Meme (มีม) คืออะไร ? ทำไมถึงนิยมขนาดนี้
Meme คืออะไร?
คำนิยายของมีม ถ้าให้เข้าใจง่ายที่สุดก็คือ
“กระแสมุกขำขันบางอย่างที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสังคมอินเตอร์เน็ตโซเชียล” โดยมีมเป็นได้หลายอย่าง ตั้งแต่ภาพ คลิปวีดีโอ คำพูด วลี ประโยคเด็ด และไม่ได้จำกัดว่า จะเป็น คนหรือสัตว์ ไม่ว่าอะไรก็เป็นมีมได้ถ้ามันตลกพอ 😆🤣😄
เราจะเอารูปอะไรมาก็ได้หรอ ? เราจะเขียนอะไรลงไปก็ได้หรอ ? มีคำถามมากมายเกี่ยวกับมีม แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง ? ใครเป็นคนเริ่ม ? แล้วถ้าทำแล้วมันจะตลกไหม ? คำถามเป็นร้อยแปดคำถามมมาก งั้นขอเริ่มที่ มีมเกิดจากใครอะไรยังไง ?
ในปีคศ. 1976 คำว่า “มีม” หรือ “meme” (ไม่ได้อ่านว่าเมเม่หรือมีมี่) ได้ถูกบัญญัติขึ้นโดย Richard Dawkins ในหนังสือ “The Selfish Gene” ซึ่งตัว Dawkins เองให้ความหมายของมีมว่า การแพร่กระจายของไอเดีย หรือข้อมูลทางวัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ โดยไม่ใช่การส่งผ่านทางพันธุกรรมด้วยการเลียนแบบ (โดยรากศัพท์ของคำว่า meme มาจากศัพท์กรีก mimema ที่แปลว่าการลอกเลียน) ซึ่งมีมก็สามารถถูกนำไปพัฒนา ต่อยอด หรือแม้กระทั่งผ่านการคัดเลือดทางธรรมชาติได้อีกด้วย!อย่างไรก็ตาม คำและความหมายของคำก็ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ปัจจุบันคำว่ามีมอาจไม่เหมือนกับมีมที่ Richard Dawkins ได้เขียนไว้ตั้งแต่เริ่ม แต่การใช้งานของมีมก็ยังมีความคล้ายคลึงจากความหมายเดิมอยู่
แล้วทำยังไงถึงจะเป็นมีมได้ พูดถึงมีมก็ต้องนึกถึงเรื่องความตลกอันดับ 1 เลย ต่อมาก็พวกภาพ วิดิโอต่างๆ แต่หากมีมที่เราทำนั้นเกิดการใช้ซ้ำจนมาเกินไป ทำให้เกิดภาวะ “มีมตาย” ที่แปลว่ามีมได้กระจายไปกว้างจนเริ่มไม่ตลกแล้ว🙄 แต่หากต้นแบบของเรานำไปต่อยอดได้ในหลายๆ ทางก็ยิ่งส่งเสริมการใช้ซ้ำและมีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ยืดชีวิตมีมไปได้อีกนิด👍
มีม ก็คือสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวันกันนั้นแหละ เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่าย เข้าใจง่าย ถ้าข้อมูลในคอนเทนต์นั้นๆ มีความคล้ายคลึงกับชีวิตคนหมู่มาก ก็ส่งผลให้คนเข้าใจมุกได้เยอะ กระจายต่อได้อีกมาก แต่อย่างไรก็ตาม บางครั้งมีมมันจะเกิดมันก็เกิด บางอย่างที่ไม่นึกว่าจะตลกก็ตลกได้แบบงงๆ ซึ่งนั่นเป็นธรรมชาติของมีมที่มีเสน่ห์เฉพาะ
เริ่มมาจากยุคบุกเบิกของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่สามารถอัพโหลดภาพลงอินเตอร์เน็ตได้ Leetspeak หรือ 1337speak เป็นภาษาที่เกิดขึ้นจากการแทนตัวอักษรอังกฤษเป็นตัวเลขที่คล้ายคลึงกัน
จนกระทั่งในปี 1996 ที่กราฟิกดีไซเนอร์ Michael Girald ได้สร้างซอฟต์แวร์ที่สามารถโปรแกรมการเคลื่อนไหวคล้ายกับการ Rigging และแสดงผลลัพธ์ผ่านคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งโมเดลแรกที่เขาสร้างนั้นคือ เด็กทารกเต้นจากท่าใน Cha-Cha-Cha เมื่อเขาได้ส่งโมเดลต้นแบบให้กับบริษัท LucasArts ซึ่งภายหลังถูกแปลงไปเป็น GIF ไฟล์ภาพ GIF ของเด็กทารกเต้นตามจังหวะชะชะช่าก็ถูกส่งกระจายไปเป็นวงกว้างตามเว็บไซต์และอีเมลต่างๆ จนกลายมาเป็นสิ่งที่เราเรียกว่ามีมจนถึงปัจจุบันนี้
มี มีม เด็ดๆดังๆเกิดขึ้นมากมายหลังจากมีมีมตัวแรกปรากฎตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นของต่างประเทศหรือในไทยเองก็มีมีม ฮาๆ ตลกๆ เหมือนกัน ก็จะนำตัวอย่างที่ฮิตๆมาให้ได้ชมเป็นน้ำจิ้มกันนะคะ
บอกเลยว่า ไม่มีใครไม่รู้จัก แกวิน โทมัส เพราะเด็กชายคนนี้มีมีมเยอะมากกกกกกกกกก เพราะความที่หน้าตาและความหน้านิ่งของน้องที่มีความเป็นตลก แบบหน้าตาย ทุกภาพของน้องมีกระแสตลอดเวลา เอามาใช้ได้ทุกสถานการณ์ ถือว่าเป็นมีมแห่งปีเลยก็ว่าได้ ใครที่เห็นแล้วไม่ขำคือเส้นลึกสุดๆแล้ว5555555
นี้ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่บอกเลยว่าฮอตสุดๆ การแสดงท่าทางที่ดูแล้วต้องหัวเราะออกมาจนได้อะนะ555555555 เป็นบุคคลในมีมบนโลกออนไลน์ นักแสดงชาวไนจีเรียผู้นี้ดังชั่วข้ามคืน จนกลายเป็นขวัญใจชาวเน็ตทั่วโลก หากใครที่กำลังทายว่าอายุของโอชิตานั้นเพียงแค่ 10 กว่าปี ต้องคิดผิดเพราะอายุที่แท้จริงของเขานั้น อายุ 37 ในปีนี้แล้ว (เกิดปีค.ศ 1982) WOW😵😲‼
นอกจากนี้ก็ยังมีการนำรูป ดารา นักแสดง ศิลปิน ไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศ มาใส่คำพูดที่สอดคล้องกับลักษณะท่าทางที่คนๆนั้นทำแล้ว เกิดเป็น มีม ขึ้นมา หรือแค่เปลี่ยนประโยชน์คำพูด ก็เกิดขึ้นเป็น มีม อีกตัวแล้ว
มีม มีผลดีผลเสียอบ่างไรบ้าง ?
การแพร่กระจายอย่างรวดเร็วทำให้มีมเป็นที่สงสัยและเป็นการตั้งคำถามกันว่ามีมเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีกันแน่นะ บ้างก็ว่ามีมเป็นเหมือนไวรัสที่กัดกินความคิดของคนหรือการใช้มีมในทางที่ไม่ดีก็ส่งผลให้ผู้คนมองเรื่องต่างๆในทางที่ไม่ดีหรือส่งผลกระทบต่อผู้คนที่มีความคิดไม่ตรงกันต่อต้านแนวคิดในมีมเป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่ามีมจะเป็นเรื่องที่แย่ซะทีเดียวนะคะ ยังมีมีมที่นับว่าตลกและให้กำลังใจผู้คนในเวลาเดียวกัน หรือตลกอย่างสร้างสรรค์ก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามควรใช้วิจารณญาณในการชมสื่อต่างๆ และควรคิดในแง่บวกหรือมองให้เป็นแค่เรื่องตลกก็พอค่ะ และในวันนี้ก็พอรู้จัก มีม กันหอมปากหอมคอแล้วนะคะงั้นต้องขอตัวลาไปก่อนค่ะ สวัสดีค่ะ