แปลกแต่จริงของ “หนังจากเกม” ถ้าหนังไม่ดังรุ่งโรจน์โชติช่วง ก็พังร่วงลงเหว

Snookk
Artisan Digital
Published in
3 min readMar 15, 2018
Resident Evil Vendetta (2017)

บนโลกใบนี้มีหนังที่ถูกสร้างมาจากหลากหลายรูปแบบ โดยส่วนใหญ่ที่เราได้รับชมอาจจะเป็นหนังที่ประพันธ์บทขึ้นมาใหม่ เขียนบทภาพยนตร์ขึ้นมาใหม่ แล้วไปสู่การทำเป็นหนัง แต่ก็ยังมีหนังที่มาจากรูปแบบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังที่สร้างมาจากนวนิยาย หนังที่สร้างจากการ์ตูน หนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริง หนังที่สร้างจากชีวประวัติ ซึ่งหนังบ้างเรื่องประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องรายได้ของหนังและกระแสตอบรับที่ดีจากคนดู ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นหนังที่สร้างมาจากนวนิยายก็ต้องเป็นเรื่อง Harry Potter, The Lord of the Ring, The Hunger Games ซึ่งต้องบอกเลยว่าทั้งในด้านของรายได้จากหนัง เรียกได้ว่ามหาศาลจนค่ายหนังต้องขยันทำภาคต่อออกมาแทบไม่หวั่นไม่ไหว และกระแสตอบรับจากแฟนหนังที่ชื่นชอบเทคะแนนเสียงในทิศทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ว่าเป็นหนังที่ดีมาก ให้ทั้งความบันเทิงและยังคงรักษาเนื้อเรื่องหลักตามฉบับนวนิยาย แต่ทว่า มีหนังอีกรูปแบบหนึ่งที่มีค่ายหนังหลายค่ายมีความสนใจเอามาเป็นหนัง นั้นก็คือ “หนังที่ทำมาจากเกม” ด้วยความที่อยากจะสร้างตลาดใหม่ ๆ และเอาใจคอเกมด้วยการหยิบเกมที่มีชื่อเสียง เนื้อเรื่องที่สนุก ลองเอามาทำเป็นหนังฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งบอกเลยว่าหนังที่มาจากเกมกว่า 80% มักจะห่วยและโดนแฟนเกมด่ายับ ยังไม่พอบางเรื่องไม่เฉพาะแค่แฟนเกม แม้แต่คนที่ไม่เคยเล่นเกม ไม่ได้เป็นแฟนเกม ไม่รู้จักเกมนี้มาก่อน ก็ให้กระแสตอบรับในแง่ลบซะส่วนใหญ่ ฉะนั้นทุกครั้งที่มีหนังสร้างมาจากเกม จะเป็นที่จับตามองของคอหนังและแฟนเกมนั้น ๆ อยู่เสมอ ว่าจะสามารถลบอาถรรพ์คำสบประมาทของหนังรูปแบบนี้ได้หรือเปล่า

Assassin’s Creed (2016)

Assassin’s Creed (2016)

มีหนังที่ทำจากเกมหลายเรื่องที่โดนทั้งกระแสวิพากษ์วิจารณ์ด่ายับจากคนดูที่เป็นแฟนเกมและคนที่ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลยในเกม ยกตัวอย่างแบบคิดไว ๆ ก็คือหนังเรื่อง “ASSASSIN’S CREED” โห!!!!!! พระเจ้าให้ตายเหอะ ส่วนตัวผมไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน แต่ก็ถามความรู้สึกจากแฟนเกม และเราก็พอรู้จักเกมนี้อยู่บ้างว่ามันคือเกมที่สุดของที่สุด ทั้งเนื้อเรื่องที่เรียกได้ว่าสนุกมากและมีภาคต่อออกมาอยู่เรื่อย ๆ แต่ในฉบับหนัง ASSASSIN’S CREED ที่ฉายในปี 2016 คือความล้มเหลวอีกครั้งหนึ่งของหนังที่ทำมาจากเกมที่ผมยังจำไม่เคยลืมเลือน และคอยเตือนตัวเองเอาไว้ถึงความไม่อภิรมย์ในการดูหนังเรื่องนี้เลย เนื้อเรื่องที่ควรจะได้ขายความสนุก ความแอคชั่น แต่กลับไม่มีอะไรเลย เล่าเรื่องแบบโคตรน่าเบื่อ แอคชั่นก็บ้าน ๆ พอดูรวม ๆ แล้วเฉย ๆ กับหนังเรื่องนี้มาก ตอนนั้นไปดูในโรงภาพยนตร์แทบจะหลับคาเบาะกันเลยทีเดียว ด้วยกระแสตอบรับที่ไม่ดีและกระแสเงินแย่ตาม ๆ กัน สุดท้ายหนังที่เคยมีแผนจะทำภาคต่อทางค่ายหนังต้องยอมทำใจพับโปรเจคนี้ไปยาว ๆ

Need for Speed (2014)

Need for Speed (2014)

เรื่องต่อมาเป็นเกมรถแข่งที่ทำออกมาหลายภาค จนปัจจุบันก็ยังมีภาคใหม่ ๆ ออกมาอยู่ นั้นก็คือเกม “Need For Speed” สมัยเด็ก ๆ ผมเป็นแฟนเกมชุดนี้และเรียกได้ว่าเลิกเรียนกลับบ้านมา จะต้องเปิดคอมพิวเตอร์สวมวิญญาณนักซิ่งตีนผีเล่นเกมนี้อย่างเมามันส์ ด้วยความที่ช่วงนั้นกระแสหนังรถแข่งกำลังมา จึงทำให้ค่ายหนังอยากจะมีหนังรถแข่งออกมาสู้กับค่ายอื่น ๆ แต่จะให้เขียนบทหนังขึ้นมาก็กลัวจะสู้ค่ายอื่นไม่ได้เลยหันไปเอาใจแฟนเกมด้วยการหยิบเกมรถแข่งมาทำเป็นหนังซะเลย จนออกมาเป็นหนังเรื่อง “Need For Speed” ที่ฉายในปี 2014 หวังจะขยายตลาดคนดูหนังทั่วไปและเอาใจแฟนเกมที่ชื่นชอบ โดยส่วนตัวผมมองว่าหนังมีความมั่วถึงมั่วมาก ผิดประเด็นไปแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแข่งรถเพื่อล้างแค้น ระเบิดตูมตาม การปล้นโจรกรรมซิ่งบนท้องถนน ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเป็นใจความหลักสำคัญของเกม Need For Speed เลย ในเกม Need For Speed จะเป็นเรื่องราวนักซิ่งตีนผีที่เริ่มจากรถกาก ๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ เอารถกาก ๆ ไปแข่งเพื่อเอาตังค์ หรือเอารถจากพวกคนรวยที่มีรถยี่ห้อดี ๆ เครื่องแรง ๆ จนสุดท้ายเรามีตังค์มากพอ ก็แต่งรถที่เรามีให้แรงและดีที่สุดเพื่อไปแข่งกับบอส เพื่อให้ได้เป็นเจ้าแห่งความเร็ว สมกับชื่อเกมว่า Need For Speed คือฉันต้องการจะให้ทุกคนยอมรับว่าฉันเนี่ยเร็วที่สุดแรงที่สุด แต่ในหนังไม่มีการพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย ประเด็นดราม่าก็ห่วย มั่วแม้กระทั่งซิ่งรถหนีตำรวจก็ยังมั่ว ในเกมการจะซิ่งรถเพื่อหนีตำรวจจะต้องดูแผนที่ว่าเราซิ่งรถไปยังไงควรไปหลบตรงไหน หนียังไงให้รอด หลอกล่อให้ตำรวจขับตามเรามาแล้วติดกับดักในเกม เข้าตรอกซอกซอยอะไรก็ว่าไป เวลาเล่นในเกมมันจะรู้สึกสนุกตื่นเต้น รถตำรวจมันก็ค่อนข้างโหดและแรงพอ ๆ กับเรา แต่ในหนังไม่มีเลย ตำรวจก็ขับตามแบบโง่ ๆ แบบที่รู้ว่าขับตามมันไปก็ตามไม่ทัน ดูแล้วไม่มีความตื่นเต้นอะไรเลย ขับตามแค่ทางปกติก็ยังอุตส่าห์พลิกคว่ำเพื่อให้มันดูแอคชั่น มีความระเบิดตูมตาม รถเสียหลักตีลังกาแบบไม่น่าเชื่อว่าคนขับจะเป็นตำรวจที่ต้องการตามล่าโจรจริง ๆ ซึ่งรายได้จากหนังก็ถือว่าค่อนข้างดีอยู่พอสมควร จริง ๆ ถ้าหนังไม่ได้ชื่อ Need For Speed ผมอาจจะมองหนังเรื่องนี้ดีขึ้นก็ได้ เพราะตัวเรื่องจริง ๆ มันสนุกอยู่เหมือนกัน แต่พอหนังบอกว่ามาจากเกม Need For Speed เชื่อได้เลยว่ามีแฟนเกมหลายคนที่รู้สึกไม่ชอบกับเนื้อหาใจความหลักของหนังเรื่องนี้แน่นอน และจนถึงตอนนี้หนังเรื่องนี้ก็ยังไม่ถูกสร้างภาคต่อออกมา อาจเป็นผลมาจากกระแสคำวิจารณ์ที่ไม่ได้มาแง่ดีสักเท่าไร หนังจากเกมเรื่องนี้จึงเงียบหายไปและไม่ได้มีกระแสพูดถึงอีกเลย

Resident Evil: The Final Chapter (2016)

Resident Evil: The Final Chapter (2016)

อีกเรื่องที่อยากจะยกมาพูดถึงนั้นก็คือเรื่อง “Resident Evil” ที่ตอนนี้ก็จบไปแล้วในฉบับหนัง เพราะเมื่อปี 2016 ได้มีหนังเรื่อง Resident Evil: The Final Chapter ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของหนังตระกูลผีชีวะหลังจากที่หนังได้ดำเนินเรื่องมาอย่างยาวนานจนออกทะเลไปไกลสุดสายตา โดย Resident Evil ก็เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกสร้างมาจากเกม ซึ่งบอกก่อนเลยว่าหนังเรื่องนี้กระแสตอบรับด้านเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนไปในทางแง่ลบเป็นบางภาค แต่รายได้ของหนังกลับสวนทาง หนังสามารถทำกำไรได้ทุกภาคไม่เคยขาดทุนทั้งที่แฟนเกม Resident Evil ต่างออกมาด่าถึงการเอาตัวละครที่ไม่ใช่ตัวละครหลักในเกมอย่าง “อลิซ” มาเป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่อง และยังเอาตัวละครขวัญใจแฟนเกมอย่าง “ลีออน เคนเนดี” ไปเป็นแค่ตัวประกอบในหนัง (แถมยังกากต่างจากในเกมที่โคตรจะเทพ) ซึ่งมันก็เป็นที่พูดถึงว่าทำไมหนังเรื่องนี้คำวิจารณ์ไม่ดีแต่มีคนดู จากการวิเคราะห์ดูแล้วแม้หนังจะไม่ได้เดินตามเรื่องเนื้อหลักตามฉบับในเกมมากนัก แต่ใจความหลักสำคัญของเรื่อง Resident Evil ที่เป็นเรื่องของซอมบี้บวกกับมีความเป็นแอคชั่นที่เข้าถึงง่าย การพูดถึงกลุ่มคนที่ต้องเอาตัวรอดจากซอมบี้และเชื้อไวรัสที่กำลังระบาดไปทั่วโลก มันทำให้คนดูที่ไม่ได้เล่นเกมสามารถที่จะบันเทิงกับมันได้ ยิ่งหนังมีหลายภาคขึ้นคนดูก็เริ่มผูกพันกับอลิซ รวมถึงแฟนเกมที่ก็ยอมเปิดใจมากขึ้น ซึ่งถึงแม้หนังมันจะไม่เป็นไปตามเนื้อหาในเกม แต่ด้วยความบ้าบอของบทหนังก็สามารถที่จะดึงคนดูในติดตามในหลาย ๆ ภาคได้ มีหลายคนออกมาบอกว่าหนังจากที่มีความสมจริงในภาคแรก ๆ ก็เริ่มออกทะเลเวอร์วังจนเกินไปในภาคหลัง ๆ ผมมองว่าถ้าเขากล้าที่จะพัฒนาตัวหนังและตัวละครให้ไปให้สุดในทางนี้มันก็โอเค อยากจะเวอร์ให้ดูมันส์ดูแล้วรู้สึกสะใจยิงกันสนั่นจอก็ไปให้สุดในทางนี้เลย ไม่ต้องสนตรรกะความสมเหตุสมผลอะไรเลย แล้วหนังมันไปสุดทางนี้จริง ๆ ตอนนี้นอกจากหนังจะไม่สนเนื้อเรื่องในเกมแล้ว ยังไม่สนเรื่องความสมจริงอีก และพร้อมที่จะทำให้คนดูเข้าไปดูแล้วได้ความมันส์ความสนุก ซึ่งคนที่ไปดูก็ไม่ปฏิเสธนะว่าดูแล้วรู้สึกสนุกมันส์สะใจ นี่อาจจะเป็นตัวอย่างให้กับหนังจากเกมที่กระแสในด้านเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ดีแต่มีคนดู พูดง่าย ๆ คือด่าหนังแต่ก็ยังอยากไปดูหนังอยู่ดีแหละ อยากรู้ว่ามันจะไปไกลขนาดไหน คนดูส่วนมากเป็นเช่นนั้นจึงทำให้หนังมันขายได้ ก็ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่จริง ๆ มันควรจะแป้กแต่กลับตรงกันข้ามและหนังสามารถขายมาได้ถึง 6 ภาคเลยทีเดียว

The Angry Birds Movie (2016)

The Angry Birds Movie (2016)

เรื่องต่อมาเป็นอนิเมชันมูฟวี่ที่ทำมาจากเกม ซึ่งมีช่วงหนึ่งที่เกมนี้เป็นกระแสนิยมเป็นอย่างมาก ของเล่นของที่ระลึกจากเกมก็เรียกได้ว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เรื่องนั้นก็คือเรื่อง “The Angry Birds Movie” แม้กระแสที่ออกมาจากคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้จะเสียงแตก มีทั้งคนที่ชอบและคนที่ไม่ชอบ แต่โดยส่วนใหญ่ก็จะเทไปทางชอบซะมากกว่า โดยส่วนตัวผมชอบเรื่องนี้มาก นี่ถือเป็นหนังที่ทำจากเกมที่ทำออกมาได้ดีและดูสนุก แต่ด้วยโทนหนังที่ออกไปทางเอาใจคุณหนู ๆ ซะหน่อยจึงทำให้ไม่ค่อยถูกใจผู้ใหญ่กันสักเท่าไร ผมมองว่าด้วยความที่หนังมันมาจากเกมที่ส่วนใหญ่คนที่เล่นก็มักจะเป็นคุณหนู ๆ การที่โทนหนังจะออกมาสดใส เนื้อเรื่องเน้นตลกโปกฮามันก็คงไม่แปลกอะไร และสิ่งที่ทำให้รู้สึกชอบมากขึ้นคือหนังสามารถที่จะเล่าประเด็นของความโกรธของเหล่า Angry Birds ได้ออกมาน่ารักและดูสมูทกับโทนของหนัง รวมถึงเรื่องราวของเหล่า Angry Birds ที่มีปัญหากับแก๊งหมู และยังหยิบเอาคาแรคเตอร์ของตัวละครในเกม ความสามารถของตัวละครในเกม มาประยุกต์กับหนังได้ดีมาก คือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นหนังที่ดูง่ายและหนังมันไม่หลุดประเด็นใจความหลักของเกม คนที่ไม่ได้เล่นเกมจะสามารถสนุกไปกับหนังได้ ส่วนคนที่เป็นแฟนเกมนอกจากจะสนุกไปกับหนังแล้ว คงได้ฟินกับหลาย ๆ ฉากที่หนังจัดมาให้ ในด้านของรายได้ก็เรียกได้ว่าดีมาก แต่ทางค่ายหนังที่ผลิตได้เบรคโปรเจ็คหนังเรื่องนี้ไปแล้ว เนื่องจากตอนนี้เกม Angry Birds ไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

รูปภาพจาก online-station.net

จริง ๆ ยังมีหนังอีกหลายเรื่องที่มาจากเกม ซึ่งก็มีทั้งรุ่งและก็ร่วง ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นเป็นแค่ส่วนน้อย แต่อยากหยิบมาพูดถึงเพราะแต่ละเรื่องมีกรณีที่แตกต่างกันให้ศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระแสคำวิพากษ์หรือกระแสรายได้ของหนัง โดยจากการวิเคราะห์ส่วนตัวผมคิดว่า ปัญหาของหนังที่ทำมาจากเกมส่วนใหญ่มักมาจากปัญหาเหล่านี้

1. หนังเล่าเรื่องผิดประเด็นจากใจความหลักของเกมมากเกินไป ซึ่งปัญหานี้มันทำให้หนังดูไม่เหมือนทำมาจากเกม คนที่เป็นแฟนเกมก็จะรู้สึกไม่อินและทำให้คนที่ไม่เคยเล่นเกมไม่ได้เข้าใจหรือรู้สึกกับประเด็นใจความหลักของเกม สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นหนังที่ก็ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร ถ้าเป็นเกมแนวแอ็คชั่นแต่มันไม่มีใจความหลักของเรื่องที่ต้องการจะสื่อสารให้คนจดจำ หนังที่ทำมาจากเกมแบบนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับหนังแอ็คชั่นธรรมดา ๆ ทั่วไปที่มีให้ดูเกลื่อนกลาดอยู่แล้ว ซึ่งมันก็น่าเสียดาย เพราะเกมที่เอามาทำเป็นหนังแต่ละเรื่องล้วนมีชื่อเสียงในวงการเกม และเมื่อค่ายหนังเลือกเกมนั้นมาสร้างแล้ว แสดงว่าทางค่ายหนังจะต้องเห็นความพิเศษอะไรสักอย่างในเกมนั้น แต่กลับไม่สามารถดึงจุดเด่นของเกมมาขายได้ แทนที่เมื่อเกมกลายมาเป็นหนังแล้วมันควรจะสร้างฐานแฟนทั้งคนดูหนังและแฟนเกมได้มากขึ้น กลับแย่กว่าเดิมหรืออาจจะเป็นภาพจำที่ไม่ดีให้กับเกมไปเลยก็ได้

2. การดำเนินเรื่องและบทของหนัง ถึงหนังมันจะมาจากเกมแต่หนังก็คือหนัง หนังที่มาจากเกมบางเรื่องก็ยึดติดกับการดำเนินเรื่องตามแบบในเกมมากจนเกินไป กลายเป็นข้อเสียของหนังได้เหมือนกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเมื่อเกมมันถูกสร้างมาเป็นหนังฉายขึ้นจอภาพยนตร์แล้ว สิ่งที่ไม่ควรทิ้งคือประเด็นหลักใจความสำคัญของเกมเท่านั้นอย่างที่ได้กล่าวไป ส่วนการดำเนินเรื่องก็ควรจะปรับให้มันดูเป็นหนัง ให้คนที่ไม่เคยเล่นเกมสามารถเข้าใจได้ด้วย สนุกไปกับหนังด้วย และมันจะเป็นภาพจำให้กับหนัง ในส่วนของบทก็ควรจะปรับให้ดูมีความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ตัวละครควรดูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น บทหนังควรมีน้ำหนักในการกระทำนั้น ๆ เพราะมันไม่ใช่เกมที่ต้องเล่นผ่านเป็นมิสชั่น มันคือหนังที่ตัวละครจะต้องผ่านเราไปสำรวจโลกของมัน ความคิดของมัน เหตุและผลของมัน ซึ่งถ้าหนังที่ทำจากเกมสามารถปรับในส่วนนี้ได้ มันจะเป็นผลดีกับตัวหนังอย่างแน่นอน

3. เอาใจแฟนเกม หลายครั้งหนังที่ทำมาจากเกมกลัวว่าแฟนเกมจะไม่สนุก จึงเอาใจแฟนเกมเต็มที่โดยการทำให้หนังเหมือนกับในเกมแทบจะทุกอณู ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเรื่อง การเล่าเรื่องตัวละครที่เหมือนกับในเกมเป๊ะ แย่ไปกว่านั้นบางครั้งมีการเล่าข้ามประเด็นไปซะงั้น รีบปูเรื่องเข้าแอ็คชั่นเลยแฟนเกมจะได้กรี๊ด เล่าเรื่องตัวละครตัวนี้สิแฟนเกมจะได้ชอบ แต่คนไม่เคยเล่นเกมนี่ งงไปสิครับ ไอ้นี่ใครว่ะ มันทำแบบนั้นทำไมว่ะ บางครั้งเข้าใจว่าอยากจะเอาใจแฟนเกมนั้น ๆ แต่อย่าลืมนะว่าตอนนี้มันเป็นหนังที่มีทั้งคนดูที่เล่นเกมและกับคนที่ไม่เคยรู้จักเกม ฉะนั้นมันก็ควรจะปูเนื้อเรื่อง ปูบทตัวละครมาบ้าง คนดูจะได้รู้สึกแคร์ตัวละคร อินกับเนื้อเรื่องของหนังไปด้วย แต่ก็ไม่ใช่ปูตัวละครซะครึ่งเรื่อง ตัวเรื่องไม่ไปถึงไหนหนังอืดเหนือยสุด ๆ แบบนั้นก็ไม่ไหว ถ้าหนังจัดองค์ประกอบของหนังให้พอดีในทุก ๆ ด้าน เล่าเรื่องแล้วคนไม่ได้เล่นเกมก็สนุกกับมันได้ นอกจากมันจะได้ใจแฟนเกมแล้ว อาจจะได้ใจแฟนหนังด้วยก็ได้

การที่ค่ายหนังหรือค่ายผู้ผลิตเกมนำเอาเกมมาทำหนัง ส่วนหนึ่งคือต้องการจะขยายตลาดของตัวเองให้เพิ่มขึ้น ค่ายเกมก็ได้กลุ่มตลาดคนดูหนังเพิ่มขึ้น ค่ายหนังก็ได้กลุ่มตลาดคนเล่นเกมเพิ่มขึ้น ก็ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ทั้งนี้ผมมองว่าเรื่องคุณภาพของหนังกลับเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า หนังจะหวังพึ่งกลุ่มตลาดอย่างเดียวก็คงไม่ได้ หนังที่ดีควรจะยืนอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง เพราะสุดท้ายแล้วคนก็ตัดสินว่าหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไร จากคุณภาพโดยรวมของหนังอยู่ดี หนังดูสนุกหนังมีบทที่ดี ต่อให้ไม่ได้ทำมาจากเกม มันก็มีคนดู รายได้ที่จะได้รับมันก็จะตามอยู่ดี ฉะนั้นหากค่ายหนังใส่ใจกับคุณภาพของหนังที่มาจากเกมเพิ่มอีก เราคงได้ดูหนังที่มาจากเกมที่ดี สนุก และก็มีคุณภาพ

ในช่วงนี้ก็มีหนังที่ทำมาจากเกมกำลังเข้าฉายอยู่ นั้นก็คือ “Tomb Raider” ที่นำแสดงโดย อลิเซีย วิกันเดอร์ เรื่องราวของหญิงสาวที่ต้องออกผจญภัยเพื่อตามหาความจริงบางอย่างในสถานที่สุดอันตราย ซึ่งเมื่อหลายปีมาแล้วหนังเรื่องเคยถูกสร้างขึ้นและได้ดาราระดับตัวแม่อย่าง แอนเจลีนา โจลี มารับบท ลาร่า ครอฟต์และหนังมันก็ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคนดูที่ชื่นชอบตัวหนังเรื่องนี้ โดยในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้มีบทสัมภาษณ์จากต่างประเทศบอกว่า อลิเซีย วิกันเดอร์ เธอลงทุนเข้าฟิตเนสฟิตร่างกายให้ดูสมกับเป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่งแข็งแรง และสามารถรับบทแอ็คชั่นได้อย่างสมบทบาท ก็ถือว่าน่าสนใจสำหรับ Tomb Raider ในเวอร์ชั่นนี้ และในเดือนเมษายนจะมีหนังอีกเรื่องที่ทำมาจากเกมนั้นก็คือ “Rampage” หนังกอริลลายักษ์บุกเมือง ซึ่งนำแสดงโดย ดเวย์น จอห์นสัน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ The Rock รูปแบบของหนังก็มาแนวแอ็คชั่นสนั่นเมือง ก็คงต้องมารอดูกันว่าหนังที่ทำมาจากเกมสองเรื่องนี้จะรุ่งหรือจะร่วง ซึ่งเราก็ได้แต่หวังว่ามันจะออกมาดีซะที เพราะถ้าหนังมันออกมาในทิศทางที่ดี คนที่จะได้ทั้งกำไรได้ทั้งความสุขหลังจากเดินออกจากโรงหนังก็คงไม่พ้นคนดูหนังกับคนที่เป็นแฟนเกม จริงมั้ยล่ะครับ

ตัวอย่างภาพยนตร์ Tomb Raider
ตัวอย่างภาพยนตร์ Rampage

--

--