ธรรมชาติบำบัด vs แพทย์แผนปัจจุบัน

Tong Surajeth
3 min readOct 3, 2017

--

วันนี้ไม่ได้มาอัพเดทอาการ แต่ขอเล่าอะไรให้ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าสำคัญมากๆๆๆ สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือมีการหยุดใช้สเตียรอยด์ (TSW) แบบผม

นับจากวันที่ผมเลิกสเตียรอยด์ เพราะมันไม่ใช่คำตอบสำหรับร่างกายผมอีกต่อไป (ใช้แล้วไม่หาย ทาแล้วผื่นขึ้นที่อื่น และมีอาการอื่นๆแทรกซ้อนตามมา) ผมจึงหันมาใช้วิธีธรรมชาติ

เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ .. ว่าวิธีธรรมชาติบำบัดของผมคืออะไร ?

“ธรรมชาติ” คือ “ธรรมดา” .. มันคือการดูแลรักษาร่างกาย โดยใช้วิิธีธรรมดาๆ

วิธีธรรมดาที่ว่า คือใช้ชีวิตแบบที่คนสุขภาพร่างกายดีใช้

  • ไม่กินเหล้า
  • ไม่สูบบุหรี่
  • ไม่นอนดึก
  • อาหารการกินสดใหม่ กินผัก ผลไม้เยอะๆ กินให้ครบห้าหมู่
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้
  • ไม่เครียด
  • ขับถ่ายทุกวัน ให้เป็นนิสัย ถ้าขับถ่ายไม่ได้ก็ต้องหาทางที่จะทำให้ร่างกายถ่ายให้ได้ เช่น กินโยเกิร์ต / กินโปรไบโอติกส์

โปรไบโอติกส์คืออะไร

ผมไม่เคยพูดถึงมันเลยใช่มั้ยครับจากบทความที่ผ่านมา นั่นไม่ใช่เพราะอะไรเลย แค่”ผมลืม” … (ขออภัยครับ) เกริ่นไว้ก่อนนะ ว่าผมไม่ได้ขายโปรไบโอติกส์ ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเลย .. โปรไบโอติกส์มีหลากหลายยี่ห้อ ใครสนใจไปเลือกซื้อเอาเลยครับ (แต่ถามเภสัชก่อนนะ ว่าแต่ละยี่ห้อต่างกันยังไง เพราะผมก็ไม่รู้ 55) ที่ผมได้ลองทานโปรไบโอติกส์ เพราะพี่ฉินแห่งเพจ No Sebderm แนะนำมาเช่นเคยครับ (เป็นผู้มีพระคุณจริงๆ)

โปรไบโอติกส์ มันคือแบคทีเรียในสภาพที่มันยังมีชีวิตอยู่ มันมีหลายสายพันธุ์ครับ โดยแบคทีเรียพวกนี้มันเป็นแบคทีเรียที่มีอยู่ในร่างกายเราอยู่แล้ว แต่ด้วยสภาวะการใช้ชีวิตของเราในปัจจุบัน เวลาเจ็บป่วยไม่สบาย ไอ เจ็บคอ ก็คว้าเอายาแก้อักเสบมากิน กินไปกินมามันก็ไปฆ่าเจ้าเชื้อแบคทีเรียบางตัวที่แฝงอยู่ในร่างกายตายไปด้วย ความสมดุลย์ของร่างกายก็ผิดเพี้ยนไป (บางคนดื้อยาด้วย เพราะกินไม่ครบโดส ยาแก้อักเสบซี้ซั้วกินเองไม่ได้นะครับ)

ผมเองก็หนึ่งในนั้น ก่อนหน้านี้ทานยาแก้อักเสบบ่อยครับเวลาเจ็บคอ การขับถ่ายของผมค่อนข้างยากครับ อาจจะด้วยความที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ ไม่ทานผัก ไม่ทานผลไม้ประกอบกันด้วย ทำให้มีปัญหาท้องผูกอยู่บ่อยๆ

วิธีที่ผมใช้สำหรับการแก้ปัญหาท้องผูก คือการกินยาคูลท์และโยเกิร์ตครับ มันก็ได้ผลนะ ตอนร่างกายผมยังดีๆอยู่ (ยังไม่ได้เลิกสเตียรอยด์) แต่พอผมอยู่ในช่วงหักดิบสเตียรอยด์ เหมือนร่างกายมันแย่ไปหมด รวมถึงระบบขับถ่ายด้วย .. นอกจากผิวจะแห้งแล้ว อุจจาระก็แห้งด้วย ทำให้ขับถ่ายออกมาไม่ได้ (มันแห้งยิ่งกว่าตอนร่างกายปกติมากครับ)

แล้วการขับถ่าย มันเกี่ยวกับอาการคันยังไง

เคยได้ยินมั้ยครับ ว่าคนที่ผิวสวยๆ สุขภาพผิวดี องค์ประกอบอย่างหนึ่งคือเป็นคนที่ขับถ่ายดี และขับถ่ายเป็นเวลา (ถ่ายทุกวัน) เพราะว่าถ้าเราไม่ขับถ่าย ของเสียก็จะไม่ถูกขับออกมาจากร่างกาย เกิดการหมักหมมของสิ่งตกค้างในลำไส้ ก็เกิดเป็นแก๊สหรือสารพิษ กลับเข้าไปในร่างกายได้ด้วย(นึกถึงถังขยะอะครับ ใส่เศษขยะปนกันลงไปในนั้นมากๆ มันก็หมักหมมกลายเป็นแก๊สอยู่ในร่างกายเรา เหมือนร่างกายเราเก็บขยะเอาไว้)

ซ้ำร้าย บางคนไม่กินข้าวเช้า แทนที่จะมีอาหารลำเลียงมาต่อขบวนในลำไส้ เพื่อให้ปวดอุจจาระหรือทำให้ร่างกายต้องการขับออกมามันก็ไม่มี ไม่เกิดการขับของเสีย และลำไส้ก็ดูดซึมแร่ธาตุสารอาหาร (เน่าๆ) จนมันมีสภาพแห้งและแข็ง จนถ่ายไม่ออกนั่นเอง เหมือนเราป้อนพิษให้ร่างกายโดยไม่รู้ตัว

พอร่างกายตกอยู่ในสภาพนี้ มันก็เลยทำให้ผิวแย่ไปด้วย เพราะร่างกายก็ขับสารพิษออกมาทางผิวหนังแทน ผ่านการดูดซึมพิษตามที่อธิบายไว้นั่นแหละครับ ข้อมูลจาก : https://health.kapook.com/view1544.html)

โปรไบโอติกส์ต่างจากโยเกิร์ต+ยาคูลท์ยังไง

คำตอบคือ โปรไบโอติกส์มันมีแบคทีเรียหลายสายพันธุ์ครับ ตามแต่ละแบรนด์เค้าจะเอามาใส่ (ข้อมูลให้ถามกับเภสัชกรนะ) ของผมที่กิน กินยี่ห้อ Combif AR ที่เค้าบอกเป็นของญี่ปุ่น

ผมกินยี่ห้อนี้ครับ (ภาพจากกูเกิ้ล) ตอนผมซื้อมันจัดโปร 3 แถม 1 .. ราคาประมาณ 4–500 ครับ แต่ใครจะทานยี่ห้ออื่นก็ลองถามเภสัชกรดูนะครับ ว่ามันต่างกันยังไง (เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน 55)

สาเหตุที่กินไม่มีอะไรเลยครับ เพราะว่าร้านนั้นมันมียี่ห้อนี้อยู่ยี่ห้อเดียว..555 ตอนผมกินก็ระแวงนะ ว่ากินแล้วจะเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ว่าก็ลองสังเกตอาการดู

กินไปสักอาทิตย์นึง การขับถ่ายดีขึ้นมากครับ ดีขึ้นคือ คล่องกว่าร่างกายปกติเลยแหละ ความแตกต่างของมันกับยาคูลท์และโยเกิร์ตคือ จำนวนแบคทีเรียเยอะกว่าหลายเท่ามากๆครับ ทำให้อานุภาพในการย่อยสลายสิ่งปฏิกูลมันเยอะกว่ามาก ซึ่งผมว่ามันดีนะ แต่ก็ไม่กล้ากินติดต่อกัน คือ พออาการผมดีขึ้นผมก็หยุดครับ (กินติดต่อกันประมาณ 3 กล่องแล้วหยุด) แต่ถามเภสัชกร เค้าบอกว่ากินได้ ไม่มีผลเสียอะไร

กินน้ำหมักป้าเช็งได้ไหม?

ผมว่าน้ำหมักป้าเช็ง มันมีคำอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์นะ คือเมื่อเราเอาผลไม้ไปหมัก มันจะเกิดเชืื้อแบคทีเรีย และเชื้อราในถังหมัก และถ้าหมักดีๆ ใช้ผลไม้ดีๆ และดูแลรักษาความสะอาดมันก็โอเค แต่ก็ควรเจือจางหน่อย (เอามาผสมกับน้ำตอนกิน) คือมันเหมือนการใช้วิธีเชื้อต้านเชื้ออะครับ โปรไบโอติกส์ที่ผมกินก็ใช้หลักเดียวกัน คือเป็นเชื้อแบคทีเรีย เติมเข้าไปในร่างกาย

แต่ผมไม่แนะนำน้ำหมักป้าเช็งเท่าไหร่นะ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เชื้อในน้ำหมักมีปริมาณเท่าไหร่ มีสารปนเปื้อนอื่นหรือไม่ที่เป็นอันตรายกับร่างกาย เพราะไม่ได้ทำในแลปส์ หรือเขตปลอดเชื้อ มันจะไม่เหมือนกับพวกแคปซูล หรือโปรไบโอติกส์ที่เป็นอาหารเสริมที่เค้าทำขายอะครับ เพราะมันจะระบุได้เลยว่า เชื้อมีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีกี่ตัว ซึ่งมีการทดลองออกมาแล้วว่า กินเข้าไปในปริมาณนี้มีประโยชน์กับร่างกาย และไม่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ ต่างกับน้ำหมักที่ควบคุมปริมาณเชื้อไม่ได้ กลัวว่าทำไม่สะอาด จากที่จะดี กลายเป็นทรุดก็ได้นะครับ เพราะร่างกายเรากำลังอ่อนแอ และติดเชื้อได้ง่าย เพราะฉะนั้น ถ้าให้ผมแนะนำ ผมว่าใช้อะไรที่มันระบุปริมาณได้แน่นอนจะดีกว่า

ธรรมชาติบำบัด ต้องเป็นศัตรูกับหมอแผนปัจจุบันใช่ไหม

คำตอบคือ “ไม่ใช่อย่างเด็ดขาด”ครับ ผมได้เคยบอกไปแล้วว่า ใน 1–2 เดือนแรกที่มีการหยุดสเตียรอยด์ ร่างกายมันจะเกิดอาการหนักมาก บางคนก็อดทนผ่านมันไปได้ บางคนที่อดทนไม่ได้ กลับไปใช้สเตียรอยด์ก็มี

คนที่เป็นหนักมากๆ บางคนเสียชีวิตจากการหยุดสเตียรอยด์เองนะครับ

เพราะสเตียรอยด์ มีผลกับระบบร่างกายทุกระบบ ตามแต่ปริมาณการใช้ / ระยะเวลา / จุดที่ทา รวมถึงคนที่”กินสเตียรอยด์” ยิ่งทำให้ส่งผลกับระบบร่างกายได้เยอะกว่าคนที่ทาสเตียรอยด์อย่างเดียว

การที่เราหยุดสเตียรอยด์เอง นอกจากเราต้องสังเกตร่างกายของตัวเองแล้ว เราจึงจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่า ร่างกายที่เจ็บป่วยในตอนนั้นมันเกิดจากสาเหตุอะไร

อย่างตอนที่ผมหยุดแรกๆ ผมมีอาการดังนี้

  • เท้าบวม ตัวบวม → ผมกลัวเป็นโรคไต
  • อาการทางประสาท ชัก กระตุก → ผมกลัวเป็นพาร์กินสัน หรืออาการทางสมอง
  • อาการควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ระงับอารมณ์ความโกรธไม่ได้ ร้องไห้ง่ายๆกับเรื่องที่เกินควบคุม → ผมกลัวมีอาการทางจิตเวช
  • อาการหลับใน (หลับไปเฉยๆเลย ระหว่างขับรถ) → ต่อมหมวกไตมีปัญหา

ผมขอยกตัวอย่างแค่ 3 อาการนี้นะครับ จริงๆมีเยอะกว่านี้ .. ไอ้สิ่งที่ผมสงสัย ผมคงจะไม่สามารถมาวินิจฉัยเองได้ครับ ว่าอาการที่เป็นมันเกิดจากผมคิดไปเอง หรือผมเป็นแบบที่ผมสงสัยจริงๆ

เพราะฉะนั้น การวินิจฉัยทางการแพทย์แผนปัจจุบันคือคำตอบครับ

ผมเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมากๆนะครับ และหาหมอเฉพาะทางหลายด้าน ทั้งอายุรกรรม หมอผิวหนัง และหมอระบบประสาท เพื่อให้คุณหมอตรวจอาการ และวินิจฉัยออกมาว่า อาการที่ผมเป็นนั้น เกิดจากตัวโรคนั้นๆ หรือเกิดจากอะไรกันแน่

ผลการตรวจคือ ผมไม่ได้เป็นโรคไต / ไม่ได้เป็นพาร์กินสัน / ระบบประสาทการชักวินิจฉัยไม่ได้ (หมอฟันธงไม่ได้ครับ ต้องตรวจละเอียด ซึ่งผมไม่ได้ไปตรวจต่อ เพราะเข้าใจว่าต้องเป็นอาการข้างเคียงจากสเตียรอยด์แน่ๆ) / ไม่ได้เป็นเบาหวาน / ไม่ได้เป็นโรคตับ /ไม่ได้มีอาการทางจิตเวชจนเข้าขั้นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

จากผลการตรวจที่ได้ จึงทำให้ผมเบาใจได้ว่า “ทุกอย่างเกิดจากผลข้างเคียงของสเตียรอยด์” และสิิ่งที่ผมทำคือ รอเวลาที่ร่างกายจะฟื้นฟูตัวเอง และกลับมาปกติอีกครั้งนึง ซึ่งทุกวันนี้ อาการเหล่านั้นไม่มีแล้วครับ :)

ย้อนอ่านข้อมูลการตรวจเช็คอาการหลังหยุดสเตียรอยด์ทั้งหมด<คลิกที่นี่ครับ

แล้วในรายที่เสียชีวิตจากการเลิกสเตียรอยด์เองเกิดจากอะไร

การเลิกสเตียรอยด์เอง ในรายที่เป็นหนัก คือ กินสเตียรอยด์ (คนที่กินน่ากลัวกว่าคนที่ทา และคนที่ทามานาน/ทาทั้งตัว น่ากลัวกว่าคนที่แพ้ครีมทาหน้าที่มีส่วนผสมสเตียรอยด์ครับ ..

ความน่ากลัวที่สุดของมัน คือ เราไม่สามารถรู้ได้หรอกครับว่า ร่างกายเราจะแย่ที่ส่วนไหนบ้าง มันแล้วแต่บุคคล แล้วแต่การใช้สเตียรอยด์ .. บางคนหัวใจล้มเหลว , บางคนไตวาย , บางคนต่อมหมวกไตขี้เกียจจนมีอาการแทรกซ้อน ฯลฯ ถ้าไปเจอกับอวัยวะสำคัญๆ .. เสียชีวิตได้แน่นอนครับ

ผมไม่ได้เป็นคนโชคดีที่รอดมาได้ .. แต่ผมตั้งใจที่จะมีชีิวิตรอดด้วยการตรวจความผิดปกติของร่างกายกับแพทย์แผนปัจจุบันครับ

ซึ่งการไปหาหมอแผนปัจจุบัน เราขอตรวจอาการเพื่อวินิจฉัยโรค แต่ขอไม่รับการรักษาในแนวทางนั้นได้นะครับ เช่น ผมไปหาหมอผิวหนัง ผมปฏิเสธที่จะใช้สเตียรอยด์ ไม่ให้คุณหมอจ่ายมา คุณหมอก็ไม่จ่ายยามาครับ หรือถ้าแอบจ่ายมา ใช้ Google ให้เป็นประโยชน์ครับ เซิจชื่อยา ตามด้วยคำว่า steroid หรือ สเตียรอยด์ คุณก็รู้ทันทีว่ายานั้นมีสเตียรอยด์ผสมไหม .. ถ้ามีก็โยนทิ้งซะ แค่นั้นครับ

แต่กับโรคบางโรค หมออาจจะร้องขอให้คุณเซ็นเอกสารนะ ว่าคุณปฏิเสธการรักษา (ซึ่งถ้าคุณมั่นใจว่าเป็นที่สเตียรอยด์ หรือมั่นใจในแนวทางการรักษาตัวเองของคุณก็เซ็นไปครับ) การเซ็นเป็นการยอมรับว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณจะไปโทษหมอไม่ได้เท่านั้นเอง

วัวหาย..ก็ต้องล้อมคอก

เมื่อเรารู้แล้วว่าเราป่วยเป็นภูมิแพ้ผิวหนัง เราก็ต้องรู้ให้ได้ครับ ว่าเราแพ้อะไร

แพทย์แผนปัจจุบัน มีการตรวจภูมิแพ้มากมายหลายวิธีตามแต่ที่คุณสะดวก และแพทย์แนะนำ.. ซึ่งผมก็ตรวจแล้วครับด้วยวิธีการเจาะเลือด (ผมทำ skin test แบบหยดสารลงผิวหนังไม่ได้ครับ เพราะตอนไปเทสไม่มีที่ว่างเหลือเลย ผมขึ้นผดทั้งตัว 555)

ผลที่ได้คือ ผมแพ้ไรฝุ่น ยีสต์ รังแคขนน้ำลายแมว (ผมไม่ได้เลี้ยงแมวเลยนะ) อย่างอื่นนี่ผมไม่แพ้เลย พอรู้ว่าแพ้อะไร ผมก็หลีกเลี่ยงครับ อาหารที่มียีสต์ ผมทานเข้าไปนี่รู้ผลทันที เห่อขึ้นทั้งตัว แพ้อย่างรุนแรงเลย (แต่ก่อนผมชอบกินขนมปังมาก นี่อาจเป็นผลกรรมที่กินมากเกินไป)

ทางสายกลางคือคำตอบ

รูปเปรียบเทียบเดือนแรก (กรอบขาว) มาจนถึงปัจจุบัน (กรอบดำ) ในเดือนที่ 5 ครับ

ผมเป็นคนที่เวลาฟังอะไร จะฟังข้อมูลจากทั้งสองด้าน หรือรอบด้านนะครับ

เช่น ถ้าผมศึกษาในแนวทางธรรมชาติบำบัด ผมจะไม่ต่อต้านอีกฝั่งหนึ่ง คือ แผนปัจจุบัน แต่ผมจะรับเอาข้อมูลของทั้งสองด้านมาวิเคราะห์ และกลั่นกรอง .. ว่าสิ่งไหนที่ดีกับผม สิ่งไหนที่น่าจะเป็นไปได้ และลองเอามาทดลองใช้ทีละนิด .. และถ้ามันดีขึ้นก็เดินหน้าอย่างมั่นใจ

ผมมักจะเห็นหลายๆกลุ่ม เวลาเชื่ออะไรไปแล้วก็ไปต่อต้านอีกฝั่ง .. แบบนี้ผมว่าเราจะพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดายครับ .. อยากให้มองหลายๆมุม ฟังมาก รู้มาก และเกิดผลมาก .. สุดท้ายเราก็จะไม่พลาดโอกาสดีๆในชีวิต ที่จะกลับมามีร่างกายเป็นปกติอีกครั้งแน่นอน

หลายๆคนที่มาปรึกษาผมโดยตรง ผมอาจช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะผมไม่ใช่หมอ .. ผมได้แต่บอกในวิธีที่ผมทำแล้วได้ผลและดีขึ้น .. แต่สุดท้าย ร่างกายของเรา คนที่รู้จักตัวเราดีที่สุดก็คือเรานี่แหละครับ .. ผมอยากให้คุณฟังเสียงร่างกายมากๆ .. หมั่นสังเกต หมั่นจดบันทึก ว่ากินอะไร ใช้ชีวิตยังไงแล้วแย่ แล้วทำอะไรแล้วมันดีขึ้น .. ผมใช้วิธีแบบนี้มาตลอด และ 5 เดือนที่ผ่านมาของผม ผมว่าผมดีขึ้นมากเกินกว่า 80% แล้ว

และที่สำคัญจริงๆ .. คืออ่านเยอะๆครับ .. เวลาอ่าน พยายามอ่านเว็บที่เชื่อถือได้ด้วยนะครับ (อย่าไปอ่านพวกเว็บที่หลอกขายอาหารเสริม) อ่านหลายๆมุม อ่านหลายๆศาสตร์ ทั้งแผนไทย แผนจีน แผนโบราณ แผนธรรมชาติ .. คุณเชื่อไหมว่าไม่ว่าแผนไหน มันจะมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่เสมอ .. มีเหตุผลและคำอธิบายอาการ ที่มาที่ไปคล้ายกันหมด

เอาไว้ว่างๆ ผมจะมาเล่าให้ฟังนะครับ

ขอให้ทุกคนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับผม แข็งแรง มีสุขภาพดี และเราจะหายไปด้วยกัน

อ่านอัพเดทอาการตอนต่อไป คลิกที่นี่< ครับ

--

--