How to be Writer — Just Write It

Urza7
2 min readMay 12, 2023

--

ทุกวันนี้ใครที่บอกกับตัวเองว่า “อยากเป็นนักเขียน”
ผมอยากให้สะสมงานเขียนไว้เยอะ ๆ

เพราะการที่อะไรมันจะเกิดขึ้นได้ มันต้องมีการเริ่มต้นลงมือทำก่อน

เหมือนจะสร้างบ้าน ก็ต้องเริ่มก่ออิฐก้อนแรกก่อน แล้วก้อนที่สอง สาม สี่ มันจะตามมาเอง

หากอยากเป็นนักเขียน ก็จงเขียน เขียนเก็บไว้เยอะ ๆ

เขียนที่อยากเขียน เขียนอะไรก็ได้ อย่าไปจำกัดมัน อย่าไปสร้างกรอบ

เมื่อเราก่อทีละก้อน ทีละก้อน ไม่ช้าเราก็จะมีกำแพงอิฐ จากกำแพงก็ประกอบสร้างเป็นอาคารบ้านเรือน หรือใหญ่โตเป็นปราสาทได้ในที่สุด

เมื่อก่อนผมเชื่อว่าการสร้างอารมณ์ หรือพิธีรีตองก่อนการเขียนเป็นเรื่องสำคัญ
ต้องออกไปหาแรงบันดาลใจ ต้องเงียบสงบ บรรยากาศต้องดี อากาศต้องพอเหมาะ มีเครื่องดื่มเย็น ๆ ประหนึ่งกำลังจะตวัดพู่กันสร้างงานศิลป์

ไม่จริง

ทุกวันนี้เลคเชอร์โง่ ๆ ในกระดาษทิชชู่ ก็เอามาต่อยอดเป็นงานได้
หรือสเตตัสเอ๋อ ๆ ก็สร้างแรงกระเพื่อมในการสร้างงานได้

เพียงแค่เราริเริ่มหยิบจับ หรือมองหาโอกาสที่จะนำมันไปประกอบสร้างเป็นงานเขียน

ใครที่มาถามหาคำแนะนำจากผม ไม่ว่าจะให้เกียรติผมในฐานะไหนก็ตาม
ผมมักจะพูดว่าให้เริ่มเขียนก่อน เขียนสิ่งที่มันพลุ่งพล่านในหัวออกมา

ปลดปล่อยมันออกมา และจงศรัทธาในความบริสุทธิ์และสดใหม่นั้น

พรั่งพรูมันออกมาโดยไม่ต้องสนเรื่องอื่น

เรื่องการเรียบเรียงให้เข้าที่เข้าทาง ก็เป็นเรื่องที่เอามาพิจารณาขัดเกลากันในภายหลัง

อย่าไปโฟกัสมากจนตัวเองสะดุด

อีกหนึ่งสิ่งที่ผมเรียนรู้และได้รับการบอกต่อมาคือ
เขียนจบ โยนมันทิ้งไปเลยครับ
แล้วค่อยกลับมาอ่าน ระหว่างนั้นก็เขียนสิ่งใหม่ต่อไป

พอเรามีชิ้นงานมากพอ หลังปล่อยงานเหล่านั้นทิ้งไว้
เราจะเห็นจุดบกพร่องแล้วมาตัดแต่งมันใหม่อีกที
จนชิ้นงานมันงาม มันสมบูรณ์เอง

แม้จะได้ฟังคำแนะนำมาบ้างในส่วนของวิธีจัดการ
แต่ในการผลิตงานเขียนนั้น ขอย้ำว่า อย่าเอาปัจจัยหรือคำพูดคำแนะนำของใครมาปนเปื้อนเลย เพราะที่สุดแล้วคุณคือคนที่จะต้องอยู่กับมันจนถึงที่สุด

เพราะงานเขียนก็เหมือนรสมือ สูตรใครก็สูตรมัน ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีเรื่องตายตัว
จะวาดลวดลายการนำเสนอเรื่องราวอย่างไร …เป็นเรื่องของเรา

อย่าเขียนเพื่อคนอ่าน จงเขียนเพื่อตัวเอง

เมื่อตัวเรารักสิ่งที่เราทำมากพอ ความรักนั้นจะไปกระทบความรู้สึกคนอื่นด้วยตัวมันเอง

ผมบอกตัวเองเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ขึ้นกับรูปแบบ

แต่อยู่ที่ความทะยานอยาก ความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะทำ ความอิน ความเห่อ หรือความปรารถนาอะไรก็ตาม ที่จะเป็นแรงขับให้คุณลงมือ ระเบิดมันออกมาครับ

ไม่เกี่ยวกับจำนวน ว่าต้องเขียนให้ได้วันละเท่าไร
แต่ต้องมีให้ประจำสม่ำเสมอ
เขียนสองบรรทัด ก็ถือว่าเป็นงานเขียนได้
บางคนเขียนสเตตัสสองสามประโยค
ก็สร้างเพจคอนเทนต์ที่ยอดไลค์เป็นล้านได้

ไม่เกี่ยวกับสิ่งประกอบภายนอก
ว่าอิทธิพลใด คัลเจอร์ไหนจะเป็นกลิ่นอายหลักของงานเรา
เพราะที่สุดแล้วมันจะตกตะกอนเป็นตัวเราเอง

ไม่เกี่ยวกับทฤษฏีใด ๆ เพราะเมื่อเราทำสิ่งใดมากพอ
ประสบการณ์ที่ก่อกำเนิดจะทำให้เรามีทฤษฏีของตัวเอง

— — —

ทุกวันนี้ผมเขียนสิ่งที่อยากเขียน
เขียนทุกวัน ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นไอเดียของเราเอง

เป็นงานแปล เป็นสเตตัสบ่น ๆ หรือเป็นสิ่งที่ส่งอิทธิพลต่อผมเองในขณะนั้น

ผมทำให้มันเป็นงานเขียนทั้งหมด เป็นการที่ผมสะสมก้อนอิฐของผมเอาไว้

และในวันหนึ่งที่มีมากพอ ผมก็จะมีวัตถุดิบไปประกอบสร้างเป็นเรื่องราวได้

แต่ต้องเคลื่อนไหวความคิดและจิตอิสระ โดยการขยับมือของตัวเองให้สร้างตัวอักษรเพื่อการสะสมอยู่เสมอ

เหมือนหนึ่งช่างฝีมือที่แรกแกะนั้น ไม้ยังหยาบกระด้าง ไร้ความปราณีตบรรจง

แต่นานวัน ยิ่งทำยิ่งสั่งสมฝีมือ และงานแกะที่เริ่มวางเกลื่อนบ้านนั้นก็บ่งบอกถึงพัฒนาการของความเปลี่ยนแปลง

จนงานไม้ที่ทับถมกัน เริ่มฐานจากความหยาบสู่ความละเมียดละไม เริ่มจากไม้แข็งทื่อกระทั่งเส้นโค้งเว้าทรวดทรงคมคายในที่สุด

ไม่ว่ากับสิ่งไหนก็ตาม

ในวันที่เราเริ่มทำ อย่าไปคิดว่ามันจะต้องประสบผลทันที เพราะคนอื่นอาจจะยังมองไม่เห็น แต่ถ้าวันหนึ่งวันไหนเราสบโอกาส และเรามีของมากพอแล้วละก็ ทุกอย่างจะวิ่งเข้าหาเองโดยอัตโนมัติครับ

เหมือนคนที่รักชอบของเล่นสมัยเด็ก เฝ้าเพียรสะสมมาด้วยกำลังทรัพย์ จนวันหนึ่งของที่เก็บมากพอ จนห้องเก็บของเล่นกลายเป็นพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ขึ้นมา วันนั้นสื่อรายการต่าง ๆ ก็ล้วนให้ความสนใจ ไปถามไถ่เอาเรื่องราวเป็นมา

ทั้งที่ตอนชิ้นแรก ๆ ถูกคนรอบข้างก่นด่าว่าไร้สาระด้วยซ้ำ

นอกจากการทำทุกวันโดยไม่จำกัดตัวเองแล้ว

การเติมไอเดียก็เป็นเรื่องสำคัญ

แต่ไม่ได้หมายความว่า พอคุณหมดไอเดีย

แล้วคุณก็รี่ไปเติมเอาตอนนั้นเดี๋ยวนั้น

แล้วมันจะสำเร็จรูปพร้อมใช้ได้เลยนะครับ

มันต้องบ่มเพาะไว้ก่อน

บางคนไอเดียตัน แล้วพยายามไปหาหนังสืออ่าน

ไปหาหนังดู ไปเสพงานศิลป์

คือไปเอาวัตถุดิบที่เป็นของหยาบมาโปะ ๆ ใส่หัว

สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร

เพราะไอเดียที่แท้จริงแล้ว มันใช้แรงสะกิดจากภายนอกแค่นิดเดียว ส่วนที่เหลือที่สิ่งที่เราสะสมจนตกตะกอนอยู่ภายในต่างหาก ขอเพียงแค่คุณปล่อยใจสบาย ๆ ให้ความคิดมันไหล

มันฟุ้งไปเรื่อย ๆ ของมัน เดี๋ยวจู่ ๆ บทจะมามันก็มาเอง

จึงเป็นที่พูดถึงกันบ่อย ๆ ว่าทำไมไอเดียชอบมาตอนที่จดไม่ได้วะ ขี้อยู่ อาบน้ำอยู่ ขับรถกินลมอยู่ หรือตอนจะนอนเนี่ย ไอเดียไหลจริง

นั่นแหละ ผลพวงจากสิ่งที่ต้มอยู่ภายในมันสุกได้ที่

ตอนที่เราผ่อนคลายแล้วนั่นแหละ

น่าเสียดาย

งานเขียนคือสื่อที่คนผลิตกันน้อยลงในยุคนี้

เพราะคนให้ความสำคัญกับมีเดียมากกว่า

เดี๋ยวนี้จะสืบค้นอะไร ก็มักจะเจอข้อมูลแนะนำในรูปของคลิปซะเยอะ แต่อันที่จริงแล้ว งานเขียนก็ไม่ได้หายไปไหน

มันแค่แปรรูปเป็นบท เป็นสคริปตฺ์หลังม่านเท่านั้นเอง

วิดิโอคลิปที่เนื้อหาสละสลวย ล้วนผ่านการขัดเกลาภาษาเป็นบทงานเขียนทั้งนั้น

การสร้างงานเขียนนั้นทำให้คอนเทนต์เกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุด มันทำให้ความคิดที่ล่องลอยในหัว กลั่นตัวออกมาเป็นถ้อยคำที่ใช้สื่อสารให้ผู้คนรับรู้ได้ คำพูดที่คมคาย หลายครั้งมาจากงานเขียนที่กลึงเกลาแล้ว และงานเขียนที่คมคาย หลายครั้งก็มาจากคำพูดที่กรองกลั่นแล้วเช่นกัน

ส่วนตัวผมคิดว่าทุกวันนี้ สกิลจำเป็นที่หากใครมีแล้ว
เปรียบดังได้วิชากระบี่สร้างชื่อนั้น
นอกจากการตัดต่อวิดิโอแล้ว การสร้างคอนเทนต์นี่แหละ
ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้คุณไปโลดโผนในยุทธจักรของโซเชี่ยลมีเดียได้

ช่วงที่เศรษฐกิจไม่เป็นใจ ช่วงที่โควิดทำให้ออฟไลน์หยุดนิ่ง

แต่ออนไลน์กำลังเคลื่อนไหว ลองใช้โอกาสนี้ ก่อเกิดความสามารถใหม่ขึ้นมาครับ อาจจะล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่อย่าท้อ ก่ออิฐของคุณทีละก้อน ทีละก้อน คฤหาสถ์หลังงามจะเกิดขึ้นในสักวัน

ปล.เขียนเสร็จแล้ว ตรวจคำผิดด้วยซักสองรอบ คนที่บ้านผมเค้าฝากมา นักเขียนคนไหนคนนั้นจะดังไม่ดัง ก็

ชอบพิมพ์ผิดแล้วไม่ปรู๊ฟ ผมเองก็เช่นเดียวกัน…

--

--

Urza7

Article Writer th /Dungeon Master/Podcaster/Streamer/