สรุปเนื้อหาสาระที่ได้จากงาน What The Duck #3

Wa Sakunset P.
10 min readDec 18, 2022

--

What The Duck #3

สวัสดีครับเพื่อน ๆ เมื่อวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2022 ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปร่วมงาน What The Duck ซีซั่น 3 ซึ่งเป็นงานอีเว้นท์ฟรีสุดยิ่งใหญ่ประจำปีที่รวบรวมเหล่า Speakers ระดับแนวหน้าในเรื่อง Tech ของประเทศเลยครับ งานนี้จัดขึ้นที่ Wisesight BASE33 ที่สำคัญคืองานนี้มีเบียร์ และพิซซ่าให้เราเดินไปเติมได้ฟรีตลอดงาน

งานนี้ตอนเปิดให้ลงทะเบียนเต็มไวมาก แค่ 1 นาทีก็ครบ 100 ที่นั่งแล้ว ไม่มี Live ไม่มีลง VOD ย้อนหลัง ผมเลยจดบันทึกและสรุปเนื้อหาสาระที่ได้จากงานนี้มาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ อ่านกันครับ เอาล่ะเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศในงานหาเบียร์สักแก้วมาดื่มแล้วลุยกันเลย!

What The Duck Poster by DataRockie

Disclaimer: เนื่องจากเป็นการจดบันทึกโดยตัวผมเอง ผมจะสรุปเนื้อหามาให้อ่านเข้าใจง่าย เนื้อหาอาจจะไม่ได้ครอบคลุมสิ่งที่ Speaker พูดทั้งหมด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้ร่วมงาน What The Duck ลำดับการเล่าเรื่องใน Medium ผมจะเล่าเป็นเรื่องราวตาม Sequence ของงาน และหากมีความเห็นของผมเองที่อยากจะเสริมให้เพื่อน ๆ เข้าใจมากขึ้น ผมจะแยกพาร์ทกำกับไว้อย่างชัดเจนครับ

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก Guest Speaker

What did we learn from them, from interview

โดย พี่ต่อ พี่ป๋อม หมีเรื่องมาเล่า

พี่ต่อ พี่ป๋อม หมีเรื่องมาเล่า

พี่ต่อกับพี่ป๋อมจากหมีเรื่องมาเล่า พี่ต่อเป็นสาย Data พี่ป๋อมเป็นสาย UX มาเล่าถึงสิ่งที่ทั้งสองคนได้เรียนรู้จากการพูดคุยในรายการ podcast ของหมีเรื่องมาเล่า พี่ทั้งสองคนเลยหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจมาพูดคุยและแบ่งปันเรื่องราวให้ฟังครับ

  • Passion ไม่ใช่แค่การออกไปตามหา (by BASE Playhouse) passion ไม่ใช่เจอแล้วใช่เลยแต่เป็นการที่เราต้องไปลุยกับมัน ล้มลุกคลุกคลานกับมัน เพื่อที่จะรู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบมัน ทำกับมันมานานมากพอ เช่น การทำงานจนอยู่ flow state ถ้าเราเจองานแบบนี้ได้แสดงว่าเราชอบกับมัน ทุกงานมันจะมีส่วนที่เราชอบมีส่วนที่เราไม่ชอบอยู่ที่ว่าส่วนที่เราชอบมันเอาชนะได้ไหม
  • Not find your passion, do it! เพราะ Passion ไม่ใช่เรื่องที่จะออกไปค้นหาแล้วติ๊กถูกเลยเพราะงั้นลงมือทำมันซะ
  • Developer has empathy จริง ๆ แล้วสามารถใช้ได้กับทุกตำแหน่งทุกคน ระดับของ empathy ไม่เท่ากันอย่างพี่ป๋อมคิดว่ามันมี 3 ระดับคือ ระดับงาน ทีมงาน และองค์กร เช่น UX เล่าที่มาที่ไปให้กับ dev เข้าใจ dev เป็นคนเขียนโค้ดไม่ได้สัมผัสกับ user โดยตรง ถ้าให้ dev อินได้คือดีมาก ทำให้ทุกคนอินกับงาน อย่าเพิ่งตัดสินอะไรทั้งสิ้น มองหาความเป็นไปได้ร่วมกัน
  • “เราไม่ต้องประชุมกันก็ได้นี่” (by หมออิ๊ก Ooca) พูดถึง Asynchronous meeting อย่างแรกคือ document everything ซึ่งมันจะตรงข้ามกับ Agile เพราะเวลา WFH มันไม่ได้เจอกันเราไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายยังไหวหรือไม่บางทีเวลานัดประชุมเราก็ไม่รู้ว่าอีกฝั่งเค้าประชุมจนล้าไปแล้วหรือเปล่า ดังนั้นการจดเพื่อให้คนในองค์กรอ่าน เคลียร์กันค่อยคุยกันไม่ต้องรอมีทติ้ง หมายความว่า เราไม่ต้องประชุมกันทุกเรื่องก็ได้ พี่ป๋อมกับพี่ต่อเสริมว่าการมีพื้นที่ของ parking lot สำหรับทิ้งคำถามไว้ให้คนมาตอบก็สามารถช่วยเรื่องนี้ได้ เพราะเรื่อง Transparency ใน Scrum สำคัญมาก
ประชุมทั้งวันไม่ใช่เรื่องเท่ WFH อย่างไรให้มีความสุข
  • Supporting team, empower team เมื่อเราอยู่ในปัญหาขอให้เรารู้ว่าเรากำลังมีปัญหา รับรู้ การทำความเข้าใจ ยกตัวอย่างของการทำ Consultant เพราะการเป็น Consult ต้องรับฟังทั้งลูกค้าและเสียงของทีมด้วย ยกมือเมื่อต้องการความช่วยเหลือ เรียนรู้ที่มาที่ไปของงานตัวเอง ที่สำคัญคนเป็น lead เหนื่อยได้แต่อย่าแสดงออกให้ทีมเห็นเพราะมันจะเหนื่อยกันหมดเป็นสิ่งที่ต้องระวัง
  • อยาก connect the dot คุณต้องมี dot ก่อน (by พี่ต้า Skooldio) ต้องอ่านเยอะๆเรียนรู้เยอะ ๆ แล้วคุณจะ connect the dot ได้เพราะถ้า dot น้อยมันก็มีวิธีลากเส้นได้น้อย อย่าเพิ่งรีบไป optimized และอย่าลืมเอาไปใช้ด้วย
จัดการตัวเองอย่างไรในโลกที่ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต
  • Handle with Team’s bias (by พี่ต่อ Wisesight) การปฏิบัติกับทุกคนไม่ได้เหมือนกันเป๊ะ ๆ บางทีคนที่มองเห็นการรับรู้ของอีกฝ่ายทั้งสองที่มองเรามาก็มองเห็นไม่เหมือนกัน บ่อยครั้งที่หัวหน้าทีมมี resources ระดับนึงแต่ทีมอาจจะมีความสามารถในการรับหรือเรียนรู้ Available ไม่เท่ากัน สิ่งที่สำคัญคือการคุยกันสื่อสารภายในทีม มีไรให้รีบบอกสื่อสารกันให้ได้

อันนี้ผมขอเสริมประเด็นการสื่อสารคือ คนเราถ้าอยากลดปัญหาที่เกิดขึ้นจากการสื่อสาร เราควรสื่อสารให้มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน เคยได้ยินไหมครับคำพูดประมาณว่า “คุณต้องการจะสื่ออะไร” อันนี้เป็นเรื่องของจุดประสงค์ ส่วนวิธีการสื่อสารก็อีกประเด็นหนึ่งเพราะแต่ละคนมีวิธีการรับมือบทสนทนาไม่เหมือนกันบางคนอาจจะรับได้มากหรือน้อย สังเกตได้ว่าการสนทนาจะไปได้ด้วยดีต้องอาศัยความร่วมมือทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้การปฎิบัติต่อผู้อื่นมันจะมีความแตกต่างกัน ที่สำคัญคือรับฟังคู่สนทนาอย่างตั้งใจและพูดคุยอย่างจริงใจครับ

How to make your life a product

by พี่พลอย Anunya พา Learn (@anunyapalearn)

พี่พลอย อนัญญา

พี่พลอยเคยเป็น co-founder tech startup มาแล้ว 3 ตัว ดังนั้นเรื่องที่พี่พลอยพูดถึงคือ “เราสามารถทำชีวิตให้เป็นโปรดักส์ได้ไหมนะ” พี่พลอยเล่าว่ามันเริ่มจากการที่ทำงานมีประสบการณ์แล้วได้มีโอกาสไปสอนไปบรรยาย แล้ว Audience ที่ฟังก็มีการขยายสเกลไปเรื่อย ๆ จากตอนแรกที่เล่าให้ Product Manager ด้วยกันเองก็กลายมาเป็น Tech people พอสักพักก็เป็น non-tech people มานั่งฟังด้วย ทีนี้มันจะมี buzz words มากขึ้นมีศัพท์เฉพาะที่บางครั้งผู้ฟังก็จะไม่เข้าใจ วิธีแก้ของพี่พลอยก็คือเอาเรื่องประสบการณ์ชีวิตตัวเองมาเล่ามันอธิบายลองเอามา merge กับ product นั่นเอง

พี่พลอยพูดว่าจริง ๆ แล้วชีวิตคนเราก็เปรียบเหมือน product คือมันต้อง do the right thing, do the thing right, and do it fast ทั้ง 3 อย่างนี้เป็นคุณสมบัติของโปรดักส์ที่ดี สำหรับใน What The Duck #3 เป็นลักษณะ Lightning Talks สั้น ๆ พี่พลอยเลยพูดถึงแค่ในส่วนของ do the right thing ครับ

Do the right thing

การคิด Product สักอย่างหนึ่งให้ออกมาดีได้ควรนึกคำถาม 3 อย่าง

  1. What user want คือ เวลาเราจะสร้าง product ชิ้นนึงมันตอบโจทย์ลูกค้าหรือไม่
  2. What make company survive คือ ตอบโจทย์บริษัทเราหรือเปล่าเพราะถ้าไม่ บริษัทก็ไม่สามารถอยู่ได้
  3. What we can do คือ เรามี potential ในการทำสิ่งนั้นหรือไม่
Do the right thing

3 คำถามนี้สำคัญมากเพราะเวลาทำสิ่งบางสิ่งมันควรไปในสิ่งที่ควรทำ ตรงกับเป้าหมาย ตอบโจทย์ตามต้องการได้ ซึ่งมันคล้ายกับชีวิตคนเรา สิ่งที่เราทำอยู่มันเป็นสิ่งที่เราชอบไหม เป็นสิ่งเราต้องการหรือเปล่า แล้วเราจะอยู่รอดไหมมันสามารถเลี้ยงชีพเราได้หรือไม่ และเราสามารถทำมันได้ดีหรือเปล่า

ถ้าพูดถึงว่า 5 ปีต่อจากนี้เราน่าจะเป็นยังไง เราเคยคิดถึงตรงนี้หรือไม่ ไม่มีก็ไม่แปลก สิ่งนี้คือ vision บางอย่างมันต้องทำไปก่อนบางทีอาจจะไม่เจอ vision ก็ได้ หลาย ๆ บริษัทหรือ startup บางเจ้าก็ไม่ได้กำหนด vision มาตั้งแต่แรก

การทำ Minimum Viable Product (MVP) ของ Lean startup สำคัญมาก และนอกจาก internal feedback แล้ว external feedback ก็ช่วยในการวิเคราะห์ตัวเองได้เหมือนกัน ทำออกมาให้เต็มที่และพัฒนากันต่อไป

สร้าง Innovation ให้องค์กรผ่านการทำ Research

by พี่นัท Nat Kessurang Designil

ยิง google meet กันมาเลย

สำหรับของพี่นัท ดูอลังมากเพราะ phone in มาจาก Australia กันเลยทีเดียว ซึ่งพี่นัทมีประสบการณ์ทำงานเป็น UI Specialist ที่ Commbank, Australia มาอธิบายในเรื่องการเป็น Researchers เพราะว่าปัจจุบันสาขาของสายนี้มันกว้างมาก เช่น UX, Service, Design และอื่น ๆ คือไม่ได้มีแค่ UX/UI แล้ว และมันสำคัญเพราะสามารถสร้าง innovation ใหม่ ๆ ให้กับองค์กรได้ การทำ Research จะทำควบคู่กันกับ Experiment ซึ่งการทำการทดลองมีหลายกรณี ขี้นอยู่กับการใช้งาน เช่น

Pilot/trying

  • ทดลองอะไรใหม่ ๆ โฟกัสไปที่การเปลี่ยนแปลง
  • ใช้กลุ่มผู้ทดสอบ เช่น ลูกค้า, พนักงาน, พาร์ทเนอร์
  • เหมาะสำหรับค้นหาสิ่งที่เรายังไม่ค้นพบ
  • ใช้ระยะเวลาน้อยถึงปานกลาง
  • วัดผลอย่างแม่นยำได้ยาก

Lab experiment

  • ค้นหาสิ่งที่เราต้องการรู้แบบเจาะจงโดยใช้ศาสตร์ของ Behavioral Theory
  • อยู่ในพื้นที่ที่ควบคุมปัจจัยโดยรอบได้
  • เหมาะสำหรับทดสอบไอเดียทางด้านการออกแบบใหม่ ๆ หรือฟีเจอร์ใหม่โดยเฉพาะ
  • ใช้ระยะเวลาปานกลาง
  • ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานในประเทศไทยโดยเฉพาะ เพราะทำในแล็บประเทศไทย

Field experiment

  • วัดผลสิ่งที่เราต้องการรู้ว่าอะไรส่งผลกระทบต่อลูกค้าโดยตรง คือวัดกับลูกค้าเรา
  • ทำการทดสอบแบบเดี่ยว ๆ เพื่อวัดผลกับกลุ่มเป้าหมายจำนวนจำกัด
  • จะทดสอบเกี่ยวกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทเรา
  • ใช้ระยะเวลาวางแผน และการวัดผลนาน

High frequency testing

  • ทดสอบการตัดสินใจแบบ real time และทำบ่อยครั้ง
  • ไม่มีเรื่องของ Theory driven แต่จะอยู่บนพื้นฐานของ A/B Testing
  • ต้องใช้ผู้ทดสอบจำนวนมากในการวัดผลแต่ละแบบ
  • สามารถ Automated ได้ ใช้ระบบ AI ได้
  • ใช้งบประมาณจำนวนมากในการทดสอบ
  • มีข้อจำกัดด้าน Innovation และการหาไอเดียใหม่ ๆ

ใน Talk ครั้งนี้พี่นัทก็เลยขาย Lab Research เป็นพิเศษว่ามันน่าสนใจยังไง

ข้อดี ข้อเสียของ Lab Research

เนื่องจาก Lab experiment เกี่ยวข้องกับ Behavioral Theory โดยตรงพี่นัทเลยยกตัวอย่างเคสที่ใช้ Behavioral Theory ที่น่าสนใจเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญในการออกแบบสำหรับธุรกิจมากขึ้น

  • case 1: เคสการชำระค่าบัตรเครดิต แน่นอนว่าทางธนาคารก็อยากให้ลูกค้าจ่ายเงินตรงเวลาไม่เป็นหนี้ ในหน้า UI การชำระเงินการบอกตัวเลขเลยเนี่ยจะให้คนอยากจ่ายไหม การบอกว่าถ้าจ่ายขั้นต่ำจะเจอหนี้เยอะมากต้องใช้เวลาเยอะมากถึงจะปลดหนี้ได้ การทำเหล่านี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าหรือไม่ เพราะหากทำไม่ถูกอาจจะทำให้ส่งผลตรงข้าม คนเป็นหนี้มากกว่าเดิมก็ได้
  • case 2: เคสการออกแบบหน้าตากราฟของการเก็บเงิน ลองนึกถึงแอปธนาคารที่ช่วยให้เราเก็บเงินเพื่อบรรลุเป้าหมาย ประเภทของกราฟจะส่งผลต่อการเก็บเงินหรือไม่ ซึ่งรีเสิชพบว่าหน้าตากราฟไม่ส่งผลต่อการเก็บเงิน แต่พบว่าการตั้งเป้าหมายในการซอยย่อยเป้าหมายจะส่งผลมากกว่า เช่น อยากซื้อบ้าน 100,000 แล้วซอยแบบเก็บได้ 30,000 แล้วนะอีก 60,000 ใกล้บรรลุเป้าหมายแล้ว กล่าวคือมีการแสดง progress bar จะช่วยมาก
  • case 3: การใช้ Social norms แรงจูงใจทางสังคม ใช้ทฤษฎี Behavioral Theory เช่น การแยกขยะที่ส่งเสริมสร้างแรงจูงใจให้เรารู้สึกดีเมื่อเราอยู่บนบรรทัดฐาน ประมาณว่า 80% ของคนที่นี่ทิ้งขยะลงถังนะ เราก็จะพยายามเป็นคนที่ดีในสังคมนั้น
  • case 4: สงสัยว่าทำไมคนกินอาหารร้านเราแล้วทิ้งไม่ลงถัง เราสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรบ้าง แบบแรกเป็น Social norm ลองแปะป้ายให้เห็นถึงความสำคัญของการทิ้งลงถัง แบบสอง Gamification ลองนึกภาพใส่เพลงเข้าไปเวลามีคนทิ้งขยะทำให้คนประหลาดใจเวลาทิ้งลงถัง แบบสามคือ บุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระ ข้างกล่องอาจเขียนว่า คนนี้ออกแบบกล่องประกอบกล่องนี้มาอย่างยากลำบากโปรดทิ้งกล่องนี้ให้ลงถัง

สรุป การทำรีเสิชไม่ได้มีแค่ UX/UI แล้ว และ Behavioral Research ทำให้เรารู้สิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนด้วยการใช้หลักวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา สุดท้ายคือการทำ Lab research ช่วยให้เราสร้าง innovation ใหม่ ๆ กับธุรกิจได้ดี แนะนำสุด ๆ

Make extra income from what you love

by พี่เพิร์ธ Perth Data TH — Data Science ชิลชิล

ภาคต่อจาก What The Duck #2

สร้างรายได้เสริมอย่างไรให้มีความสุขไม่ต้องวิ่งทะลุ comfort zone

ของพี่เพิร์ธก็ส่งตรงจากออสเช่นเดียวกัน เพราะทำงานให้ Canva ในปีที่แล้วพี่เพิร์ธพูดเรื่องการจัดการเวลาซึ่งผมเองไม่ได้มีโอกาสฟัง ปีนี้พูดถึงเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ สำหรับเรื่องเงินยังไงก็เป็นสิ่งที่สำคัญอันดับต้น ๆ ของทุกคนเพราะฉะนั้นการหารายได้เสริมเพิ่มเติมนอกจากรายได้ประจำเป็นสิ่งที่ควรทำ

“Don’t put all your eggs in one basket”

อย่าเอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าเดียวกัน การเงินก็เช่นกันเราจะนึกถึงการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนที่หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น สำหรับการหารายได้เสริมพี่เพิร์ธบอกว่าก็มีลักษณะคล้ายกันกับเรื่องนี้ครับ เพราะการมีรายได้ทางเดียวแม้จะเป็นรายได้ประจำก็เหมือนตะกร้าใบเดียว ถ้าเรามีรายได้หลายทางก็จะแก้ปัญหารายได้เป็น 0 ก็ยังพอมีเงินที่ช่วยตรงนี้ได้เรื่องค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังเสนอวิธีการหารายได้เสริม เช่น

  1. การสอน เปิดคลาส เป็นการใช้ความรู้ที่เรามีอยู่แล้วมาหารายได้เสริม
  2. ให้คำปรึกษา เป็นที่ปรึกษา เป็นการใช้ความรู้ที่เรามีอยู่แล้วมาหารายได้เช่นกัน
  3. ขาย product, service ขายของออนไลน์ อาจจะเป็นรูปแบบของ Freelance
  4. การรับโปรโมทสินค้า affiliation การแปะโค้ดหลังจากทำโพสต์รีวิวสินค้า หรือการขายสินค้าคนอื่นแบบ dropship อันนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน
ไอเดียวิธีการหารายได้เสริม

พอเสนอวิธีจบพี่เพิร์ธไม่รอช้า บอกถึงข้อดีของการมีรายได้หลายทางว่ามันควรลงมือทำเดี๋ยวนี้!

  • ไม่ต้องกังวลความเสี่ยงจากงานประจำ
  • มีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
  • อาจจะได้สกิลใหม่ ความรู้ใหม่ๆมากขึ้น
  • ทำไปเรื่อย ๆ ในระยะยาวจะลดเวลาที่ใช้

สิ่งที่สำคัญ ย้อนกลับไปที่คำโปรยของหัวข้อนี้ “สร้างรายได้เสริมอย่างไรให้มีความสุขไม่ต้องวิ่งทะลุ comfort zone” ดังนั้นมี 3 ข้อที่เราต้องพิจารณาก่อนที่จะลงมือทำด้วย

  1. การตามหาตัวเอง เราชอบอะไรและมีคนจ่ายเงินให้
  2. หาไอเดียจากรอบตัวเรา ชีวิตก็เหมือนกล่องช็อกโกแลต เราไม่มีทางรู้ว่าเราจะได้อะไร เราไม่รู้ว่าชีวิตเราจะเป็นยังไง ในอนาคตถ้ายังไม่รู้อะไรก็ใช้ชีวิตไปก่อน
  3. เลือกงานประจำที่ตอบโจทย์ชีวิตเรา เพราะมันจะบอกว่าเราจะมีเวลาว่างกับเราขนาดไหน มีเวลาให้ตัวเอง มีเวลาให้กับการหารายได้เสริมอย่างไรบ้าง

เพราะชีวิตเรา เราต้องเลือกเอง

My mom always said life was like a box of chocolates. You never know what you’re gonna get.”

Forrest Gump

หลาย ๆ คนมักจะมองว่า งานประจำ เป็นงานที่มั่นคงความเสี่ยงต่ำ ในส่วนนี้ความเห็นผมผมก็คิดแบบเดียวกันครับ มีทั้งสวัสดิการที่มั่นคงและ benefits บางอย่างที่งานประเภทอื่นไม่สามารถให้เราได้ แต่ความเสี่ยงต่ำไม่ได้แปลว่าไม่มีความเสี่ยงครับ แม้แต่บริษัทที่ติดท็อประดับโลกก็มีประกาศปลดพนักงาน ถึงแม้จะมีการจ่ายเงินชดเชยให้ แต่ในระหว่างนั้นถ้าเรามีรายได้เสริมเป็นรายได้อีกช่องทางหนึ่ง เราก็จะลดความเครียดเรื่องค่าใช้จ่าย และมีเวลาตั้งสติในการโฟกัสหางานใหม่มากยิ่งขึ้นครับ

Product Manager sharing Knowledge

by พี่ส้ม Product Manager จาก True Digital

พี่ส้มแย็ปก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมาในธีมบอลโลกครับ

พี่ส้มแชร์ว่า พอพูดถึง TrueID เราจะนึกถึง Premier League (EPL) ทันที ในมุมมองการลงทุนอาจจะแพงมาก เพราะค่าลิขสิทธิของ EPL มีราคาที่สูงมาก แต่สำหรับ Marketing ทำให้คนรู้จักชื่อของ TrueID ได้ถือว่าคุ้มค่ามาก นอกจากนี้เป้าหมายของ TrueID หลังจากเริ่ม launch คือการเปลี่ยนแปลงให้เป็น Super App คือมีทุกอย่างครอบคลุมครบวงจร ซึ่งส่งผลต่อการออกแบบ UX/UI มากเพราะต้องออกแบบให้มันใช้งานง่ายที่สุด และครอบคลุมการใช้งานเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน TrueID มีทั้งเว็บ แอปพลิเคชัน และกล่อง OTT (Smart TV) ที่ครอบคลุม Ecosystem ทั้ง content, community, CRM/Commerce, Communication จะสังเกตได้ว่ามีสเกลที่ใหญ่ขึ้นมาก ดังนั้นการวางคนแบ่งงานตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ ก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน

Scrum Master Framework ของ TrueID

แต่ว่าการขยายกลุ่มผู้ใช้งานเป็นอีกเรื่องที่ท้าทายมาก การตีตลาดกลุ่มแต่ละกลุ่มก็ต้องดูว่าคุ้มค่ากับการลงทุนนั้นหรือไม่ พี่ส้มได้อธิบาย Strategies ของ TrueID ในปีหน้า (2023) ดังนี้

  • Fandoms ฐานกลุ่มนี้มีกำลังทรัพย์ที่สามารถจ่าย ยินดีที่จะจ่าย และสนับสนุนศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบอย่างเต็มใจ
  • Gaming ปัจจุบันกลุ่มของ Game & Esports มีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เป็นอุตสาหกรรมที่เป็นที่น่าจับตามองและลงไปเล่นอย่างมาก
  • Sports แม้ว่าจะถือสิทธิของ EPL แต่ว่าก็มีกีฬาอื่น ๆ เช่นเดียวกัน มีกีฬาที่หลากหลายและอยากผลักดันให้ TrueID เป็น King of Sports

การพัฒนาแอป TrueID ต้อนรับ FIFA World Cup Qatar 2022™

พี่ส้มอธิบายว่าการวางแผนทางกลยุทธ์สำหรับงาน Event สเกลใหญ่ต้องวางแผนให้ดี เลยมาแชร์กลยุทธ์ของ True ว่าทำอย่างไรบ้าง

  • Business: True ได้สิทธิในการถ่ายทอดสดผ่านทรูวิชั่นส์สามารถฉายสดได้ทุกช่องทาง แน่นอนว่าคนที่ใช้ Truemove ก็สามารถดูได้ผ่าน Cellular ได้ คนใช้เน็ตบ้านทรูก็ดูได้ผ่านเว็บ หรือหากใช้เครือข่ายอื่นสามารถจ่ายเงินเพื่อซื้อแพ็กเกจดูได้
  • Navigation: Today Page การทำ Super App ย่อมต้องออกแบบต้อนรับบอลโลกให้ชัดเจนและใช้งานง่าย เช่น เมนู Quick Access, Updates ข่าวหรือบทความ, Community talk หรือแม้แต่ Live Match Entry Point
  • Content Types: ต้องมีความหลากหลายครอบคลุมผู้ใช้งานทุกประเภท เช่น Live Match, Match Highlight, Preview, Top Goals, รวมถึง VOD (Video on Demand) ที่เป็นคลิปเต็มย้อนหลัง
  • Statistics: การนำเสนอข้อมูลเชิงสถิติที่น่าสนใจ ตารางการแข่งขัน สายการแข่งขันก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งในการดึงดูดผู้ใช้งาน
  • Poster Banner: การทำ Artwork สำหรับโปรโมทการแข่งขันเมื่อถึงรอบลึก เช่น รอบรองชนะเลิศ ชิงที่ 3 หรือรอบชิงชนะเลิศ

ความเห็นผมเรื่องการขยายฐานกลุ่มผู้ใช้งานสองอันบนน่าสนใจมาก ลองนึกถึงกลุ่มแฟนคลับของศิลปินไอดอลซึ่งมี Community ที่แข็งแกร่งมาก ปัจจุบันก็มีหลากหลายวงหลากหลายกลุ่มแฟนคลับและที่สำคัญคือ กำลังซื้อ สูงมาก การที่ได้พาร์ทเนอร์เพิ่มเข้ามาก็จะทำให้ผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

ส่วนเรื่องของ Gaming ผมมองถึงเรื่องของ Esports ก็น่าสนใจเหมือนกันเพราะ True จะกลายเป็น Telco เจ้าที่สองที่จะเข้าไปเอาส่วนแบ่งการตลาดในตลาด Esports อย่างจริงจัง ผมมองว่า Telco ทั้งสองเจ้ามีเงินทุนที่เยอะคิดว่าปีหน้าน่าจะคึกคักมากยิ่งขึ้น และหวังว่าการแข่งขันนี้จะผลักดันอุตสาหกรรมวงการเกมไปในทิศทางที่ดีขึ้นครับ

What (NOT) to do in AI projects

by พี่มุก, Chip, Evan จาก Thinking Machines Thailand

ภาพนี้พี่ทอยกำลังส่งเวทีให้พี่มุกเลย

Key pitfalls in ML

พี่มุกบอกว่าเนื่องจาก Thinking Machines เป็นบริษัท Consult ให้ลูกค้าดังนั้นจะเจอเคสหลากหลายมาก ทั้งหลากอุตสาหกรรมหรือหลายปัญหาที่เกิดขึ้น เลยอยากจะมาแชร์สิ่งที่ไม่ควรทำในการทำ AI Project ครับ

  1. Be explicit with all your goals — algorithms are extremely literal การตั้งโจทย์ต้องระวังเพราะ Machine Learning ไม่มี common sense ทำให้บางครั้งโมเดลมันเพี้ยน เช่น เคสสมัยก่อนที่มีคอนเทนต์คลิกเบทเยอะมากบน Facebook เพราะ Engagement มันเยอะแต่มันไม่รู้หรอกว่าคอนเทนต์มันไม่ดีเป็นคลิกเบท ดังนั้นการตั้ง Soft goals ก็เป็นสิ่งสำคัญการตั้งให้มันครบหรือเก็บไว้ในใจก่อนที่จะลงมือทำ นอกจากนี้ยังยกเคสของ world bank ลูกค้าอยากได้โมเดลที่เปรียบเทียบความเหมือนของเอกสารได้ ก็เลยไปโฟกัสที่ similarity score สรุปคุยกับลูกค้าแค่ Rule based ก็เพียงพอแล้ว เป็นต้น
  2. Don’t underrate software engineers แม้ tools ที่ใช้งานจะง่ายขึ้นแต่ software engineers ยังคงเป็นที่ต้องการอยู่ มันมีงานอีกหลายอย่างมาก ส่วนของ ML เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคที่ยิ่งใหญ่ workflow ในความเป็นจริงของ ML ไม่ได้เหมือนตอนที่เรียนมันยังต้อง evaluation, deployment, feedback loop อีกหลายขั้นตอนมาก
  3. Algorithms live or die based on training data — business must ensure wide and representative training dataset คือต้องมีข้อมูลเพียงพอ wider is better, diversity matters, data label must be correct

Last and most importantly, have encourage and have fun การทำพวกนี้ขอให้สนุก มีลองผิดลองถูก

Workflow ในตอนเรียนอาจจะมีไม่กี่ขั้นตอนแต่ของจริงมีมากกว่านี้

Productivity

by พี่เปรม BorntoDev

และสำหรับวัตถุดิบประจำสัปดาห์นี้ได้แก่!

พี่เปรมพูดถึง Productivity ของมนุษยชาติ ในสมัยก่อนยุคหินเราปรุงอาหารเพื่อให้ย่อยง่ายขึ้นเพื่อรับพลังงานเร็วขึ้น พวกเราพยายามหาวิธีการเพื่อย่นระยะเวลาเพื่อทำงานหรือสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นมากขึ้น ปัจจุบันโปรแกรมเมอร์พวกเราทำงานเดิม ๆ ของลูกค้า คือการเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ บริการของลูกค้าของเดิมให้เป็น automation แล้วทำไมเราไม่แก้ปัญหาของตัวเองบ้าง เริ่มจากการทำ software development เพราะการเขียนโค้ดคือการทำตาม pattern

ในทอล์คนี้พี่เปรมเลยแนะนำการใช้งานฟังก์ชั่น GitHub Copilot ที่ช่วยในการเขียนโค้ด ตรวจทาน หรือการทำงานอื่น ๆ เพื่อเพิ่ม Productivity เพื่อน ๆ สามารถดูคลิปที่รีวิวแบบละเอียดของพี่เปรม BorntoDev ได้ที่นี่

สารภาพว่ามันเยอะมากฟังก์ชั่นหลากหลายและผมไม่ได้สายนี้อาจจะไม่ได้อินมากนักและคิดว่าอธิบายให้เพื่อน ๆ อาจจะไม่ได้ดีพอ เพื่อนก็สามารถติดตามคลิปด้านบนนี้ได้เลย หรือหากไม่เคยใช้งานมาก่อนแล้วอยากศึกษาก็สามารถเรียน Course GitHub for Developer เรียนได้ฟรีจากทาง BorntoDev เช่นเดียวกัน

Key takeaway ที่สำคัญในความเห็นผมที่ได้จากการฟังของพี่เปรมคือ การหาเครื่องมือที่สามารถทุ่นแรงในชีวิตของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวกิจวัตรประจำวัน เป็นต้น ลองหาเครื่องมือเหล่านี้ที่เหมาะสมกับเราเพื่อย่นระยะเวลา ลดภาระที่เราต้องใช้สมองแบกรับมันให้เครื่องมือทำงานแทน บางอย่างน้อยไปก็ไม่ดีเยอะไปก็ไม่ดีหาอันที่เหมาะสมกับตัวเราครับ

พักหายใจสักครู่…

เราเพิ่งมาถึงครึ่งทางเท่านั้น หลังจากจบช่วงของพี่เปรม BorntoDev และ Speakers ท่านอื่นก่อนหน้า ก็มาถึงพาร์ทของเหล่าทีมงาน DataRockie แล้ว พาร์ทนี้จะประกอบไปด้วย พี่อั๋น พี่ยศ พี่ท็อป และพี่ทอย งั้นเดินไปเติมเบียร์ให้เรียบร้อยถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันต่อ

เบียร์ในงานแปะโลโก้ DataRockie อย่างเท่

When you understand how strategy work

by พี่อั๋น เพื่อนทอย born to shift

อั๋น เพื่อนทอย อันนี้คือตำแหน่งใช่ไหมครับ

เคสที่พี่อั๋นพูดเป็นเรื่องที่ห้ามเผยแพร่ ห้ามอัดเสียง ห้ามถ่ายรูป ผมเลยสรุปเนื้อหาสำคัญที่ตกผลึกออกมาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ อ่านกันครับ ปัจจุบันบริษัทที่เป็น Digital Transformation เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บุคคลที่ต้องตามให้ทันให้ได้คือ คนระดับข้างบนนั่นเอง เพราะถ้าเกิดตามไม่ทันจะทำให้มี Question mark ผุดขึ้นมาในหัวของพนักงานและนั่นจะส่งผลกระทบที่ตามมาครับ เพราะในตอนนี้ Global move fast แต่หลาย ๆ บริษัทในประเทศไทยกลับตามไม่ทัน ซึ่งส่งผลต่อ operation team การตัดสินใจและ Communicate top-down ลงมามีปัญหาเพราะตามไม่ทันนั่นเอง

ดังนั้นการวาง strategy, process, and execution เป็นสิ่งที่สำคัญมากและหลาย ๆ องค์กรก็จะมี Methods ของตัวเอง เช่น McKinsey, Accenture เพราะงั้นวางแผนและทำให้เต็มที่ครับ

Survive in data career with limitless

by พี่ยศ Data Team Lead CJ Tech มาลองเรียน

ไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อย but พูดโดย Data Team Lead CJ Tech

เนื้อหามาจากหนังสือ limitless ขีดจำกัดเดียวที่มันมีคือ “ขีดจำกัดที่เราเชื่อว่ามีอยู่” พี่ยศเลยพูดถึง 3M ที่จะมาช่วยทำให้เราเกิด Limitless ได้

Mindset

ความคิด ทุกวันนี้ที่เราใช้ชีวิตอยู่ก็อยู่บน mindset ของคนอื่น หมายถึง นวัตกรรมที่ถูกคิดค้นโดยคนอื่น เช่น เก้าอี้ หรือ iPhone ถ้าเราอยากใช้ของตัวเองคือเอาแนวคิดมาลงมือทำ Create possibilities ต้องต่อยอดจาก growth mindset เราเชื่อว่าเราสามารถทำสิ่งใหม่ ๆ ได้

ปัจจัยหลักที่เรามี mindset ที่ดีถ้าเราอยู่ในแวดล้อมแบบนั้น ประโยค Knowledge is power ผู้เขียนหนังสือ limitless บอกว่าไม่จริง ส่วนความเห็นของพี่ยศบอกว่าจริงครึ่งนึง เพราะถ้าเราไม่เอามาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์

Genius is born บางคนเกิดมาเพื่อลองผิดลองถูกเช่น สตีฟ จอบส์, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ถึงจะคิดค้นสิ่งใหม่ได้ ซึ่งสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเรา 10% คือสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ นอกนั้นเราควบคุมมันได้ 90% ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นหากเราควบคุมตัวเองหรือควบคุมในสิ่งที่เราควบคุมได้นั่นคือการมีความคิดที่ดี

Motivation

Motivation มี 3 อย่าง purposes, energy, และ small simple steps

  • Purposes คือ การมีเป้าหมายมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีหนังสือแนะนำอีกเล่มคือ “ทำไมต้องเริ่มด้วยทำไม เพราะการมี why ที่แข็งแกร่งทำให้เราไม่ลืม purpose ที่แท้จริง
  • Energy คือ ต้องมีร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพแรงกายที่ดี กินอาหารที่ดี ความคิดที่ดี avoid ANTs — automatic negative thought
  • Small simple step หนังสือสามเล่ม atomic habits, the power of habit, tiny habits ที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้

Motivation + habits = flow เมื่อเข้า Flow state ก็จะไม่เหน็ดเหนื่อยกับการทำงาน

Method

1. Active recall การทบทวนก่อนนอนหรือตอนอาบน้ำ

2. Spaced repetition การเว้นช่องว่างให้พื้นที่กับสมองบ้าง เช่น คอร์สให้เรียนสามวีคแต่เราอัดวันเดียวจบ แน่นอนว่าจำไม่ได้แน่นอนวีคผ่านไปก็ลืม เราควรให้เวลากับมันบ้าง

3. Manage the state you are in หากมู้ดไม่ดีควรพักทำอย่างอื่นก่อน เพื่อกลับมาทำให้ดีขึ้น

4. Use your sense of smell เป็นเรื่องบรรยากาศการทำงาน

5. Music for the mind เช่น เพลงในร้านกาแฟ ฟังเพลงระหว่างทำงาน ซึ่งอันนี้แล้วแต่คนชอบ บางคนไม่ชอบเปิดเพลงก็มี

6. Listen with your whole brain มีสติ เป็น active listening ตั้งใจฟังอยู่เสมอ

7. Take note การจดบันทึกสาระสำคัญ จดเฉพาะ key takeaways แนะนำ build a second brain ของพี่ทอย แนะนำหนังสือ learning how to learn

build a second brain

Ego is the enemy

by พี่อิงค์ เพื่อนทอย

มา White tone เลย

Ego คือ อุปสรรคในการใช้ชีวิต ถ้ามีอีโก้คุณจะฟังคนอื่นน้อยลง ลดโอกาสในการเห็นบางสิ่ง ไม่สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ คุณจะไม่สามารถ connect กับคนอื่นได้เลย ตัวเราเองเป็นคนที่ถูกหลอกง่ายที่สุด

ยกตัวอย่างบุคคลทั้ง 3 ท่าน คือ Ronald James Read, Richard Fuscone, และ Rajat Gupta ทั้งสามคนเป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน แต่ด้วย Ego จึงทำให้ 2 คนถึงกับต้องติดคุกติดตาราง แต่คนที่ไม่มี Ego กลับเป็นผู้ชนะ
Key takeaway คือ แม้จะเป็น millionaire ก็ยังต้องเป็นคนคนเดิมอยู่อย่าสูญเสียตัวตนไปกับ Ego มันจะทำให้การปฎิบัติต่อผู้อื่นดูแย่มาก เพื่อน ๆ สามารถอ่านเรื่องราวนี้อย่างละเอียดได้ จากหนังสือ The Psychology Of Money

Fight Club Moment ลองนึกถึงโมเม้นที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตแล้วตกผลึกมัน

พอได้เห็นคำพูดของร็อคกี้เฟลเลอร์ ผมมีหนังสือแนะนำเป็นหนังสือที่ดีมาก ใช้ได้กับทุกคน และที่สำคัญไม่จำกัดกาล (evergreen/timeless) หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนและแปลขึ้นมานานมากแล้วแต่ปัจจุบันยังคงใช้ได้อยู่ และมีเคสที่น่าสนใจเต็มไปหมด หวังว่าเพื่อน ๆ จะชอบครับ “วิธีชนะมิตรและจูงใจคน”

มาถึงพาร์ทสุดท้าย…

ความสนุกมันอยู่ตรงนี้ งานเริ่มประมาณเกือบทุ่มนึงฟังทอล์คไปหลายเรื่องสาระจัดหนักจัดเต็ม เราก็คาดหวังว่าทอล์คท้าย ๆ จะเบาสมองลงหน่อยส่วนหนึ่งเพราะดึกแล้ว อีกส่วนก็เพราะเมา 555 ปรากฏว่า พี่ท็อปและพี่ทอย พูดเรื่องควอนตัม ควอนตัมที่ไม่ใช่ยี่ห้อปากกา แต่เป็นฟิสิกส์ควอนตัมจริง ๆ

เนื่องด้วยเป็นเนื้อหาที่ยาก และซับซ้อนมากเกี่ยวกับควอนตัม ผมไม่อยากให้มันง่วงจนเกินไป เพราะฉะนั้นผมขอเรียนให้เพื่อนที่อ่านทราบว่า ผมจะพยายามสรุปบางเนื้อหาและหยิบยกตัวอย่างสื่ออื่น ๆ ที่คิดว่าน่าจะนำไปใช้ต่อได้ครับ

Quantum mindset

by พี่ท็อป เพื่อนทอย (Lead ML Engineer)

Quantum’s lens

เอาล่ะ ตอนเรียนมหาลัยผมก็งง ตอนฟังพี่ท็อปพูดผมก็งง อย่าหวังว่าผมจะถ่ายทอดออกมาได้แบบเป๊ะ ๆ มันอาจจะมีข้อผิดพลาดไปจากเนื้อหาจริงได้แต่ผมก็จะพยายามอธิบายให้เพื่อน ๆ ทุกคนเข้าใจครับ เนื้อหาเรื่องนี้ของพี่ท็อปคือ อยู่ ๆ ควอนตัมมันมาประยุกต์กับ mindset ได้อย่างไรมันเกี่ยวข้องกันได้ยังไง

ก่อนที่จะเข้าเนื้อหาแบบเต็ม ๆ ผมแนะนำดูคลิปนี้ก่อนเป็นคลิปของพี่ป๋องแป๋ง อาจวรงค์ จะทำให้เข้าใจเนื้อหาภาพรวมของทฤษฎีควอนตัมมากยิ่งขึ้นครับ

ชีวิตเราผ่านเรื่องราวมามากมาย ทั้งประสบความสำเร็จในบางสิ่ง ล้มเหลวในบางเรื่อง บางครั้งเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็บรรลุผล บางเส้นทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบทำให้ล้มเหลวไม่เป็นท่า และหากเรามองทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ให้เล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ จากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา > ร่างกายเรา > ร่างกายเราประกอบไปด้วยอวัยวะ > เซลล์ > อะตอม > ไปจนสิ่งเล็กกว่านั้นและเราจะพบว่าสิ่งที่เชื่อมโยงทั้งหมดเข้าด้วยกัน นั่นคือ พลังงาน ดังนั้นพลังงานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในทุก ๆ การกระทำต่อจากนี้

จักรวาลนี้มันประกอบไปด้วย Space & Time ส่งผลให้มันมีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เราลองนึกภาพหนังที่มันย้อนเวลาได้แต่ ณ ตอนนี้จินตนาการของมนุษย์มันไปไกลกว่านั้น คือ การมี Variant ของตัวเอง การมีตัวแปรของเราเองในจักรวาลอื่น สิ่งนี้มันดูเหลือเชื่อมาก มนุษย์เรามีความพยายามที่จะศึกษาเรื่องนี้และทดลองสร้างนวัตกรรมเชิงนี้ขึ้นมา เช่น แว่น VR จำลองอวาตาร์ตัวเองขึ้นมาในโลกเสมือน แต่สิ่งนี้มนุษย์ก็ยังไปไม่ถึง

ดู Rick and Morty อาจจะช่วยให้เห็นภาพขึ้น (มั้งนะ) แต่สนุกแน่นอนรับรอง

ลองนึกถึงพวกหนังก็ได้ครับ Doctor Strange in the Multiverse of Madness, Loki, Rick and Morty ที่อาจจะช่วยให้เห็นภาพมากขึ้นในเรื่องของจักรวาลและตัวแปร ประเด็นนึงที่ผมจับได้คือเรื่องของถ้าเราเปลี่ยนเรื่องตัวแปรของตัวเราเองไปเป็นว่า Goals ของเราเองสามารถโปรเจคบนควอนตัมเลนส์ได้ไหม

Goals ของเราเองสามารถโปรเจคบนควอนตัมเลนส์ได้ไหม

สิ่งที่สำคัญต่อจากนี้ที่อยากให้เพื่อนจำได้คือ พลังงาน (Energy) ที่เราพูดถึงไปตอนแรก อีกสิ่งหนึ่งคือ สติ (Conscious) ทุกสิ่งต่อจากนี้คือเราจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ส่วนประกอบ neural network ของมนุษย์

Mindful Matter

และ 3 สิ่ง factors ที่จะประกอบรวมกันได้คือ Environment, Body, และ Time

  • Environment คือ สิ่งที่อยู่รอบตัวเราแต่ไม่ใช่แค่รอบตัวเราเท่านั้น รวมถึงพฤติกรรมกิจวัตรของเราซ้ำ ๆ ด้วย environment จะผลิต memories ออกมาเพราะงั้นเราต้อง pick your environment, pick your poison สรุปคือ Environment มันเขียน neural network ของเรา
  • Body คือ นอกจากการกินอาหารที่ดี ออกกำลังกายแล้ว ความคิดจะส่งผลด้วย ถ้าเราคิดสิ่งดีๆ สมองก็จะสร้างสารเคมีที่ดีออกมาซึ่งส่งผลต่อร่างกายด้วย ลองนึกถึงเคสออกกำลังกายที่ต้อง Concentrate เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานมากยิ่งขึ้นเรื่องนี้เกิดขึ้นจากสมองของเรา ความคิดเป็นสิ่งที่สำคัญมากปกติแล้วคนเราจะมี 5% Conscious คือสติ และอีก 95% เป็น Sub conscious คือจิตสำนึก เราต้องควบคุมให้ร่างกายใช้สติในการทำสิ่งต่าง ๆ
  • Time คือ ตัวอันตราย เราต้อง appropriate moment ไม่ต้องรออนาคต เราใช้ชีวิตแบบในอนาคตไปเลย live greater than time (and space)

Creative Mode

สิ่งที่แนะนำคือการให้ตัวเราเข้าสู่โหมดที่เรียกว่า “Creative Mode”

  • The 3 factors are no longer invade
  • Live as “nobody”
  • No stress chemical produced
  • Self-aware
  • No thing, pure consciousness
  • Opened mind

และวิธีที่การทำให้คลื่นสมองเราสามารถอยู่ในคลื่นความถี่ที่เหมาะสมได้คือ การทำสมาธิครับ อันนี้เพื่อน ๆ อาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของการนั่งสมาธิ สิ่งนี้สามารถยืนยันได้และเป็นความจริงครับ

Untitled

by พี่ทอย เพื่อนของเพื่อนทอยอีกที DataRockie

ปิดไฟแล้วเริ่มเรื่องสยองขวัญได้เลย

Topic: Untitled

แน่นอนครับแม้จะพ้นเรื่องควอนตัมไปแล้วจากพี่ท็อป คราวนี้เรายังเจอควอนตัมกันต่อกับพี่ทอย ซึ่งตอนนี้ห้าทุ่มสมองผมได้ไหลออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพราะแอลกอฮอล์มันละลายสมองยังไงล่ะ ชื่อ talk เริ่มต้นมาเลยคือ Untitled พี่ทอย talk สุดท้ายทั้งทีกลับไม่มีชื่อเรื่องเสียอย่างงั้น ปิดไฟห้องสลัว ๆ พี่ทอยเริ่มด้วยการเล่าหนังสือ The strange and beautiful story of quantum physics- helgoland (carlo rovelli) เรื่องของ Werner Heisenberg เกี่ยวกับอิเล็กตรอน

“If you think you understand quantum mechanics, you don’t understand quantum mechanics.”
— Richard Feynman

ใช่ครับผมไม่เข้าใจอะไรเลย แต่เพื่อน ๆ สามารถศึกษาคำอธิบายที่น่าสนใจของควอนตัมฟิสิกส์ได้จากคลิปนี้ซึ่งพี่ทอยได้ใช้ส่วนหนึ่งในนั้นมาอธิบายอีกทีครับ

มันทำให้เราได้เห็นถึง Probability Density Function เราจะเห็นถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น มันบอกได้เพียงแค่ความน่าจะเป็นเท่านั้น และทุกอย่างที่เกิดใน Quantum Realm นั้นเป็น Wave functions เมื่อผ่านเข้ามาในโลกของเรามันจะ Collapse กลายเป็น Particle นั่นเองครับ

นอกจากนี้ Superposition เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้เพื่อน ๆ ได้ทำความรู้จัก แนะนำให้ดูคลิปนี้ครับ เข้าใจง่ายขึ้นเกี่ยวกับการทดลองแมวของชโรดิงเจอร์

แมวของชโรดิงเจอร์สอนอะไรเราเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม

จากข้างบนทั้งหมดก็น่าจะเพียงพอ? ที่จะทำความเข้าใจต่อได้ว่า โนเบลฟิสิกส์ ปีล่าสุดได้วางรากฐานควอนตัมยุคใหม่แล้วมันเป็นเรื่องของทฤษฎีความพัวพัน แน่นอนว่าผมไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจในภาษามนุษย์ได้เพราะผมก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญอะไรเลย จึงขอยกบทความภาษาไทย The Principia เขียนโดยคุณ Tanakrit Srivilas และ คุณ Takol Tangphati มาให้เพื่อน ๆ ลองอ่านทำความเข้าใจ หรือถ้าเพื่อน ๆ ไม่ชอบอ่านอยากฟังแบบมัน ๆ ก็คลิปด้านล่างของ The Secret Sauce ได้เลย

ทฤษฎีความพัวพัน ปัญหาโลกควอนตัม กับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ 2022 — The Principia

สำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่อยากอ่านอยากฟังมัน ๆ สามารถกดไปดูได้เลย

Your Brain is Already in The Quantum Realm

เมื่อพอรู้เรื่องก่อนหน้านี้แล้วสิ่งที่พี่ทอยพูดต่อมาคือเรื่องของสมอง เพราะสมองเราไม่ได้แค่ประมวลผลแค่เป็น 0 หรือ 1 จริง ๆ แล้วสมองคนเราเป็น A Prediction Machine เราเคยอาจจะได้ยินว่า ตาเราจะส่งภาพไปประมวลผลที่สมอง แต่จริง ๆ แล้วสมองเราต่างหากที่สั่งให้ตามองเห็นภาพต่างหาก

ลองจินตนาการว่า เราไปเที่ยวที่คาเฟ่แมว สมองเราก็คาดหวังว่าเราจะไปเจอแมวที่นั่น แต่เมื่อพอไปถึงแล้วเรากับพบว่ามันมีฮิปโปอยู่ในร้านคาเฟ่ ไม่ใช่แมวเสียอย่างงั้น สมองเราก็จะแบบ เอ๊ะ!?

“You look but you don’t see, you listen but you don’t hear, you touch but you don’t feel, you speak but you don’t think”
— Leonardo da Vinci

ภาพจาก Slide ของพี่ทอย อธิบายเรื่อง Predict Machine ของสมอง

เพราะว่าสมองเราทำการ predict ล่วงหน้าไปแล้วการทำแบบนี้มันทำให้ลดภาระของสมองมาก เหมือนกับว่า เออเดี๋ยวเราเห็นอันนี้แหละ ซึ่งถ้าผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนั้นก็ปล่อยผ่านไป แต่ถ้าไม่ใช่ตามที่ predict ไว้สมองก็จะเอ๊ะแล้วมองดี ๆ นั่นแหละครับ เคสนี้ยกตัวอย่างให้เห็นคือเรื่องของภาพลวงตาที่จริง ๆ แล้วมันสีเดียวกัน แต่สมองมัน predict ไปแล้วว่าด้วย pattern ลายแบบนี้มันควรจะเห็นต่างกัน ส่งผลให้เราโดนภาพลวงตาหลอก

ภาพจาก Slide ของพี่ทอย ภาพลวงตาตารางหมากรุกของ Edward Adelson

นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมยาหลอก Placebos จึงส่งผลหรือว่าการเห็นช็อกโกแลตแต่ทำจากวานิลลารสชาติมันกลับไม่ใช่วานิลลา จริง ๆ แล้วเราสามารถควบคุมสิ่งที่เรารับรู้ได้ด้วยสมองของเราเอง เพราะการรับรู้ความเป็นจริงของโลกนั้นเกิดขึ้นจากด้านในไม่ใช่ด้านนอกจากนั้นย้อนกลับไปที่ Werner Heisenberg กล่าวว่า

  1. The maximal amount of relevant information about an object is finite
  2. It is always possible to acquire new relevant information about any object

ซึ่งทั้งสองข้อมันกลับย้อนแย้งด้วยตัวของมันเอง ดังนั้นความเชื่อเดิมที่มีอยู่เมื่อได้รับข้อมูลใหม่ก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นความเชื่อใหม่ โลกและการรับรู้ความจริงของเราสามารถปรับได้จากข้างในคือสมองของเรา

Reality is your choice คือชื่อ topic ที่แท้จริงของพี่ทอยใน talk นี้ครับ

บทส่งท้าย

เนื้อหาของ Speakers แต่ละท่านมีเนื้อหาที่ดี + ลึกมาก สมกับการเป็น What The Duck ที่ตั้งใจให้ได้ฟังเรื่องที่ไม่เคยได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน บางเรื่องเป็น insight จากการทำงาน บางเรื่องเป็นเนื้อหาในหนังสือที่ประยุกต์ใช้ บางเรื่องก็ Nerdge ขั้นสุด บางเรื่องผมว่าจัดแยกเพิ่มเป็นอีก talk ได้เลย 5555

ขอขอบคุณ Speakers ทุกท่านที่มาพูดให้ความรู้ในงานมาก ๆ ครับ ดีใจมากที่ได้เจอ ขอบคุณเพื่อน ๆ ผู้อ่านทุกคนที่อ่านบทความนี้แม้จะอ่านไม่จบก็ตามเพราะมันยาวมาก ๆ

สิ่งที่ผมกำลังจะเขียนต่อไปนี้คือให้สังเกตว่า แม้เรื่องที่ Speakers พูดจะคนละเนื้อหากัน แต่ว่าเนื้อหาเหล่านั้นมันจะมีจุดที่เชื่อมโยงกัน มันสามารถ Map รวมกันได้ มันไม่ใช่แค่นำไปสู่การรีด Performance ของตัวเองในตอนทำงาน แต่เป็นการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพครับ

การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ

ลองนึกภาพตามว่า เรื่องของจิตใจ neural network จุดเล็ก ๆ ความคิดของสมองเรา ตรงนี้ที่ไม่ได้เกี่ยวกับแค่ทฤษฎีควอนตัมเท่านั้น แต่การปรับตัวเองให้เข้าสู่ Creative mode ได้นั้นมันจะต้องมีความคิดที่ดี ลด Ego ของตัวเองลงเพื่อลดอุปสรรคทางความคิด ซึ่งเมื่อทำได้มันเชื่อมโยงกับ Mindset ที่เป็น 1 ใน 3M ที่ปลดล็อคความเป็น Limitless เข้าสู่ Flow State และทำให้เราค้นพบ Passion ในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ใช่แค่การออกไปตามหา เมื่อเราค้นพบสิ่งที่เราต้องการแล้วเราก็สามารถนำสิ่งนี้ไปต่อยอด ทำให้มันถูกต้อง Do the right thing. ค้นหารีเสิชเพื่อสร้าง innovation ของตัวเอง วางแผนกลยุทธ์รวมถึงหา Productivity ที่ช่วยให้เราเข้าสู่ Flow State หรือ Deeper work ให้ได้นานขึ้น และเมื่อทำมันออกมาได้ดีก็สามารถก่อให้เกิดรายได้ทั้งรายได้หลักและรายได้เสริม เพื่อให้เราใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ และมีความสุขกับคนที่เรารักครับ

ย่อหน้าด้านบนคือเอาทั้งหมดมารวมกันหมดแล้ว (ผมว่าผมหลอนแล้วแหละ) แต่สิ่งที่สำคัญต่อมาคือการนำไปประยุกต์ใช้ หวังว่าความรู้เนื้อหาที่เขียนสรุปมานี้เพื่อน ๆ จะอ่านเข้าใจและสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันรวมถึงงานและเรื่องอื่น ๆ ของตัวเองได้

เก็บไปเท่าที่ใช้ได้เอาให้เหมาะกับตัวเอง

ความรู้ วิธีการ การทดลอง การนำไปปรับใช้เหล่านี้ ต้องหาว่าอะไรเหมาะกับตัวเอง ผมเองคงไม่ได้เอาทั้งหมดไปใช้เหมือนกัน ความแตกต่างของคนทำให้บางอย่างมันก็ต้องปรับเพื่อให้เหมาะสมตามของแต่ละคน

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ถูกใจสำหรับเพื่อน ๆ ทุกคนขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพครับ

--

--