5 ปี โปรแกรมเมอร์

Trust Tanapruk
3 min readDec 10, 2020

--

เขียน blog ครั้งล่าสุดก็

กลับมาเขียนอีกครั้งด้วย commit ที่ตั้งไว้ว่าอย่างน้อย อันนี้แหละที่ควรเขียน มันมีความไม่เคยชินมาเป็นตัวขัดขวาง ดึงไม่ให้เขียน แต่โชคดีที่เดือน ธค มีวันหยุดเยอะ ก็แค่ commit ว่าจะใช้เวลาวันหยุด 1 วันในการปิดจบงานนี้

Colemak พิมพ์ได้ไวขึ้น แต่..

น้องในทีมส่งบทความมาให้ว่า เปลี่ยน layout พิมพ์ เป็น Colemak

ขออธิบายก่อนว่า QWERTY layout ที่เราใช้ๆกันอยู่ มันออกแบบมาเพื่อให้เครื่องแป้นเหย้าในสมัยก่อน ทำงานได้สะดวก ไม่ได้คำนึงถึงประสิทธิภาพตัวที่ใช้งานบ่อยๆ เช่น ทำไม ; ถึงมาอยู่ที่ home row ที่กดง่ายที่สุดนะ

Dvorak Layout เป็นทางเลือกแรกที่ออกแบบว่าโดยคำนึกถึง efficiency แต่ layout มันฉีกจาก QWERTY เดิมมาก ต้องเรียนรู้โดยใช้เวลานานมาก

Colemak ถูกออกแบบมาให้เปลี่ยนจาก QWERTY ไม่กี่ตัว

ก็เลยบ้าจี้ลอง search google ไปเจอ tutorial มี 6 บทเอง ตั้งเป้าเดือนละบท แต่ลองไปลองมา แค่ 1 เดือนทำได้ครบแล้ว

พิมพ์ได้ไวขึ้นจริงแหละ แต่… ไม่ถูกใจภาพรวมเท่าไหร่

  1. คีย์บอร์ดเครื่องชาวบ้าน ยังไงก็เป็น qwerty อ่านรีวิวตอนแรกบอกคนเราก็ปรับตัวกลับไป qwerty ง่าย แต่นี่ผ่านมา 3 เดือนละ muscle memory ยังแยกไม่ขาดขนาดนั้นว่าตอนนี้พิมพ์ Colemak หรือ qwerty อยู่
  2. shortcut ก็เปลี่ยนตำแหน่งหมด จริงอยู่ ctrl+z, x, c อะไรก็อยู่ที่เดิม แต่ปุ่มอื่นนี่กระโดดไปไกลมั่ว เพราะระบบในเครื่องมันตาม character อยู่แล้ว
  3. ที่หนักคือ vim โอย ตอนนั้นกว่าจะ train ให้จำ vim ได้ อันนี้ต้อง train vim in colemak layout แม้จะมีวิธีเปลี่ยนโลกให้เป็นตามเรา อย่างการลง plugin vim for Colemak แต่รู้สึกว่าเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเยอะไป
  4. คนอื่นมาใช้คอมฯ เราไม่ได้เลย ก่อนให้ใช้ต้อง conscious ว่า keyboard ต้องเปลี่ยนเป็น QWERTY ก่อนนะ

แต่ก็คงอยู่ในสภาวะนี้ไปล่ะ เชื่อว่ามันจะมีจุดที่เราแยกประสาทได้ขาดว่า QWERTY หรือ Colemak อยู่

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็คงลองอยู่ดีแหละ อยากรู้ก็ต้องพิสูจน์

Browser เป็นโปรแกรมที่ใช้บ่อยที่สุด

ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ลงคอมใหม่ให้บริษัท แทบจะไม่ได้โหลดโปรแกรมอะไรใหม่ให้พนักงานเลย word, excel แทบจะไม่ลงให้ด้วย อยากให้เน้นใช้ solution online เสียมากกว่า google sheet, google docs หรือแม้แต่ google slides

อย่างแรกก็ live collab แก้ไฟล์กันได้สะดวกเลย ไม่ต้องเสียเวลาส่งไปมา และงงว่าไฟล์ไหนล่าสุด ถัดมา ก็เรื่อง performance ตัว excel มันกิน CPU เครื่อง ในขณะที่ google sheet มันโยนให้ server คิดให้อยู่แล้ว

โปรแกรมอื่นๆ track งาน เก็บไฟล์ ก็ไม่ค่อยใช้โปรแกรม offline แล้ว web app เกือบทั้งหมด ล่าสุดก็ใช้ ClickUp, notion

นอกนั้นก็เป็นโปรแกรมเฉพาะทาง ในแง่ programming ก็มีแค่ IDE ซึ่งต่อกับ git หรือในแง่ graphic ใช้พวก figma

COVID-19 กับธุรกิจ

ปีล่าสุดเป็นปีที่เพื่อนชวนมาทำด้วยกัน ปลายปี 19 มีวางแผนไว้ค่อนข้างสวยหรู เจอ covid เข้าไป แหล่งรายได้จากธุรกิจเดิมที่ค่อนข้างนิ่งแทบจะหายไปเลย มีการปรับธุรกิจหลายรอบ จนล่าสุดเข้าร่องเข้ารอย และ cash flow ชัดเจนขึ้น จนสิ้นปี 2020 ที่แม้ covid ยังหลอกหลอน ก็กลับเห็นโอกาสปี 2021 ที่มีแนวโน้มเติบโตอยู่

อันนี้รู้สึกว่าโชคดี ที่ได้เห็นการคุมบังเหียนบริษัทให้อยู่รอดได้ แบบสัมผัสได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช้อ่านข้อความที่คนอื่นเขียน เห็นการ improvise ดิ้นรนไป และเห็นว่า attitude สำคัญกว่าอะไร ถ้าฝ่อไปก่อน ไม่ตั้งใจไปเป้า ไม่จี้ให้จบ ก็ไปไม่รอด

รับผิดชอบตั้งเป้าให้คนอื่น

ความรู้สึกแปลกๆ ช่วงหลัง การตั้งเป้าซื้ออะไรให้ตัวเอง มันไม่ฟินเท่า ตั้งเป้าให้คนอื่น เช่น อยากได้ MacBook Pro ภายในสิ้นปี กับให้ทีมมี MacBook Pro ใหม่ทุกๆปี

แบบแรกก็อยากได้นะ แค่เก็บเงิน x บาท ซัก y เดือน ก็ได้แล้ว แต่แบบหลังมันยากกว่า คงต้องทำอะไรที่เหนือกว่าเงินเดือนตัวเอง อาทิ สร้างธุรกิจให้ยั่งยืนพอ ถ้าทำได้ มันคงรู้สึกเติมเต็มชีวิตกว่า

มองอีกมุมนึง จะไปสร้างปัญหาให้ตัวเองทำไม ทำให้ตัวเองก็พอแล้ว อันนี้ก็ถูก แต่ทำเพื่อตัวเองอย่างเดียว มันเริ่มไม่ท้าทายตัวเองพอ หลังจากได้ mindset นี้แล้ว ก็รู้สึกแปลกๆ ถ้าไปตั้งเป้าให้ตัวเองอย่างเดียว

แต่ถ้าทีมบอกไม่อยากได้เป้าที่พี่ตั้งให้ ก็ไม่เป็นไรแต่ละคนมีฝันของตัวเอง ถ้าสมมติเป้าใกล้เคียงกัน ก็โอเค ไปด้วยกันได้

การตัดสินใจเมื่อนำเอาคนอื่นเป็นที่ตั้ง แปลว่าเราต้อง sacrifice ความสุขบางอย่างของตัวเอง มันแปลกที่ก็เสียดายตรงนั้น แต่กลับรู้สึกฟินอีกมุมนึง เคยอ่านเจอว่ามันเป็นเคมีในสมอง ที่ได้ตอนเสียสละ serotonin และ/หรือ oxytocin มันจะฟินกว่า dopamine endorphine ที่ได้จากการทำเพื่อตัวเอง ชีวะวิทยา กำหนดให้คนเรา ต้องช่วยเหลือกัน

แต่..ขอดักไว้ก่อนว่ามันก็ไม่ใช่เสียสละตลอดจนตัวเองไม่เหลืออะไร อันนั้นก็สุดโต่งไป

bitcoin maximalist นึกไรไม่ออกซื้อ bitcoin

ช่วงปี 2017–2018 ก็เห่อ bitcoin ตามกระแส ที่ bitcoin ทำจุดสูงสุดราว $20,000 ก่อนพังครืดลงมาหลัก $4,000 — $5,000

ตอนนั้นเน้นเล่น altcoin เพราะพุ่งแรง แต่เมื่อตลาดเริ่มวาย พวกaltcoin นี่ไปแรงกว่าเพื่อนเลย ตัดสินใจ เลือกขายเหรียญ altcoin ที่ถือเยอะๆ เกือบทั้งหมดและอัดลง bitcoin ระหว่างทางก็ทะยอยซื้อเพิ่มเรื่อย ตลอดทางลง มีเห็นดีดขึ้นมา $10,000 นิดๆ และลงไปทัวร์ $6,000–$8,000 หลายรอบ แต่เลือกไม่ซื้อขายแล้ว hodl มาตลอด

จนตอนนี้ผ่านไป 3 ปี ราคา bitcoin ดีดกลับมาที่ $20,000 รู้สึกคุ้มที่รอ เพราะเม็ดเงินที่มั่วๆไป ตอนที่ซื้อของแพง ขาดทุนเหรียญ altcoin ก็ได้คืนกลับมาหมด แถมกำไรอีกระดับนึงด้วย

ตอนนั้นใช้กฏว่าเหรียญ altcoin เป็นขยะ bitcoin เท่านั้นที่เป็นของจริง ซึ่งก็โชคดีที่ตัดสินใจอย่างงั้นไป altcoin noname ที่เหลืออยู่ก้นถัง 10 ตัว ร่วงกว่า 60% — 90%ไปซัก 9 ตัว เหลือโอเคแค่ตัวเดียว และนอกเหนือจาก altcoin bitcoinที่ถืออยู่ ราว 95% ก็เป็นเดอะแบกนำผลตอบแทนคืนมา

ระหว่างทางที่ถือขึ้นมา พอกำไร 50% กำไร 80% และเห็นมันแกว่งร่วงลงไปเท่าทุนหลายรอบ มันก็มีความอยากขาย อยากเล่นรอบ แต่ตั้งกฏไว้ว่า ถ้าเล่นรอบ ก็ไม่มีทางได้เป็นเด้ง เพราะเราไม่รู้ว่า จังหวะไหนมันจะดีดมาทะลุ high แบบไม่รอเราจริงๆ

ในแง่วินัยการลงทุน ตอนซื้อก็ตั้งเป้า ถ้าขาดทุนเท่านี้จะขาย แล้วค่อยซื้อคืน แต่กลับทำไม่ได้ มันแกว่งแรงเกิน ไปๆมาๆ ถึงจุดนึง เราเริ่มไม่สนกำไรส่วนนี้แล้ว ตอนนี้กลายเป็นพฤติกรรมว่า มันแกว่งก็ปล่อยไป เงินก้อนนี้ตั้งใจปล่อยไปแล้ว และเราก็ได้สิ่งที่เราปล่อยไปแล้ว?

--

--