวเองอย่างแรง ผมเรียกสติ เก็บจอย เปิดเว็บ programming.in.th และตั้งหน้าตั้งตาฝึกอย่างจริงจัง (ขอบคุณพี่มากนะครับ 🙏)

การพักอาศัย

เนื่องจากเป็นโรงเรียน ทางโรงเรียนจึงจัดห้องเรียนของตึกคอม 2 ห้อง นำโต๊ะ + เก้าอี้นักเรียนออก และทำให้เป็นห้องนอนรวม โดยจะมีฟูก และ ถุงนอนให้คนละ 1 ชุด (หมอน, ผ้าห่ม ต้องเตรียมมาเอง) และเปิดแอร์ให้ในตอนกลางคืน

ส่วนการอาบน้ำ จะใช้ห้องน้ำของตึกคอมที่มีอยู่ 2 ห้อง [ชาย 1 หญิง 1] โดยจะสลับกันเข้าไปอาบ และตากผ้าเช็ดตัวไว้ที่ทางเชื่อมระหว่างตึก (บางครั้งมีผ้าเช็ดตัวหรือกางเกงในตกลงมาพื้นด้วย 555)

นิสัยส่วนตัว

ตั้งแต่ขึ้นมัธยม ผมเป็นคนที่มีนิสัยส่วนตัวอยู่อย่างนึง คือ นอนไม่เป็นเวลา + นาฬิกาปลุกไม่ตื่น ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในค่าย สอวน. คอม (หนักไปทางข้อเสีย)

  • ข้อดี : การนอนดึก/เรียนกลางคืน ไม่เป็นปัญหาสำหรับผม
  • ข้อเสีย : ตื่นสาย, ปลุกไม่ตื่น, นอนระหว่างเรียน, และเรียนไม่รู้เรื่องในบางวัน

ในค่ายจะมีการบังคับออกกำลังกายทั้ง เช้า-เย็น เพราะอยู่หน้าคอมทั้งวัน ต้องยืดเส้นยืดสายบ้าง สำหรับการวิ่งในตอนเช้า รู้สึกเหมือนหัวใจจะวาย เพราะนอนดึก ส่วนตอนเย็น ผมก็อาศัยจังหวะเนียนๆ แอบเข้าไปนอนในห้องนอน

จากนิสัยที่กล่าวมา จึงทำให้เกิดชอตฮาขึ้นหลายครั้ง เช่น

ก่อนเริ่มคลาสกลางคืน จะมีให้แยกย้ายไปอาบน้ำ + พักผ่อน ผมจึงไปแอบงีบ

คลาสกลางคืน

อาจารย์ค่าย : โอเคเราจะมาเริ่มเรียนคลาสกลางคืนกัน

อาจารย์ค่าย : [ผู้เขียน] ไปไหน?

ใช่ครับ คลาสเริ่มแล้วผมยังไม่ตื่น สิ่งแรกที่ผมเห็นคือ น้องม.ต้น 2–3 คนที่สนิทกับผมมาเรียกผมว่าคลาสเริ่มแล้ว เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปในห้องเรียนในสภาพงัวเงีย ทุกคนๆก็ต้อนรับผมด้วยเสียงหัวเราะ [โคตรอาย] นับเป็นหนึ่งในเรื่องฮาที่เล่าได้เรื่อยๆเลยแหละครับ

การอาบน้ำ

จากการที่ผมเป็นคนตื่นยาก ทำให้ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ตื่นช้าที่สุดในค่าย ผมไม่กินข้าวเช้า [ตื่นไม่ทัน] ผมอาบน้ำกลุ่มสุดท้ายแทบจะทุกวัน สิ่งที่น่าตลกคือ ผมจะเจอหน้าคนที่อาบน้ำกลุ่มสุดท้าย 4 เป็นหน้าเดิมๆเสมอ และยังเป็นเวลา 9.00 ที่เริ่มเรียนไปแล้วด้วย เนื่องจากห้องน้ำตั้งอยู่ด้านบนของห้องเรียน ทำให้ในทุกๆวัน คนในห้องเรียนจะได้ยินเสียงพวกผมอาบน้ำ เป็นกิจวัตรประจำวันไป 5555

แต่หลังจากนั้น ผมและรุ่นพี่อีก 3 คน ก็กลายเป็นกลุ่มที่สนิทกันมากในภายหลัง

อาหารการกิน

พูดถึงอาหารแล้ว ในค่ายจะมีการจัดอาหารให้ฟรีครบ 3 มื้อ โดยจะจ้างร้านอาหารตามสั่งในโรงเรียนมาทำให้ ในแต่ละวัน อาจารย์จะให้โหวตเลือกอาหารของวันพรุ่งนี้ และร้านจะทำมาให้ คล้ายบุฟเฟ่ต์ คือเป็นถาดเรียงไว้ให้ตักข้าว และ กับข้าว ตามต้องการ ซึ่งพวกคุณป้าก็เอ็นดูผมมาก เนื่องจากผมเป็นคนตัวใหญ่ พวกท่านเลยตักให้ผมเยอะเป็นพิเศษ แล้วพูดว่า “กินเยอะๆ เดี๋ยวไม่อิ่ม” ผมได้แต่น้ำตาไหลอยู่ในใจ อยากจะบอกว่า ตัวจะระเบิดแล้วครับ T^T

ไฮไลท์อยู่ที่ตอนกลางคืน เพราะค่ายไม่อนุญาติให้ออกนอกโรงเรียนระหว่างวัน ทำให้ในช่วงก่อนเริ่มคลาสดึก อาจารย์ค่ายจะพาเด็กๆออกไปเซเว่น ด้วยความที่ค่ายมีเบี้ยเลี้ยง และเงินอัดฉีดอย่างเต็มที่ของพ่อกับแม่ ผมก็ซัดขนม น้ำหวาน ไอติม ซะเต็มที่เลย และหลังเลิกคลาสดึก หากใครหิว โรงเรียนจะตั้งถ้วยมาม่า + กาน้ำร้อน ไว้ให้ เด็กๆก็ซัดกันซะเต็มที่ จนต้องเติมทุกๆ 2 วัน เล่นเอาตัวบวมเลย 😂

#เข้าค่าย สอวน. แล้วน้ำหนักขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องตลก

การเตรียมตัวสอบ

ถึงผมจะเป็นเด็กเก่า แต่ก็เป็นเด็กเก่าที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย ทิ้งทุกอย่างไว้ตอน ม. ต้น ถึงเนื้อหาในช่วงแรกๆ จะพอทำได้ แต่เนื้อหาตั้งแต่กลางๆ ค่าย ผมเหมือนเริ่มจาก 0 เลย

ผมไม่ต้องการล้มเหลวเหมือนปีที่แล้ว ผมจึงไปถามรุ่นพี่ที่เป็น 1 ใน top ค่าย (และ 1 ใน แกงค์อาบน้ำ 9 โมง) ว่า ทำไมพี่เก่งขึ้นกว่าปีที่แล้วมาก ทั้งๆที่ปีที่แล้ว พี่ก็ทำได้พอๆกับผมเลย ซึ่งทำให้ผมได้คำสอนที่ผมใช้มาจนถึงทุกวันนี้

ทำตัวให้เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว ไม่รู้ต้องถาม อย่าถือทิฐิว่าตัวเองเก่งกว่าใคร

ผมไม่รู้ตัวเลย ว่าจนกระทั่งถึง ณ ตอนนั้น ผมเป็นคนที่ถือทิฐิว่า “ต้องทำเองให้ได้” ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร เพราะผมมาจากห้องเรียนพิเศษ วิทย์-คณิต หรือเปล่า? หรือเพราะผมเป็นสายแข่งขันมาตลอด จึงอายที่จะขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง

หลังจากที่ผมทำลายกำแพงนั้นลงได้ ผมก็ไปคลุกคลีอยู่กับรุ่นพี่ ให้เขาสอน, ใบ้, เฉลย หรือ แนะนำโจทย์ กลายเป็นว่าผมพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด

ผมมาถึงจุดนี้ได้ ขอบคุณพี่มากๆเลยครับ 🙏

การสอบ

ถึงแม้จะเตรียมตัวมาดีกว่าปีที่แล้ว พอถึงตอนสอบ ความตื่นเต้นน้อยลงกว่าเดิม กำลังใจในการสอบก็ดีขึ้น

แต่ผลการสอบก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิด มีการสอบ 3 รอบ ผมได้คะแนนอยู่ประมาณนึง แต่คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วงว่าจะผ่านเข้าค่าย 2 หรือไม่

โชคดี ที่ปีนี้ค่าย 2 รับเพิ่มจาก 20 เป็น 30 คน ทำให้ผมผ่านเข้าค่าย 2 ได้อย่างฉิวเฉียด

ผมรู้ตัวแล้วว่าผมเตรียมตัวมาไม่มากพอ หากผมอยากไปให้สูงกว่านี้ ผมต้องเตรียมตัวให้มากกว่านี้ ผมจึงใช้เวลาที่เหลือก่อนเข้าค่ายสอง…

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ หากมีเวลาว่าง ผมจะมาเขียน Blog นี้ต่อ

หากผมเขียนอะไรให้ใครไม่พอใจ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

--

--