ทุกวันนี้ใครที่บอกกับตัวเองว่า “อยากเป็นนักเขียน”
ผมอยากให้สะสมงานเขียนไว้เยอะ ๆ
เพราะการที่อะไรมันจะเกิดขึ้นได้ มันต้องมีการเริ่มต้นลงมือทำก่อน
เหมือนจะสร้างบ้าน ก็ต้องเริ่มก่ออิฐก้อนแรกก่อน แล้วก้อนที่สอง สาม สี่ มันจะตามมาเอง
หากอยากเป็นนักเขียน ก็จงเขียน เขียนเก็บไว้เยอะ ๆ
เขียนที่อยากเขียน เขียนอะไรก็ได้ อย่าไปจำกัดมัน อย่าไปสร้างกรอบ
เมื่อเราก่อทีละก้อน ทีละก้อน ไม่ช้าเราก็จะมีกำแพงอิฐ จากกำแพงก็ประกอบสร้างเป็นอาคารบ้านเรือน หรือใหญ่โตเป็นปราสาทได้ในที่สุด
เมื่อก่อนผมเชื่อว่าการสร้างอารมณ์ หรือพิธีรีตองก่อนการเขียนเป็นเรื่องสำคัญ
ต้องออกไปหาแรงบันดาลใจ ต้องเงียบสงบ บรรยากาศต้องดี อากาศต้องพอเหมาะ มีเครื่องดื่มเย็น ๆ ประหนึ่งกำลังจะตวัดพู่กันสร้างงานศิลป์
ไม่จริง
ทุกวันนี้เลคเชอร์โง่ ๆ ในกระดาษทิชชู่ ก็เอามาต่อยอดเป็นงานได้
หรือสเตตัสเอ๋อ ๆ ก็สร้างแรงกระเพื่อมในการสร้างงานได้
เพียงแค่เราริเริ่มหยิบจับ หรือมองหาโอกาสที่จะนำมันไปประกอบสร้างเป็นงานเขียน
ใครที่มาถามหาคำแนะนำจากผม ไม่ว่าจะให้เกียรติผมในฐานะไหนก็ตาม
ผมมักจะพูดว่าให้เริ่มเขียนก่อน เขียนสิ่งที่มันพลุ่งพล่านในหัวออกมา
ปลดปล่อยมันออกมา และจงศรัทธาในความบริสุทธิ์และสดใหม่นั้น
พรั่งพรูมันออกมาโดยไม่ต้องสนเรื่องอื่น
เรื่องการเรียบเรียงให้เข้าที่เข้าทาง ก็เป็นเรื่องที่เอามาพิจารณาขัดเกลากันในภายหลัง
อย่าไปโฟกัสมากจนตัวเองสะดุด
อีกหนึ่งสิ่งที่ผมเรียนรู้และได้รับการบอกต่อมาคือ
เขียนจบ โยนมันทิ้งไปเลยครับ
แล้วค่อยกลับมาอ่าน ระหว่างนั้นก็เขียนสิ่งใหม่ต่อไป
พอเรามีชิ้นงานมากพอ หลังปล่อยงานเหล่านั้นทิ้งไว้
เราจะเห็นจุดบกพร่องแล้วมาตัดแต่งมันใหม่อีกที
จนชิ้นงานมันงาม มันสมบูรณ์เอง
แม้จะได้ฟังคำแนะนำมาบ้างในส่วนของวิธีจัดการ
แต่ในการผลิตงานเขียนนั้น ขอย้ำว่า อย่าเอาปัจจัยหรือคำพูดคำแนะนำของใครมาปนเปื้อนเลย เพราะที่สุดแล้วคุณคือคนที่จะต้องอยู่กับมันจนถึงที่สุด
เพราะงานเขียนก็เหมือนรสมือ สูตรใครก็สูตรมัน ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีเรื่องตายตัว
จะวาดลวดลายการนำเสนอเรื่องราวอย่างไร …เป็นเรื่องของเรา
อย่าเขียนเพื่อคนอ่าน จงเขียนเพื่อตัวเอง
เมื่อตัวเรารักสิ่งที่เราทำมากพอ ความรักนั้นจะไปกระทบความรู้สึกคนอื่นด้วยตัวมันเอง
ผมบอกตัวเองเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ขึ้นกับรูปแบบ
แต่อยู่ที่ความทะยานอยาก ความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะทำ ความอิน ความเห่อ หรือความปรารถนาอะไรก็ตาม ที่จะเป็นแรงขับให้คุณลงมือ ระเบิดมันออกมาครับ
ไม่เกี่ยวกับจำนวน ว่าต้องเขียนให้ได้วันละเท่าไร
แต่ต้องมีให้ประจำสม่ำเสมอ
เขียนสองบรรทัด ก็ถือว่าเป็นงานเขียนได้
บางคนเขียนสเตตัสสองสามประโยค
ก็สร้างเพจคอนเทนต์ที่ยอดไลค์เป็นล้านได้
ไม่เกี่ยวกับสิ่งประกอบภายนอก
ว่าอิทธิพลใด คัลเจอร์ไหนจะเป็นกลิ่นอายหลักของงานเรา
เพราะที่สุดแล้วมันจะตกตะกอนเป็นตัวเราเอง
ไม่เกี่ยวกับทฤษฏีใด ๆ เพราะเมื่อเราทำสิ่งใดมากพอ
ประสบการณ์ที่ก่อกำเนิดจะทำให้เรามีทฤษฏีของตัวเอง
— — —
ทุกวันนี้ผมเขียนสิ่งที่อยากเขียน
เขียนทุกวัน ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นไอเดียของเราเอง
เป็นงานแปล เป็นสเตตัสบ่น ๆ หรือเป็นสิ่งที่ส่งอิทธิพลต่อผมเองในขณะนั้น
ผมทำให้มันเป็นงานเขียนทั้งหมด เป็นการที่ผมสะสมก้อนอิฐของผมเอาไว้
และในวันหนึ่งที่มีมากพอ ผมก็จะมีวัตถุดิบไปประกอบสร้างเป็นเรื่องราวได้
แต่ต้องเคลื่อนไหวความคิดและจิตอิสระ โดยการขยับมือของตัวเองให้สร้างตัวอักษรเพื่อการสะสมอยู่เสมอ
เหมือนหนึ่งช่างฝีมือที่แรกแกะนั้น ไม้ยังหยาบกระด้าง ไร้ความปราณีตบรรจง
แต่นานวัน ยิ่งทำยิ่งสั่งสมฝีมือ และงานแกะที่เริ่มวางเกลื่อนบ้านนั้นก็บ่งบอกถึงพัฒนาการของความเปลี่ยนแปลง
จนงานไม้ที่ทับถมกัน เริ่มฐานจากความหยาบสู่ความละเมียดละไม เริ่มจากไม้แข็งทื่อกระทั่งเส้นโค้งเว้าทรวดทรงคมคายในที่สุด
ไม่ว่ากับสิ่งไหนก็ตาม
ในวันที่เราเริ่มทำ อย่าไปคิดว่ามันจะต้องประสบผลทันที เพราะคนอื่นอาจจะยังมองไม่เห็น แต่ถ้าวันหนึ่งวันไหนเราสบโอกาส และเรามีของมากพอแล้วละก็ ทุกอย่างจะวิ่งเข้าหาเองโดยอัตโนมัติครับ
เหมือนคนที่รักชอบของเล่นสมัยเด็ก เฝ้าเพียรสะสมมาด้วยกำลังทรัพย์ จนวันหนึ่งของที่เก็บมากพอ จนห้องเก็บของเล่นกลายเป็นพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ขึ้นมา วันนั้นสื่อรายการต่าง ๆ ก็ล้วนให้ความสนใจ ไปถามไถ่เอาเรื่องราวเป็นมา
ทั้งที่ตอนชิ้นแรก ๆ ถูกคนรอบข้างก่นด่าว่าไร้สาระด้วยซ้ำ
นอกจากการทำทุกวันโดยไม่จำกัดตัวเองแล้ว
การเติมไอเดียก็เป็นเรื่องสำคัญ
แต่ไม่ได้หมายความว่า พอคุณหมดไอเดีย
แล้วคุณก็รี่ไปเติมเอาตอนนั้นเดี๋ยวนั้น
แล้วมันจะสำเร็จรูปพร้อมใช้ได้เลยนะครับ
มันต้องบ่มเพาะไว้ก่อน
บางคนไอเดียตัน แล้วพยายามไปหาหนังสืออ่าน
ไปหาหนังดู ไปเสพงานศิลป์
คือไปเอาวัตถุดิบที่เป็นของหยาบมาโปะ ๆ ใส่หัว
สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร
เพราะไอเดียที่แท้จริงแล้ว มันใช้แรงสะกิดจากภายนอกแค่นิดเดียว ส่วนที่เหลือที่สิ่งที่เราสะสมจนตกตะกอนอยู่ภายในต่างหาก ขอเพียงแค่คุณปล่อยใจสบาย ๆ ให้ความคิดมันไหล
มันฟุ้งไปเรื่อย ๆ ของมัน เดี๋ยวจู่ ๆ บทจะมามันก็มาเอง
จึงเป็นที่พูดถึงกันบ่อย ๆ ว่าทำไมไอเดียชอบมาตอนที่จดไม่ได้วะ ขี้อยู่ อาบน้ำอยู่ ขับรถกินลมอยู่ หรือตอนจะนอนเนี่ย ไอเดียไหลจริง
นั่นแหละ ผลพวงจากสิ่งที่ต้มอยู่ภายในมันสุกได้ที่
ตอนที่เราผ่อนคลายแล้วนั่นแหละ
น่าเสียดาย
งานเขียนคือสื่อที่คนผลิตกันน้อยลงในยุคนี้
เพราะคนให้ความสำคัญกับมีเดียมากกว่า
เดี๋ยวนี้จะสืบค้นอะไร ก็มักจะเจอข้อมูลแนะนำในรูปของคลิปซะเยอะ แต่อันที่จริงแล้ว งานเขียนก็ไม่ได้หายไปไหน
มันแค่แปรรูปเป็นบท เป็นสคริปตฺ์หลังม่านเท่านั้นเอง
วิดิโอคลิปที่เนื้อหาสละสลวย ล้วนผ่านการขัดเกลาภาษาเป็นบทงานเขียนทั้งนั้น
การสร้างงานเขียนนั้นทำให้คอนเทนต์เกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุด มันทำให้ความคิดที่ล่องลอยในหัว กลั่นตัวออกมาเป็นถ้อยคำที่ใช้สื่อสารให้ผู้คนรับรู้ได้ คำพูดที่คมคาย หลายครั้งมาจากงานเขียนที่กลึงเกลาแล้ว และงานเขียนที่คมคาย หลายครั้งก็มาจากคำพูดที่กรองกลั่นแล้วเช่นกัน
ส่วนตัวผมคิดว่าทุกวันนี้ สกิลจำเป็นที่หากใครมีแล้ว
เปรียบดังได้วิชากระบี่สร้างชื่อนั้น
นอกจากการตัดต่อวิดิโอแล้ว การสร้างคอนเทนต์นี่แหละ
ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้คุณไปโลดโผนในยุทธจักรของโซเชี่ยลมีเดียได้
ช่วงที่เศรษฐกิจไม่เป็นใจ ช่วงที่โควิดทำให้ออฟไลน์หยุดนิ่ง
แต่ออนไลน์กำลังเคลื่อนไหว ลองใช้โอกาสนี้ ก่อเกิดความสามารถใหม่ขึ้นมาครับ อาจจะล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่อย่าท้อ ก่ออิฐของคุณทีละก้อน ทีละก้อน คฤหาสถ์หลังงามจะเกิดขึ้นในสักวัน
ปล.เขียนเสร็จแล้ว ตรวจคำผิดด้วยซักสองรอบ คนที่บ้านผมเค้าฝากมา นักเขียนคนไหนคนนั้นจะดังไม่ดัง ก็
ชอบพิมพ์ผิดแล้วไม่ปรู๊ฟ ผมเองก็เช่นเดียวกัน…