[LONGDO Movie Review] #3 Unfairly Tales

[LongDo]
Artisan Digital
Published in
3 min readSep 28, 2019

--

“ นิทานไม่ได้มีแค่ตอนจบที่สวยงาม นิทานยังคงมีอีกด้านเสมอ อีกด้านของนิทานที่เป็นความจริง ซึ่งอาจโหดร้าย รุนแรง และไม่แฟร์เอาเสียเลย เรามักจะใช้นิทานและเรื่องเล่าที่แสนมหัศจรรย์ต่างๆนานา เพื่อปลอบประโลมจิตใจที่บอบช้ำจากความเป็นจริง ลดทอนความคับข้องใจที่ในบางครั้งเราก็ปฏิเสธ หลีกเลี่ยงหรือชินชากับสิ่งที่เกิดขึ้น และเริ่มตั้งคำถามกับโลกนี้ เหตุใดจึงไม่ยุติธรรมกับฉันเลย ทั้งๆที่มันก็เป็นเพียงความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าคุณ เรามาเรียนรู้ที่จะจัดการกับความเป็นจริงต่างๆ ผ่านเรื่องเล่าที่แต่งขึ้นดูไหมสักหน่อยไหม? มันอาจจะทำให้คุณฉุกคิดอะไรขึ้นมาก็ได้ ”

Bridge to Terabithia (2007)
Director: Gabor Csupo

Terabithia คือแดนมหัศจรรย์ที่เป็นไปด้วยยักษ์ โทรล และสัตว์ประหลาดต่างๆนานา ซึ่งสร้างขึ้นโดย Jesse Aarons (Josh Hutcherson) และ Leslie Burke (AnnaSophia Robb) พวกเขาใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนและวันหยุดในการรังสรรค์โลกอีกใบขึ้นมาด้วยกันในป่าใกล้ๆละแวกบ้าน ที่ Terabithia พวกเขาทั้งสองคือราชาและราชินีของดินแดนนี้ ซึ่งมันอาจเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยจินตการ แต่ในโลกจริงๆ พวกเขาทั้งสองเป็นเพียงเด็กธรรมดา และมีพื้นเพต่างอย่างมาก Jesseมาจากครอบครัวเกษตรในชนบทที่ต้องช่วยพ่อแบ่งเบาภาระต่างๆ ส่วนLeslieเป็นลูกสาวของครอบครัวศิลปินที่แสนสบาย ทั้งสองเริ่มรู้จักกันเมื่อ Leslie ย้ายเข้ามาเรียนในโรงเรียนเดียวกับJesse และเอาตำแหน่งคนที่มีฝีเท้าเร็วที่สุดไป นั่นทำให้ทั้งคู่ค่อยๆปรับความเข้าใจและสนิทกันมากขึ้น ในที่สุด Leslie ได้พา Jesse ข้ามสะพานไปสู่ Terabithia แม้ว่าสะพานนั้นจะเป็นเพียงแค่เชือกเก่าๆที่ใช้โหนตัวข้ามแม่น้ำเล็กๆก็ตาม แต่มันคือสิ่งที่ตัดความไม่แฟร์ทั้งหมดในโลกแห่งความจริงออกไป เหลือเพียงสิ่งที่พวกเขาต้องการที่จะเป็นและต้องการที่จะรับรู้ในโลกของพวกเขาเอง อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งความเป็นจริงที่สุดแสนจะไม่แฟร์นั้นก็พรากชีวิต Leslie ไป แต่ Jesse นั้นได้เรียนรู้ที่จะยอมรับแล้วข้ามสะพานไปสู่อีกช่วงวัยที่เติบโตขึ้น เขาสามารถก้าวผ่านความเสียใจและยอมรับความจริง และเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริง แม้ว่ามันจะไม่แฟร์ก็ตาม

— จิต —

A Monster Calls (2016)
Director: J.A. Bayona

ใครว่าเป็นเด็กไม่เจ็บปวด ใครว่าเป็นเด็กไม่รู้เรื่องอะไร บางทีความเป็นเด็กก็ซับซ้อนกว่าที่คุณจะจำได้ คอนเนอร์ (Lewis MacDougall) เด็กชายที่เจ็บปวดจากสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นแม่ที่ป่วยใกล้ตาย พ่อแม่แยกทางกัน คุณยายที่ไม่ค่อยรับฟังความเห็นจากเขา เพื่อนคอยทำร้ายร่างกาย ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่เขาต้องเผชิญในวัยเด็ก มันหนักหนาเกินกว่าที่เขาจะรับได้ มันไม่ยุติธรรมกับช่วงเวลาเด็กที่เขาควรได้รับเลย ในช่วงระหว่างนั้นก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อต้นไม้ใหญ่ในสุสานกลายเป็นปีศาจตัวใหญ่ และพยายามมาหาคอนเนอร์ แต่ปีศาจตัวนี้ไม่ได้มาทำร้ายเขาแต่อย่างใด เพียงแค่จะมาเล่าเรื่องให้ฟัง 3 เรื่อง แลกกับเรื่องเล่าจากเขาแค่ 1 เรื่อง เรื่องเล่าจากปีศาจไม่ได้เพียงเป็นแค่นิทานทั่วไป แต่มันกลับแฝงข้อคิดที่ผู้ใหญ่บางคนก็ลืมไปด้วยซ้ำ เริ่มจากเรื่องที่ 1: เจ้าชายกับแม่มด มันก็ได้สอนเขาว่า อย่าตัดสินคนเพียงสิ่งที่เรารับรู้ เพราะนั้นอาจไม่ใช่ทั้งหมดของความจริง และมันก็ได้สอนให้เขามองคุณยายของเขาใหม่ ว่ายายไม่ได้ไม่รับฟัง เพียงแค่จู้จี้ มีระเบียบ ซึ่งอาจจะขัดใจเขา ทำให้เขาไม่อยากจะรับรู้สิ่งที่ยายเขาอยากจะสื่อจริง ๆ เรื่องต่อมา นักปรุงยากับนักบวช เรื่องนี้ได้สอนให้รู้ว่า การมองและเข้าใจคนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อการกระทำของคนรอบข้างอาจไม่เป็นอย่างใจ เราก็ต้องยอมรับมันให้ได้ และอีกคติที่ได้จากเรื่องนี้ คือ ความเชื่อมั่น เมื่อคอนเนอร์รู้สึกว่า การรักษาอาจไม่เป็นอย่างที่หวัง เขาเริ่มไม่มั่นใจ แต่เรื่องนี้ก็บอกให้เขาเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอแค่เชื่อมั่นก็พอ และเรื่องสุดท้ายจากปีศาจ มนุษย์ล่องหนที่ไม่ล่องหน (เกทสึว่าปะล่ะ) เรื่องนี้สอนให้เขายอมรับความจริงจากตัวเองอย่างนึง คือ บางทีลึก ๆ ในใจเราอาจจะอยากให้ปัญหามันหยุดซะที แต่การที่จะหยุดปัญหานั้น มันก็ไม่ใช่วิธีที่ดีเสมอไป แน่นอนว่าเขาเคยคิดอยากให้ปัญหาเรื่องที่แม่เขาป่วย มันจบซะที แต่การที่จะจบปัญหานี้ได้ ก็มีแต่ความตายเท่านั้น ซึ่งมันแย่กับความรู้สึกเขามาก ๆ เขาจึงเรียกร้องความสนใจ โดยการพยายามให้เพื่อนที่เป็นนักเลงมาทำร้าย เพียงเพื่อลดความรู้สึกผิดในใจแค่นั้น เรื่องเล่า 3 เรื่องจากปีศาจต้นไม้ อาจจะทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่อาจไม่มากพอสำหรับการสูญเสีย เรื่องที่ใคร ๆ ต่างสอนไม่ได้ เรื่องเล่าสุดท้ายจากเขา คือ การสูญเสียแม่ และการทำความเข้าใจกับความสูญเสียนั้น มันยากที่จะเข้าใจ มันยากที่จะผ่านมันไปโดยไม่เจ็บปวด แต่เชื่อเถอะ เรื่องนี้จะสอนให้เรารับความจริงที่เกิดขึ้นได้มากกว่าที่ผ่านมา สำหรับคุณ คุณเคยเจ็บปวดจากวัยเด็กบ้างไหม คุณยังคงมองว่าเด็กเป็นวัยที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรอยู่รึเปล่า

— เด็กหญิงผ้าไหม —

Pan’s Labyrinth (2006)
Director: Guillermo del Toro

“หวานอม ขมปลาย” คงเป็นคำนิยามของหนังเรื่องนี้ได้ดีที่สุด รึเปล่า? ฮ่าๆ ถ้าคุณเคยฝันว่า อยากมีแฟรี่ตัวน้อย เคียงข้างยามคุณตื่น มาเฝ้าคุณยามคุณหลับ เปรียบดังเจ้าหญิง มันคงดีไม่น้อย แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ เป็นหนังที่ถ้าคุณมองมุมนิทานน่ารัก ๆ มันก็น่ารักจริงอะแหละ แต่มองอีกมุม….. แค่แฟรี่มาปลุกคุณ พาเดินป่าตอนกลางคืนดึก ๆ ดื่น ๆ ก็น่ากลัวแล้ว… หนังเป็นหนังมาแนวโทนมืด และมีความหม่นหมองพอสมควร ตัวหนังไม่พยายามปิดอะไรเลย จัดเต็มตั้งแต่ต้นเรื่อง และแฟรี่แต่ละตัวในเรื่องนี้ ไม่น่ารักเลยสักนิด!!!

หนังเล่าถึงโอฟีเลีย(Ivana Baquero) เด็กเวรคนหนึ่งที่หลงใหลในนิทาน เจ้าหญิง องค์หญิง หรือเทพนิยาย อย่างมาก ต้องทำการทดสอบสามอย่าง ก่อนคืนจันทร์เพ็ญ เพื่อกลับไปโลกที่เทพารักษ์บอกไว้ว่าเป็นโลกจริง ๆ ของเธอ และได้หนังสือเล่มหนึ่งมา ที่จะเปิดอ่านได้ก็ต่อเมื่อเธออยู่คนเดียว ซึ่งการที่จะผ่านแต่ละบททดสอบนี้โหดหินและหงุดหงิดมาก (สำหรับบางคน) โดยหนังเรื่องนี้เล่าถึงเด็กในระหว่างสงคราม ที่มีสองฝ่ายสู้รบกัน แต่ความสนุกของหนังคือการตีความว่า สิ่งที่เด็กเจอมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริง ๆ หรือเป็นแค่สิ่งที่เด็กจินตนาการขึ้นมา เพื่อให้มีความสุข เพราะตัวหนัง ไม่เห็นความรักจากพ่อสู่ลูกเลย ทำให้ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้พยายามการบ่งบอกว่า เด็กที่อยู่ในภาวะแบบนี้แถมไม่มีเพื่อน สิ่งเดียวที่สามารถยึดถือไว้ในจิตใจได้คือ เทพนิยาย มันสามารถทำให้เด็กมีความสุขได้ หนีพ้นโลกอันเลวร้าย

(แต่เทพนิยายนี้มันก็ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่อะนะ)

ท้ายที่สุดแล้ว เทพนิยายก็คือสิ่งที่เราปรุงแต่งขึ้นมาเองเพื่อหลีกหนีความจริง..

ปล. หนังเรื่องนี้เรทควร18+

— ZTherday —

Big Fish (2003)
Director: Tim Burton

หากเรื่องราวชีวิตคนคนหนึ่งที่ฟังดูแล้วสวยหรูและเต็มไปด้วยเหตุการณ์เหนือจินตนาการต่างๆเหมือนกับนิทานที่แต่งขึ้นมา แน่นอนว่ามันก็ยากที่จะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่มันคือสิ่งที่ Edward Bloom (Ewan McGregor) เล่าเรื่องราวชีวิตของเขาให้ลูกชายของเขาฟังตั้งแต่เด็กจนโต ทำให้เมื่อ Will Bloom (Billy Crudup) ลูกชายของเขานั้นเติบโตขึ้น นิทานแสนสนุกของพ่อไม่ได้ทำให้เขาเพลิดเพลินอีกต่อไป กลายเป็นคำถามในใจของเขาว่าเรื่องจริงมันเป็นอย่างไร เขาไม่ได้ต้องการเรื่องเล่าใดๆอีกเขาร้องขอเพียงเรื่องจริงจากปากพ่อของเขาแต่ก็ไม่เคยได้รับ และนั่นยิ่งสร้างระยะห่างระหว่างเขาและพ่อมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่คุยกับพ่อเลยนานถึง 3 ปี จนเมื่อเขาได้รับข่าวว่าพ่อของเขานั้นเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว Will จึงจำใจกลับไปเยี่ยมพ่อของเขาเอง และแน่นอนเขาก็ยังได้ฟังเรื่องราวชีวิตของพ่อเขาเช่นเดิม ตั้งแต่สมัยที่ Ed ยังเป็นหนุ่มจากเมือง Ashton ที่เปรียบเทียบตัวเองกับปลาตัวใหญ่และรู้สึกว่าเมืองเล็กๆนี้แคบเกินไปสำหรับเขา ทำให้เขาเริ่มเดินทางไปสู่โลกอันกว้างใหญ่ เขาพบพานกับแม่มด ยักษ์ เมืองลับแล คณะละครสัตว์ คนรัก สงคราม ปลาตัวใหญ่ยักษ์และรวมถึงช่วงเวลาที่ลูกชายของเขาเกิด ทั้งหมดยิ่งทำให้ Will เคลือบแคลงใจยิ่งขึ้น จนเขาเริ่มออกตามหาความจริงทีละเล็กละน้อยและพบว่าในเรื่องราวทั้งหมดมีทั้งจริงและไม่จริง แต่ทั้งหมดของนิทานนั้นเพื่อกลบเกลื่อนความเป็นจริงที่พ่อของเขาไม่อยากที่จะยอมรับมัน พ่อของเขาเชื่อว่านิทานเหล่านี้คือสิ่งที่น่าฟังกว่าความเป็นจริงที่ไม่แฟร์ แต่นั่นทำให้ชีวิตของ Will ต้องเจอกับปมในใจมาโดยตลอด แต่หากชีวิตมันไม่แฟร์แล้วหละก็เราอาจจะต้องพึ่งนิทานเล็กๆเสียหน่อยก็ได้

— จิต —

และแล้วนิทานทั้งสี่ก็จบลงไป คุณรู้สึกถึงความไม่แฟร์ อึดอัด คับข้องใจบ้างไหม? แล้วคุณได้ถามตัวเองหรือยังว่านิทานชีวิตของคุณอะไรที่ไม่แฟร์ไหม คุณจัดการกับเรื่องราวเหล่านั้นอย่างไร ยอมรับ เรียนรู้ เข้าใจ หรือหลีกหนีมันเข้าไปในจินตนาการของคุณเหมือนกับนิทานเหล่านี้ไหม?

ติดตามบทความของพวกเราแบบนี้ได้ทุกเดือนที่ LongDO

--

--

[LongDo]
Artisan Digital

โปรเจครีวิวภาพยนตร์ที่อยากให้ผู้อ่านได้ลองดูภาพยนตร์ที่อาจจะไม่เคยได้รู้จัก และยังนำเสนอแง่มุมเล็กๆของภาพยนตร์ที่คุณอาจรู้จักอยู่แล้ว แต่ไม่เคยได้สังเกต