รีวิวหนังสือ “ทำงานยังไงไม่ให้บ้าไปซะก่อน! ” — It Doesn’t Have to Be Crazy at Workโดย Jason Fried และ David Heinemeier Hansson

Nithisa.L
Super Bibliophile
Published in
1 min readJul 28, 2020

“บ้า” ในที่นี้หมายถึงสถานการณ์ไม่ใช่ “คน” โดยสาเหตุนั้นก็มาจากการทำงานในออฟฟิศอันสุดแสนยุ่งเหยิง ไม่สงบสุขและดูดพลังชีวิตของพนักงาน

Jason Fried และ David Heinemeier Hansson ทั้งสองนั้นเป็นผู้บริหารของบริษัทพัฒนาซอฟแวร์ชื่อ Basecamp ซึ่งเป็นซอฟแวร์ด้านการบริหารโปรเจ็คที่ได้รับความนิยม โดยเขาทั้งสองได้ให้ความสำคัญกับคุณค่าของการเป็น “ The Calm Company” หรือ “ความสงบสุข” ในการบริหารเพราะเชื่อว่าสิ่งนี้คุ้มค่าและยั่งยืน

โดยหลักแล้วเหตุผลของการที่ทำให้เรา “ทำงานแทบบ้าตาย” มีอยู่ 2 ข้อ นั่นคือ

เวลาทำงานของคุณถูกซอยย่อยจนสั้นจุ๊ดจู๋เพราะถูกรบกวนตลอดเวลา

ความหมกหมุ่นกับการเติบโตจนเกินพอดี โดยไม่สนว่าการเติบโตนั้นต้องแลกมาด้วยอะไร ทำให้เกิดเป็นความคาดหวังสูงลิ่วที่ไม่สามารถเป็นจริงได้จนคนรู้สึกกดดัน

สองสิ่งนี้ทำให้คนต้องทำงานนานขึ้น ต้องอดหลับอดนอนหรือแม้กระทั่งต้องทำในวันหยุด

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั่นคือผลจากความคาดหวังสร้างเป็นแรงกดดันถ่ายทอดจากองค์กรส่งมาที่พนักงาน ส่งจากพนักงานไปพนักงานด้วยกัน และสุดท้ายก็ส่งจากพนักงานไปยังลูกค้า และซ้ำร้ายไปกว่านั้นมันกัดกร่อนชีวิต เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์กับเพื่อน คนรักและครอบครัว

ทีนี้เรามาดูวิธีที่ Basecamp ใช้เพื่อให้เป็นบริษัทที่สงบสุขกัน

  • มองบริษัทเป็นสินค้า ทำให้เกิดคำถามเรื่องของวิธีการทำงาน อะไรคือสิ่งที่ซับซ้อน อะไรที่รวดเร็ว อะไรที่ช้า Basecamp มองบริษัทเป็นเหมือนซอฟต์แวร์ที่ปรับแต่งได้เพราะนั่นจะทำให้คุณสามารถหาวิธีการที่จะปรับแต่งการทำงานและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ดีกว่าขึ้นมาได้
  • คุณไม่จำเป็นต้องผลักดันให้ตัวเองออกนอกคอมฟอร์ทโซน (Comfort Zone)โดยเชื่อว่าถ้าไม่ลำบากกับสิ่งที่ทำอยู่แสดงว่ายังพยายามไม่เต็มที่หรือต้องละทิ้งช่วงเวลาแห่งความสุขจากการใช้เวลากับครอบครัวและการทำงานอดิเรกที่คุณรัก
  • ไม่ต้องให้ความสำคัญกับการขับเคี่ยว อุทิศทุกอย่างเพื่อความเหนือกว่าหรือชัยชนะเหนือคู่แข่งของคุณ
  • เลิกการตั้งเป้าหมายที่เปรียบเสมือนภาพมายาที่ทำให้คุณเครียดเหินความจำเป็น ที่คุณควรต้องทำคือให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและทำมันให้เต็มที่ต่างหาก
  • ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน 40 ชั่วโมงต่สัปดาห์โดยให้ความสำคัญกับการจัดลำดับความสำคัญให้เหลือแต่เรื่องที่จำเป็นต้องทำ
  • บริษัทต้องปกป้องเวลาและสมาธิของพนักงานเพราะมันคือทรัพยากรสําคัญ อย่าแปลกใจหากพนักงานของคุณทำงานไม่เสร็จหรือต้องใช้เวลาทำงานนานจนต้องข้ามวันข้ามคืนหรือต้องแบกงานกลับไปทำที่ย้านในวันหยุด
  • นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมากมายที่ทำให้คนส่วนมากไม่สามารถทำงานได้เสร็จในเวลาไม่ว่าจะเป็นการประชุม การถูกขัดจังหวะจากคำถาม การขอความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ หรือแม้กระทั่งสภาพแวดล้อมของสถานที่ทำงาน

“คุณไม่อาจคาดหวังให้คนทำงานชั้นยอดถ้าพวกเขาไม่ได้ทุ่มสมาธิให้กับงานแบบเต็มวัน การมีสมาธิเป็นหัวฯๆ เท่ากับแทบไม่มีสมาธิเลยสักนิด”

  • สิ่งที่แย่คือค่านิยมแบบผิดๆ จากตรรกะอันผิดเพี้ยนของความเชื่อที่ว่าการทำงานมากกว่าคนอื่นคือสิ่งที่ทำให้ความพยายามของคุณมีค่ามากกว่าคนอื่น คนเราสามารถประสบความสำเร็จได้ ด้วยความสามารถการอยู่ถูกที่ถูกเวลา การรู้วิธีทำงานร่วมกับคนอื่น ความพยายามและด้วยเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย
  • ถึงแม้บางครั้งคนอาจต้องอดนอนเพื่อทำงานบางอย่างแต่คุณต้องไม่ลืมให้ความสำคัญกับการนอนเพราะการนอนคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด
  • ที่ Basecamp ไม่ได้มองว่าพนักงานคือครอบครัวแต่เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นผู้สนับสนุนครอบครัว เป็นผู้ที่เตรียมสภาพแวดล้อมการทำงานให้พนักงานสามารถปิดแล็ปท็อปในเวลาอันสมควรแล้วกลับบ้านไปใช้เวลากับครอบครัวที่แท้จริง
  • หัวหน้าที่ Basecamp นั้นออกไปถามพนักงานแทนที่จะรอให้พนักงานเป็นฝ่ายเข้ามาบอกเองเพราะโดยปกติแล้วไม่มีใครกล้าบอกหรอกว่าองค์กรหรือหัวหน้าของพวกเขามีจุดบกพร่องตรงไหน

“การที่เจ้านายบอกว่าประตูห้องฉันเปิดอยู่เสมอ ไม่ใช่การเชื้อเชิญแต่เป็นการผลักความรับผิดชอบโองการเปิดปากพูดไปที่พนักงาน”

  • จ้างคนจากสิ่งที่พวกเขาทำได้และการเป็นคนดีที่ทีมงานอยากทำงานด้วยโดยไม่ใช่ดูจากเรซูเม่และไม่ทำสงครามแย่งชิงคนเก่งๆแต่ใช้วิธีฟูมฟักศักยภาพที่ยังไม่ปลดปล่อย Basecamp
  • ไม่จ้างคนจากอดีตที่พวกเขาเคยทำแต่จ้างเพราะเขาเป็นอะไรในอนาคตต่างหาก
  • ไม่ได้ให้สวัสดิการจำพวกห้องเล่นเกม อาหาร หรือเบียร์เพื่อให้พนักงานอยู่ในออฟฟิศนานขึ้นแต่ให้สวัสดิการที่เป็นประโยชน์จริงๆ ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายพักร้อน, ให้วันหยุดสุดสัปดาห์อาทิตย์ละสามวันตลอดฤดูร้อนและให้ค่าเล่าเรียนปีล่ะ 1,000 ดอลลาร์ให้เรียนอะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน เป็นต้น
  • เส้นตายในการทำงานต้องชัดเจนเชื่อถือได้และมีความยืดหยุ่นซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนประกอบสำหรับโปรเจกต์ที่สงบและมีประสิทธิภาพ
  • สร้างอิสระในการทำงานโดยไม่ต้องรอคอยจนกว่าทีมจะพร้อมเพรียง เมื่อไหร่ก็ตามที่คนหนึ่งต้องรออีกคนหนึ่งเมื่อนั้นจะทำให้งานของคุณทำงานได้ช้าลง
  • หัวหน้าต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่พนักงาน เมื่อคุณลาพักร้อน ต้องพักร้อนจริงๆ โดยไม่แบกงานไปทำ เมื่อป่วยคุณต้องพักไม่ใช่ไปนั่งจามที่ออฟฟิศ
  • ยอมอะลุ้มอล่วยเรื่องคุณภาพเพื่อที่จะนำพลังงานไปใช้สร้างสรรค์งานอื่นๆ รู้จักความพอดี รู้ว่าสิ่งใดต้องการความเป็นเลิศ สิ่งใดแค่ดีพอก็พอแล้ว ซึ่งนั่นจะนำหนทางที่จะนําความสงบมาให้คุณ
  • พยายามทำใจให้สบายถึงแม้ว่าจะถูกคู่แข่งลอกเลียนแบบ ตราบใดถ้าคุณไม่ได้จดสิทธิบัตรเอาไว้คุณก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากและการลอกเลียนแบบนั้นเป็นอันตรายต่อฝ่ายลอกเลียนมากกว่าเพราะพวกเขาไม่รู้ถึงความคิดและเหตุผลที่แท้จริงของไอเดียนั้น

ส่งท้าย จริงๆ แล้วเนื้อหาในหนังสือนี้นั้นยังมีเรื่องต่างๆ อีกมาก ที่นำมาเล่านี้เป็นแค่การสรุปคร่าวๆ ของเราเท่านั้น สำหรับใครที่สนใจอยากให้ลองหามาอ่านกันดูนะคะ

คุณเลือกได้ว่าอยากให้สถานที่ทำงานของคุณเป็นแบบไหน การสร้างบริษัทที่แสนสงบและให้คนที่ทำงานที่นั่นมีความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่ผู้บริหาร หัวหน้าหรือพนักงานระดับล่าง

--

--

Nithisa.L
Super Bibliophile

A (sleepy) Full Stack developer | Coffeeholic | Big eater | Cat lover ლ(●ↀωↀ●)ლ