ในบทก่อน เราได้คุยกันใน topic เกี่ยวกับเรื่องอารยธรรม ซึ่งมีเนื้อหาหลายส่วนเลยทีเดียวที่โยงโดยตรงกับศาสตร์ความรู้ที่เราเรียกกันว่า “ประวัติศาสตร์” ด้วยการที่ผู้เขียนจบทางสายประวัติศาสตร์มา และส่วนตัวก็เป็นคนชอบศึกษาประวัติศาสตร์อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ศาสตร์ความรู้ด้านนี้จะเป็นศาสตร์ที่ผู้เขียนถนัดที่สุดเมื่อต้องมาทำหน้าที่เป็นครูหรือมัคคุเทศก์ก็ตาม..
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้เขียนต้องพบเจอมา ทั้งในตอนเรียน ตอนศึกษาเอง ตอนเป็นครู หรือตอนเป็นมัคคุเทศก์ ก็คือ แนวทางการศึกษาหรือการนำเสนอศาสตร์ความรู้ด้านนี้มันมีหลากหลายมากๆ แน่นอนย่อมมีทั้งแนวทางที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของวิชา และที่ดูจะบิดเบือนจากวัตถุประสงค์ไป ในบทนี้ผู้เขียนจึงอยากชวนผู้อ่านมาศึกษาประเด็นเรื่องนี้กันอย่างลงลึกกันครับ พร้อมทั้งอยากให้ผู้อ่านลองตั้งคำถามกับตัวเองในใจกันตอนนี้ด้วยว่า
เราศึกษาประวัติศาสตร์มาในลักษณะแบบไหน มันถูกต้องตามหลักวิชาจนสามารถนำไปใช้จริงในชีวิตของผู้อ่านได้หรือไม่ ?
หากยึดตามตอนที่เรียนกันมาโดยเฉพาะตอนที่เนื้อหาประวัติศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในวิชาสังคมศึกษา ผู้อ่านคงเดาได้ไม่ยากใช่ไหมว่า แนวการศึกษาการเรียนรู้จะเป็นแบบไหน เมื่อถามนักเรียนที่เรียนประวัติศาสตร์กับผู้เขียน ทุกคนแทบตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า มีแต่จำลูกเดียว และหากเป็นประวัติศาสตร์ไทย ก็แทบไม่ต้องคิดจะสื่อออกมาในด้านบวกหมด เน้นให้เกิดความรักชาติเป็นหลัก ไม่มีด้านลบมาให้เรียนกันเลย ซึ่งหากพิจารณาตามความจริง ผู้อ่านก็น่าจะคิดได้ใช่ไหมว่า
มันจะเป็นไปได้ด้วยหรือ ที่พัฒนาการหรือเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา มันจะไม่มีด้านลบเลย ?
ยิ่งพูดถึงผู้นำ นี่ยิ่งชัดใหญ่ แทบทั้งหมดถูกมองเป็นวีรบุรุษ หาจุดลบไม่ได้เลย และแน่นอนที่สุด บทสรุปสำคัญเมื่อเราเรียนประวัติศาสตร์ไทย คือ บรรพบุรุษเสียสละปกป้องแผ่นดินให้เรา เราต้องสำนึกในบุญคุณ และรักแผ่นดินเรานะ อะไรแบบนี้….
แต่เอ๊ะ…นี่เป็นวัตถุประสงค์สำคัญของศาสตร์ความรู้ที่ได้ชื่อว่า “ประวัติศาสตร์” จริงหรือ?
ความจริงเจ้ากรอบความคิดในการศึกษาประวัติศาสตร์เช่นนี้ มีพื้นฐานความคิดอยู่ในเรื่องของความเป็นรัฐชาติหรือ Nation State ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งใหม่มากสำหรับชาวเอเชีย รวมถึงคนไทย แนวคิดนี้เพิ่งจะเข้ามามีบทบาทต่อประเทศเราในยุครัชกาลที่ 5 หรือราวต้นคริสตศตวรรษที่ 20 นี้เอง เกี่ยวกับเรื่องแนวคิดรัฐชาตินี้ผู้เขียนได้มีการพูดถึงไปบ้างแล้วในแง่ความหมายและลักษณะของมันในบทที่พูดถึง รัฐ ชาติ ประเทศ ใครที่ยังไม่ได้อ่านบทนั้นสามารถย้อนกลับไปอ่านได้นะครับ
คำว่า รัฐชาติ นี้มีผลในการศึกษาประวัติศาสตร์ของบ้านเราเป็นอย่างมาก โดยสิ่งที่ผู้เขียนยังไม่ได้เล่าให้ผู้อ่านเกี่ยวกับคำๆ นี้ คือในบริบททางประวัติศาสตร์ และวัตถุประสงค์ของการนำแนวคิดมาใช้ จนกลายเป็นแบบฉบับในการศึกษาประวัติศาสตร์ของบ้านเราจวบจนปัจจุบัน แต่ด้วยเรื่องนี้มีรายละเอียดพอสมควรเลยคิดว่าเก็บไว้เล่าในบทถัดไปจะดีกว่า
กลับมาที่เรื่องแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์กันต่อ โดยที่บอกเล่าไปนั้นคือแนวทางแรกซึ่งถือเป็นพิมพ์นิยมในการศึกษาประวัติศาสตร์ของบ้านเรา โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ไทยมาก แล้วถ้าหากไม่ใช่แนวทางแบบพิมพ์นิยมนี้ ยังมีแนวทางใดในการศึกษาประวัติศาสตร์กันอีกหละ มีแน่นอนครับ นั่นคือการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยให้ความสำคัญกับหลักฐานและวิธีการทางประวัติศาสตร์
แนวทางนี้ผู้เขียนได้ประสบการณ์มาจากสมัยที่เรียนช่วงปี 4 ในสาขาประวัติศาสตร์รวมถึงจากประสบการณ์สอนที่โรงเรียนเพลินพัฒนา โดยในตอนเรียนจะเหมือนเราทำวิจัยหนึ่งเรื่องต้องไปหาหลักฐานต่างๆ มาสนับสนุนข้อมูลตามที่เราตั้งหัวข้อไว้ ส่วนตอนสอน เน้นการจัดกิจกรรมให้นักเรียนคิดหรือเรียนรู้เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ผ่านหลักฐาน
พอจะมองเห็นใช่ไหมครับ ว่าถ้าเราใช้วิธีนี้ มันจะได้ผลการเรียนรู้ต่างจากการศึกษาประวัติศาสตร์ที่อิงกับวิธีคิดแบบชาตินิยมตามที่เล่าให้ฟังไปข้างต้นอย่างไร? สิ่งหนึ่งที่ผู้ศึกษาจะได้แน่ๆ คือ กระบวนการคิดผ่านหลักฐานที่นำมาศึกษา ไม่ใช่จากข้อมูลสำเร็จรูปที่ได้ผ่านหนังสือเรียนต่างๆ และที่สำคัญที่สุด การศึกษาประวัติศาสตร์ในลักษณะเช่นนี้จะตรงตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิชานี้อย่างแท้จริง คือ ผู้ศึกษาจะได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุด เกิดความเป็นกลางในการศึกษา และที่ได้แน่ๆ อีกอย่าง คือ สามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้จริงได้
Concept สำคัญสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์ด้วยการใช้หลักฐาน คือ การนำวิธีการทางประวัติศาสตร์มาใช้ในการศึกษาเรียนรู้ หากถามนักเรียนไม่ว่าจะประถมหรือมัธยม ทุกคนเรียนมาหมดแหละ และเรียนทุกปีด้วย แต่เอาเข้าจริงเมื่อถามลงลึกไปในรายละเอียด และให้ประยุกต์ไปใช้กับการศึกษาจริง น้อยคนมากที่จะตอบได้หรือนำไปใช้เป็น ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ตอบง่ายๆ
“ก็เพราะเรามุ่งเน้นแต่เรียนแบบท่องจำ มีตัวอย่างวิเคราะห์ก็จริง แต่ก็อยู่แค่หน้าหนังสือ เวลาสอนจริงมันไม่เคยเปลี่ยนเป็นรูปกิจกรรมให้เห็นถึงการนำไปใช้ “
สำหรับผู้อ่านทั่วไปที่พ้นวัยนักเรียนมาแล้ว อาจงงว่าวิธีการทางประวัติศาสตร์คืออะไร ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากให้รายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าวิธีการนี้ซักนิด เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการต้องนำมันไปใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ เป็นแนวทางในการศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อให้เกิดความถูกต้อง ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ข้อมูลถูกจัดเป็นระเบียบลำดับ โดยนำเอาแนวการศึกษาวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้
ในทางประวัติศาสตร์แล้ว ลำพังเพียงหลักฐานแต่ไม่มีวิธีการในการดึงข้อมูลออกจากหลักฐานนั้นไม่มีประโยชน์ใดๆ ผู้ศึกษาจะต้องใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ในการดึงข้อมูลออกจากหลักฐานและนำข้อมูลที่ได้จากหลักฐานต่างๆ มาร้อยเรียงสร้างเรื่องราวเพื่อตอบโจทย์ประเด็นคำถามที่ตั้งไว้ในขั้นแรก สรุปตามที่เล่าไปนี้ได้ 5 ขั้นตอน
- กำหนดหัวข้อหรือขอบเขตการศึกษา (รวมถึงการตั้งสมมติฐาน)
- รวบรวมข้อมูลจากหลักฐานประเภทต่างๆ
- ประเมินค่าหลักฐาน (พิจารณาความน่าเชื่อถือของหลักฐาน)
- ตีความและวิเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐาน
- สังเคราะห์และนำเสนอข้อมูล
จาก 5 ขั้นตอนนี้ สิ่งที่ผู้เขียนอยากขยายเพิ่มเติมอีกเรื่อง คือ ประเภทของหลักฐานที่เราจะหยิบมาใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ มีเกณฑ์ที่ใช้ในจัดแบ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยู่หลายเกณฑ์มาก แต่จะขอหยิบยกมาเขียนในที่นี้แค่เกณฑ์เดียว โดยเกณฑ์นี้มีความสำคัญมากๆ เวลาเราจะต้องศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ และเป็นเกณฑ์ที่ทำให้เราเข้าใจว่าการศึกษาประวัติศาสตร์บ้านเรามันมีปัญหาที่ตรงไหน?
ในทางวิชาการ เราเรียกเกณฑ์นี้ว่า เกณฑ์จากระดับความสำคัญของหลักฐาน ซึ่งจะแบ่งหลักฐานเป็น 2 ประเภท คือ หลักฐานชั้นต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิ (Primary Source) กับหลักฐานชั้นรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ (Secondary Source)
หลักฐานชั้นต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิ (Primary Source) คือ หลักฐานที่ถูกสร้างหรือเกิดร่วมสมัยกับเหตุการณ์
หลักฐานชั้นรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ (Secondary Source) คือ หลักฐานที่สร้างขึ้นภายหลังเหตุการณ์ โดยจะใช้หลักฐานชั้นต้นเป็นหลักในการศึกษาอีกทีหนึ่ง
ตัวอย่างของหลักฐานชั้นต้น เช่น จารึก จดหมายเหตุ ประกาศทางราชการ สัญญาการค้า ส่วนตัวอย่างของหลักฐานชั้นรอง เช่น ตำนาน พงศาวดาร หนังสือเรียน หนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ต่างๆ
จากคำอธิบายเช่นนี้ผู้อ่านคงมองเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า
ในการศึกษาประวัติศาสตร์ เราต้องหยิบหลักฐานประเภทไหนมาใช้ก่อน?
คำตอบ… จะต้องเป็นหลักฐานชั้นต้นอย่างไม่ต้องสงสัย.. ที่เป็นเช่นนี้ เพราะพวกมันถูกสร้างอยู่ในช่วงเวลาของข้อมูลที่อยู่ในตัวมัน มันจึงมีความถูกต้องมากกว่าหลักฐานชั้นรองที่สร้างขึ้นในภายหลัง แต่เราลองหันกลับมามองการศึกษาประวัติศาสตร์ของบ้านเราในปัจจุบันสิ! ว่าเวลาเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์กัน เราใช้หลักฐานประเภทชั้นต้นหรือรองมากกว่ากัน?
คำตอบเห็นๆ ว่า ชั้นรอง แน่นอน และแถมเป็นชั้นรองแบบสำเร็จรูปเสียด้วย คือ ไม่มีการอ้างอิงว่าข้อมูลที่ใช้มาจากไหน สักแต่เขียนๆ ไป ตามแบบอย่างที่อยากให้เป็น โดยตั้งแต่ผู้สอน สอนประวัติศาสตร์มา ยังไม่เคยเห็นหนังสือเรียนเล่มไหนที่นำหลักฐานทางประวัติศาสตร์โดยตรง มาเทียบเคียงกันให้นักเรียนได้เห็นหรือศึกษากันเลย จะมีก็แต่เอาไว้บทเรื่องหลักฐาน แล้วก็เขียนไปเรื่อยตามเนื้อหา แค่บอกว่าข้อมูลจากหลักฐานชั้นต้นนั้นบอกอะไร สะท้อนภาพสังคมอย่างไรคร่าวๆ แต่ในเชิงเปรียบเทียบ ประเมินค่าหลักฐานอะไรพวกนี้ ไม่ต้องพูดถึง ไม่มี…. และนี่คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์บ้านเรามีปัญหา
หากพูดถึงหลักฐานชั้นรองก็มิใช่ว่า ตัวมันจะมีปัญหาหรอก เพียงแต่อยู่ที่เราเลือกหยิบมาใช้ เพราะในความจริง บางทีหลักฐานชั้นต้นมันก็ยากในการทำความเข้าใจเช่นกัน ด้วยภาษาหรือเนื้อความต่างๆ หลักฐานชั้นรองหากเป็นประเภทหนังสือทั่วไปที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ การลำดับเนื้อหา ภาษา จะเข้าใจได้ง่ายกว่าหลักฐานชั้นต้นมาก จุดสำคัญอยู่ตรงที่ว่า หนังสือนั้นๆ จะต้องอ้างอิง เปรียบเทียบข้อมูลจากหลักฐานต่างๆ ที่ตนจะใช้เล่าเรื่องราวให้ชัดเจน ซึ่งภาพแบบนี้แหละ ที่เราจะไม่พบในหนังสือเรียน หรือการสอนประวัติศาสตร์แบบไทยๆ ไม่ว่าจะในโรงเรียน หรือตามสื่อประเภทละครและภาพยนตร์ต่างๆ (แต่ที่ดีๆ ก็มีนะ แต่อาจหายากซักนิด…)
สำหรับหลักฐานชั้นต้นนั้น แม้ว่ามันจะสำคัญกว่าชั้นรองในด้านมิติของเวลาที่เกิดขึ้นของหลักฐาน แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ ความลำเอียงของหลักฐาน ซึ่งตรงนี้เจอหมดไม่ว่าจะหลักฐานประเภทใด ลองคิดดูหากเราเขียนบันทึก Diary ของเรา เราจะเขียนด้านลบให้กับตัวเองไหม? นี่แหละคือกฎบังคับว่าในการศึกษาประวัติศาสตร์เราจะใช้หลักฐานเพียงชิ้นเดียวไม่ได้ แต่ต้องใช้หลักฐานหลายๆ ชิ้นเทียบกัน เช่น เมื่อเราจะศึกษาเรื่องราวการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ก็ไม่ควรศึกษาเพียงหลักฐานฝั่งไทยเท่านั้น ต่อให้หลักฐานนั้นเป็นหลักฐานชั้นต้นเลยก็ตามที ควรหาหลักฐานจากบุคคลกลุ่มอื่น มาประกอบด้วย เช่น หลักฐานจากฝั่งพม่า ชาวจีน หรือชาวตะวันตก ที่อยู่ร่วมสมัยในเวลานั้น
หลายคนอาจบอกว่า
“โอ๊ย.. ให้ศึกษาหลักฐานชั้นต้นหมดนี่ คงไม่มีความสามารถในการศึกษาหรอก มันยากเกิน… เพราะไม่ใช่นักประวัติศาสตร์นะ” ตรงนี้ผู้เขียนก็อยากบอกว่า ตรงนี้ไม่ได้เป็นประเด็นปัญหา..
เราสามารถหยิบหลักฐานชั้นรองกลุ่มพวกหนังสือที่เล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ตามหัวข้อที่เราสนใจมาศึกษาได้ เพียงแต่ดูการอ้างอิงของเขาให้ดีๆ ว่าใช้หลักฐานจากแหล่งใดบ้าง น่าเชื่อถือไหม มีการเทียบข้อมูลให้เราเห็นไหม แค่นี้การศึกษาประวัติศาสตร์ของเราก็เป็นไปอย่างถูกต้อง ตรงตามหลักวิธีการทางประวัติศาสตร์ได้ในระดับหนึ่งแล้ว
สรุปแล้ว แนวทางการศึกษา เรียนรู้ ประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้เราได้ข้อมูลอย่างถูกต้อง ใกล้เคียงกับความเป็นจริงสูงสุด อยู่ตรงที่การหยิบวิธีการทางประวัติศาสตร์มาใช้คู่กับหลักฐาน ไม่ใช่รับข้อมูลทางประวัติศาสตร์แบบคัดกรองมาแล้ว แต่ไม่อ้างอิงข้อมูลอะไร บอกให้เชื่อหรือศรัทธาในข้อมูลนั้นๆ แบบส่งๆ ไป ซึ่งนับแต่ผู้เขียนเป็นครู จนเรื่อยมาถึงทำอาชีพมัคคุเทศก์ร่วมด้วย ก็ยังเห็นว่า
“ประวัติศาสตร์บ้านเรา ยังเรียนรู้แบบเดิมๆ ซะส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ท้ายสุด เราจะผลิตประวัติศาสตร์ในหน้าแบบเดิมๆ ซึ่งหนีไม่พ้นฝังแนวคิดแบบชาตินิยมลงไป มองบุคคลสำคัญต่างๆ ว่าเป็น Hero ทั้งหมด ไม่มีด้านลบใดๆ ลักษณะเช่นนี้ไม่มีทางทำให้เราเข้าถึงแก่นแท้ของวิชาประวัติศาสตร์และสามารถนำมันไปใช้ได้อย่างถูกต้องเลย….”
มาถึงตรงจุดนี้ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านจะได้ความรู้จาก บทความ ของผู้เขียนใน Topic นี้ ตระหนักและเห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์ ตลอดจนนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องนะครับ ในครั้งหน้าผู้เขียนยังมีประเด็นเกี่ยวกับการสร้างประวัติศาสตร์ในแบบฉบับรัฐชาติ อยากนำมาเล่าต่อจากบทนี้ ยังไงรอติดตามอ่านกันนะครับ