#บันทึก2017

Suttichai Pongsanont
2 min readDec 30, 2017

--

ปีนี้เป็นปีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขึ้นในชีวิต บางเรื่องแทบไม่ไหว แต่ก็ต้องอดทนและผ่านมันไปให้ได้ มันเหมือนเป็นบทเรียนที่ทำให้เราจดจำไปตลอดชีวิต

หลังหยุดปีใหม่ ก็เป็นการเปิดเทอมเข้าสู่ปี 3 เทอม 2 ถือว่าเป็นเทอมที่หนักหน่วงเหมือนกัน เรียนไป 22 หน่วยกิตเลย (หู้วววว 👂) เอาจริงๆที่หนักหน่วงไม่ใช่เรียนเยอะหรอก แต่มันคือการตื่นเช้าเพื่อไปเรียน อันนี้ไม่ไหวจริงๆ คือต้องอธิบายก่อนว่า ช่วงกลับบ้านมันไม่ค่อยมีอะไรทำ เลยติดซิทคอมยาวจนเปิดเทอม นอนดึกเลยไง ตื่นเช้าไม่ไหว

จริงๆ พอปลายเดือนก็เริ่มประชุมเตรียมค่ายแล้ว ค่ายมีตั้งเดือนพฤษภา แต่เริ่มเตรียมงานตั้งแต่มกรา คิดดูทุ่มเทขนาดไหน อ่ะๆ ไหนๆ ก็พูดถึงช่วงเตรียมค่ายแล้ว ต่อเลยก็ได้ คือก็ต้องประชุม 2–3 วันต่อสัปดาห์ แล้วต้องทำแบบนี้จนถึงปลายเดือนเมษา ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม ก็เหนื่อยนะ แต่พอได้เห็นหน้าน้องๆก็หายเหนื่อยแล้ว ได้ทำอะไรเพื่อใคร มันก็จะมีความสุขแบบนี้แหละ คงเป็นเพราะเหตุผลนี้แหละมั้ง ถึงได้ชอบทำค่าย

เดือนกุมภา มันเดือนแห่งความรัก ใครๆก็คงมีความสุขกับเดือนนี้สินะ แต่มันไม่ใช่สำหรับผม ถ้าถามว่าทะเลาะกับแฟนหรอ บอกเลยว่าเดาผิด เพราะยังไม่มีแฟน มีปัญหากับเพื่อนนี่แหละ คือวันนั้นเป็นวันวาเลนไทน์ ไอเราก็ไม่มีแฟน เลยกะจะไปหาเพื่อน พอไปถึงก็ทักเพื่อนไป ไม่อยากเล่าแล้วอ่ะ เอาเป็นว่าเพราะการไปหาเพื่อนครั้งนั้น ทำให้เราต้องเสียเพื่อนดีๆไปคนนึง พูดถึงทีไรน้ำตาก็ไหลทุกที เรียกได้ว่า เดือนนี้คงเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นในปีนี้เลยแหล่ะ

เดือนต่อๆไปก็มีทั้งงาน ทั้งเตรียมค่าย ทั้งเรื่องเพื่อน เรื่องที่บ้าน ทุกเรื่องมารุมเร้าเต็มไปหมด ทำได้แค่ยิ้มรับมันแล้วก็บอกตัวเองเสมอว่าต้องผ่านมันไปให้ได้

ปกติ สงกรานต์ผมต้องกลับบ้าน แต่ปีนี้ไม่ได้กลับ ตอนแรกก็คิดว่าคงเหงาน่าดู แต่ก็มีเพื่อนไปเที่ยว เย้ๆ เปืดประสบการณ์ใหม่ สงกรานต์ in bangkok city ก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ดีนะ วันแรกก็ไปสยามเดินแปปๆก็กลับละ วันต่อๆมาก็ไปสีลม คนเยอะมาก เดินไปทางไหนก็มีแต่กระเทยเรียกไปจับ ฮ่าๆๆ เอาจริงๆก็ทั้งเหนื่อยทั้งสนุกแหละ

พอถึงเดือนพฤษภา ความ shift หายก็มาเยือน (หาเจอยัง) เพราะมันคือการสอบ final ใครเคยอยู่มหาลัยก็จะรู้ว่าการสอบแต่ละครั้ง มันหนักหน่วงขนาดไหน ซึ่งผมก็มีสอบถึง 7 ตัว (เยอะมาก) อ่านแทบไม่ทัน ต้องจัดตารางตัวเองดีๆ บางคนเตรียมตัวสอบเป็นเดือน แต่ผมเป็นคนชิวๆ อ่านไวอยู่ เลยเตรียมตัวไม่กี่วันก่อนสอบก็น่าจะพอ (แค่คิดไปเองว่าพอ) ซึ่งพอสอบเสร็จก็คิดว่าทุกอย่างจะเสร็จใช่มั้ย แต่มันไม่ใช่สำหรับวิศวะคอม คือพอสอบเสร็จผมและเพื่อนก็ต้องทำ assignment กันต่อยาวๆไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน 1 วันเต็มๆ พอส่งงานเสร็จก็นอนยาวๆเลย ตื่นมาก็มืดพอดี แล้วก็ต้องเตรียมตัวสำหรับไปค่าย ที่อุตส่านั่งประชุมมาเกือบครึ่งปี แต่ก่อนที่จะไปค่าย ก็ต้องมานั่งปฐมนิเทศฝึกงานก่อน พอพูดถึงฝึกงาน ลืมไปเลยว่า ช่วงก่อนหน้านี้ ผมก็ต้องหาที่ฝึกงานกันวุ่นเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะฝึกงานสายไหนดี บริษัทไหนดี ไปกับเพื่อน หรือไปคนเดียว แต่สุดท้ายก็เลือกได้ ไปฝึกงานที่บริษัท backyard ไว้จะเล่าให้ฟังต่อ แต่ตอนนี้กลับมาเรื่องไปค่ายก่อนละกัน

พอปฐมนิเทศเสร็จ อีกวันก็ไปค่าย พาเด็กๆม.ปลายจากที่ลาดกระบังไปค่าย ค่ายนี้มันจัดที่โรงเรียนโนนสูงศรีธานี อยู่โคราชแหนะ โคตรไกล เป็นค่ายที่รับเด็กม.5–6 สายวิทย์ทั่วประเทศ เอาจริงๆค่ายนี้ทำให้เด็กม.ปลายหลายๆคนอยากเข้าลาดกระบังเหมือนกันนะ ถ้าอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง ลองมาเข้าค่ายนี้ดูนะ (ช่วงโปรโมทค่าย) ค่าย ping summer camp !! เย้ๆๆ เอางี้ ถ้าได้ลองเข้าค่ายของลาดกระบังไม่ว่าค่ายไหนก็ตาม จะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่จากรุ่นพี่ มันเป็นเหมือนเอกลักษณ์ของลาดกระบังเลยก็ว่าได้ จริงๆนะ

หลังจากจบค่าย ก็ต้องเริ่มฝึกงานเลย การฝึกงานวันแรก ก็ย่อมต้องผ่านไปด้วยดี พี่ๆก็ใจดีนะ ไม่ต้องเข้างานเช้าด้วย วันแรกพี่ก็พาไปดูร้านข้าวแถวนั้น ลืมบอกไปเลย ผมฝึกงานที่ Emquatier ก็ไกลจากลาดกระบังอยู่ ผมเดินทางโดยนั่งรถไฟ (รถไฟปู๊นนๆ นี่แหละ) แล้วก็ไปต่อ bts 9 สถานีก็ถึงล่ะ แค่เวลาไปทำงานก็เกือบ 2 ชม.ล่ะ ตอนแรกก็รู้สึกว่าเหนื่อย แต่พอผ่านไปเรื่อยๆก็ชิน การฝึกงานที่นี่ตลอด 2 เดือนมันดีมาก มันสนุกมาก พี่ๆเค้าเป็นกันเองสุดๆ เลี้ยงตลอด เอาเป็นว่าชีวิตดีมากในช่วงนั้น ติดอย่างเดียวคือ อยากทำงานให้มากกว่านี้ มันดูว่างๆไปนิดนึง (ไว้ถ้าว่างจะมารีวิวการฝึกงานที่นี่ให้นะ) รวมๆก็โอเค ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ได้ทำอะไรเยอะแยะทั้งที่เคยทำ และไม่เคยทำมาก่อน

ในระหว่างฝึกงาน ก็มีคนทักมาจีบ เอาจริงๆตอนแรกก็แค่ไปเม้นเค้าเฉยๆ ไม่คิดว่าเค้าจะทักมา ก็คุยกันปกติ มารู้ตัวอีกทีก็โดนจีบเเล้ว ไม่ดิ มารู้ตัวอีกทีก็รู้สึกดีไปแล้วต่างหากล่ะ ตอนแรกมันก็ดีนะ มันดีไปหมดเลย ผมทำอะไรก็ถูกไปหมดเลยนะ ถึงผมจะทำตัวแย่ๆก็ตาม พอหลังๆกลับไม่ใช่ ผมขอข้ามเรื่องนี้ไปละกัน ถึงเรื่องนี้มันจะมีอิทธิพลต่อชีวิตผมอีกเรื่องนึงในปีนี้ก็ตาม

พอฝึกงานเสร็จก็เปิดเทอม แต่เป็นเปิดเทอมปี 4 ปีสุดท้ายละสำหรับชีวิตมหาลัย โค-ต-รไว เอาจริงๆก็ไม่คิดว่ามันจะไวขนาดนี้ เป็นปีที่เรียนน้อยมาก มันจะมีวิชาเดียวที่เรียนเช้า แรกๆก็ตื่นไปเรียนนะ แต่พอหลังๆก็ไม่ตื่นละ พอมันเป็นปีสุดท้าย ก็เลยคิดว่าถ้าอยากทำอะไรก็ต้องได้ทำ แต่ก็คิดหนักเหมือนกันนะ ถ้าจะทำอะไรสักอย่าง กลัวทำแล้วมันออกมาไม่ดี แต่ก็กลัวว่าถ้าไม่ทำจะเสียดายทีหลัง

ขอเกริ่นให้ฟังก่อนว่า ตั้งแต่ปี1 ก็ได้รับโอกาสมากมายจากที่นี่ ให้ได้รับอะไรเยอะแยะมากมาย แต่บางอย่างก็ยังไม่กล้าที่จะทำ บางอย่างก็ยังไม่พร้อม ขี้เกียจเกริ่นล่ะ เอาเป็นว่า ก็ได้ทำหน้าที่เป็น”พ่อบ้านลักน้อง” เอาจริงๆก็ไม่กล้าทำหรอกนะ เพราะคิดว่ามันต้องเจอผู้คนมากมาย ต้องรู้จักคนเยอะแยะ (กรี่นั่นเอง ล้อเล่น) ตอนแรกก็แบบวุ่นวายมาก จากเป็นคนไม่ชอบใช้คน ก็ต้องพยายามใช้คน เพราะมันเป็นงานที่ทำคนเดียวไม่ได้อย่างแน่นอน ก็มีทั้งเพื่อน พี่ น้องคอยช่วย ก็ช่วงนี้ก็สนิทกับน้องคนนึง ชื่อ น้องฟิล์ม เพราะเป็นคนไม่มีเพื่อนคบเหมือนกัน เลยมาสนิทกัน (แปลกดีแหะ) ก็ให้น้องช่วยนู้นนี่เยอะแยะมากมาย พอจบงานก็เลยพาน้องไปเลี้ยงบุฟเฟ่ต์เค้ก เอาจริงๆก็ สนุกมาก ดีใจมากๆที่ได้เป็นพ่อบ้าน ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น ได้รู้จักคนมากมาย มันคุ้มจริงๆนะ

พอจบงานนี้ ก็เข้าสู่ช่วงสอบ midterm พอดี เห็นน้องๆเตรียมตัวสอบกันอย่างขะมักเขม้น ผมก็ได้แต่เห็นใจ ผมเพราะมีสอบแค่ตัวเดียว ชิวไปอีก ก็เลยช่วยน้องติววิชาที่พอทำได้ พอสอบเสร็จก็สบาย

ก็มาต่อกันที่เตรียมงานค่าย (อีกแล้ว) คือจริงๆ มันก็เป็นค่ายที่ให้ปี 1 ทำแหละ แต่เราก็ต้องมาดูไง ว่ามันเรียบร้อยดีมั้ย อะไรประมาณนี้ มันก็คือค่ายติวฟรี ปีนี้ก็ติวฟรี 32 แล้วนะ อยู่มานานมาก

พอเลิกกับแฟน ก็เรื่อยเปื่อยตามประสาคนเหงาเรื่อยๆมา พอสอบเสร็จ ก็ต้องเตรียมตัวพรีเซ็นโปรเจ็ค พอเสร็จก็ทำค่าย ทำค่ายเสร็จก็ปั่นงานกันต่อ พอส่งงานแล้วก็เป็นอิสระ กลับบ้านได้

อ่อ ลืมไปเลย ว่ามีช่วงหนึ่ง คือตอนนั้นอยากทำสีผมมาก เห็นเค้าทำละโค-ต-รเท่ ก็คิดว่าลองทำก็คงไม่เสียหายอะไร คืออยากทำสีเทาควันบุหรี่อ่ะ ลองศึกษาดูมันก็บอกว่าหลุดง่าย เลยให้น้องลองทำให้ (น้องฟิล์มคนเดิม) ผสมยังไงก็ไม่รู้ ออกมาหัวเขียวเลย กลายเป็นโจ้กเกอร์ซะงั้น (ดีนะไม่ได้เป็นแมลงวัน) ตอนแรกก็แบบไม่กล้าออกจากหอเลย โคตรไม่มั่นใจ แต่ตอนกัดสีผมนี่แสบหัวมาก กัดไป 3 รอบ เลยคิดว่า อยู่ไปสักพักก่อนละกัน ละค่อยย้อมสีอื่นกลบ แล้วสุดท้ายก็ย้อมน้ำตาลกลบ มันเป็นเหมือนสีสนิม จบแล้วหัวดำ

ในรูปคือสีเริ่มจางแล้ว

พอกลับบ้านมา ก็ใช้ชีวิตปกติ เบื่อๆเซ็งๆเหมือนเดิม

ยังมีอีกหลายคน หลายเรื่องราวที่ยังพูดไม่หมด บางอย่างขอเก็บมันไว้ละกัน เก็บไว้เป็นความทรงจำ เป็นบทเรียน ขอบคุณทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในปีนี้ ทุกบทเรียน ทุกคนที่พบเจอ ขอบคุณจริงๆ ปีนี้เป็นปีที่หนักหน่วงจริง แต่เราก็ผ่านมันไปได้ ที่สำคัญก็ต้องขอบคุณคนที่อยู่ข้างๆเราด้วยนะ

ปล. สองเรื่องที่เราข้ามไป ไม่อยากไม่ใช่อยากพูดถึงนะ มันเป็นเรื่องที่มีอิทธิพลต่อเรามากจริงๆ เราคิดถึงมันตลอดเวลา บางทีก็รู้สึกท้อ ไม่อยากอยู่แล้ว ไม่อยากทำแล้ว บางทีก็อยากยอมแพ้ แต่…

ถ้าเคาท์ดาวยังไร้คู่ ลองแอดไลน์เราดู เผื่อจะได้คู่ไปเคาท์ดาว

ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่เนอะ แล้วเจอกัน #2018

--

--

Suttichai Pongsanont

technical consultant @MFEC | intern @Backyard | Computer Engineering, KMITL53