ขออภัยที่รูปเอาอาจไม่เข้าท่านะครับ แต่มันเป็นรู้ที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายที่สุดครับ

[INTERNSHIP] รีวิวฝึกงานซั่ว ๆ ที่ Artisan Digital โดยนักศึกษาซั่ว ๆ

M
Artisan Digital
Published in
3 min readJul 22, 2019

--

ซั่วในภาษาอีสาน แปลว่า โง่ , เขลา หรือ มั่ว เราอาจได้ยินจากเมนูส้มตำอีสานนั้นก็คือตำซั่ว ตำซั่วมีลักษณะการตำส้มตำที่รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ประหนึ่งว่าจับทุกอย่างใส่รวมกันมั่ว ๆ ซั่ว ๆ นั่นก็คือที่มาของตำซั่วนั่นเอง

แต่ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาฝึกที่ อาดิซาน เอ้ย. .อติซาน เอ้ย.. อามดิซาน เอ้ย.. อาร์ติซาน เอ้ย.. ถูกแหล่ว แหม่ ไม่น่าเล่นเลย แต่ขอย้ำนะครับขอย้ำว่า อาร์ติซาน ดิจิตอล (Artisan Digital) เพราะผมนั้นชอบพูดชื่อบริษัทผิดบ่อยมากฉะนั้น ก่อนอื่น

กระผม นายศักดิ์ชัย พนักงานฝึกงาน ฝ่าย Digital Marketing ขออนุญาตลงโทษตัวเอง เนื่องจากพูดชื่อบริษัทผิดหลายต่อหลายครั้งครับ!

คือเรื่องมันมีอยู่ว่าผมพยายามหาที่ฝึกงานเพื่อที่จะไปฝึกงาน กับสองเพื่อนรักของผม ที่มีชื่อว่า นายเชิดชัย และนายธันวา แต่เจ้ากรรม ไอ้พวกเลวนี้ไม่เดินเรื่องและไม่ทำ**อะไรเลย ผมก็เลยได้มาฝึกคนเดียวเหงา ๆ อยู่อย่างงี้ แต่ก็ดีที่มีรุ่นน้องที่ฝึกด้วยกัน แล้วดันมาจากจังหวัดเดียวกันอีกซึ่งก็คือ นครพนม แต่ความซั่วที่แท้ทรูของผมนั้น คือทางมหาลัยของผมนั้นเวลาจะลงฝึกงาน (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) มันจะมีเว็บไซต์หลักของมันในการลงทะเบียนฝึกงาน ด้วยความที่เป็นคนซั่ว ๆ ผมก็คิดว่าทำเรื่องกับมหาลัยแล้วก็ส่งเอกสารไปแค่นั้นเป็นอันจบ แต่ที่จริงแล้วการที่นักศึกษาจะลงฝึกงานเนี่ย มันต้องมีกระบวนการที่มากกว่านั้น ตอนแรกต้องยื่นไปที่บริษัทที่ฝึกงานก่อน เพื่อที่จะให้ทางบริษัทพิจารณาว่าจะรับดีไหม ไม่ใช่ยื่นแบบตอบรับของทางมหาลัยเลย ดังนั้นด้วยความเง่าของผมเนี่ย ผมก็ทำเรื่องที่มหาลัยแล้วยื่นใบตอบรับให้กับบริษัทเลย โดยไม่มีการบอกล่วงหน้าแต่อย่างใด แล้วผมมารู้เรื่องภายหลัง เพราะว่าทางอาร์ติซานได้โทรมาหาผม แล้วบอกว่าที่ผมเดินเรื่องแบบนี้มันไม่ถูก ที่จริงมันต้องยื่นทางบริษัทก่อน เนี่ยผมพิมรู้เรื่องไหมเนี่ย โดยจะมีพี่คนหนึ่งโทรมาหาผม บอกว่าที่น้องส่งเอกสารมาก่อนเนี่ยมันไม่ถูกนะ ปกติน้องต้องติดต่อมาทางบริษัทก่อน ผมก็อึ้งทำตัวไม่ถูก ได้แต่ขอโทษพี่เขา แล้วพี่ที่โทรมาก็บอกงั้นเอายังงี้ละกันพี่ก็จะสัมภาษณ์งานน้องทางโทรศัพท์เลยละกัน

ผมก็เลยแบบ อะไรกันเนี่ยผมยังไม่ได้เตรียมตัวเลย ให้ตายเถอะครับ พี่มาแบบปุ๊บปั๊บไปแล้ว

และแล้วการสัมภาษณ์ก็จบไป พร้อมกับการพูดตอบแบบสัมภาษณ์อย่างตะกุกตะกักของผม จากนั้นพี่แกก็บอกว่าเดี๋ยวพี่จะส่งแบบทดสอบไปให้ ผมตอบตกลงพร้อมกับขอบคุณครับและวางสาย ในใจผมก็คิดว่า ชิบหายแล้ว จะทันไหมเนี่ย กำหนดส่งแบบตอบรับเนี่ยมันส่งวันที่ 10 ของเดือนนั้นแล้วพี่แก ก็โทรมาตอนวันที่ 7 ของเดือน พับผ่าสิ แล้วผมก็เฝ้ารอโจทย์ของพี่อย่างใจจดใจจ่อ แล้วโจทย์ก็มาวันที่ 9 ของเดือนผมก็เร่งทำ และรอการตอบรับทันที แต่ดูเหมือนจะไม่ทันใช่ไหมละครับ แต่ฟ้าก็เห็นใจหรือยังไงก็ไม่ทราบ อยู่ ๆ ทางมหาลัยก็เลื่อนกำหนดขยายวันเปิดรับเอกสารตอบกลับฝึกงานเป็นวันที่ 15 ซะงั้น แหม่ยังงี้มันฟ้าเป็นใจชัด ๆ มันต้องมีอะไรบางอย่างอยากให้ผมมาฝึกที่นี่ แต่ผมก็ไม่เชื่อเรื่องโชคลางหรอกครับ เหมือนตอนต้นที่ผมบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะมาฝึกงานที่อาร์ติซาน แต่พอเข้าเว็บไซต์ที่รวบรวมบริษัทฝึกงานไว้แล้วผมเลือกดูหมวดหมู่ แล้วคลิกไปที่จังหวัดเชียงใหม่ ผมเห็นบริษัทอาร์ติซานนั้นขึ้นมาเป็นอันแรก มันทำให้ผมรู้สึกแบบว่า เห้ย ที่นี่แหละ แล้วก็โป๊ะเชะ ผมก็ผ่านการทดสอบจนได้ และแล้วจุดเริ่มต้นของการผจญภัยก็ได้เริ่มขึ้น ณ บัดนี้

นี่คือความรู้สึกของผมตอนเห็น อาร์ติซานนั้นขึ้นมาเป็นอันแรก

เอาละเข้ามาที่ผมมาฝึกงานเลยละกัน ร่ายยาวมาเยอะจนจะไม่ใช่การรีวิวอยู่แล้ว โถ่

การมาฝึกงานครั้งนี่ ต้องขอยอมรับอีกทีว่าไม่ได้ศึกษาข้อมูลของบริษัทมามากพอ คือผมรู้แค่ตำแหน่งที่มาฝึกคือ Digital Marketing ซึ่งจะเป็นการทำงานในส่วนของการวางแผน แผนการตลาดที่จะมุ่งเน้นไปทางออนไลน์ทางดิจิตอลนั้นเอง ซึ่งก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผมมาก และเวลาทำสไลด์แผนการตลาดนั้นก็ต้องทำสไลด์เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งก็อีกแล้วครับ นักศึกษาซั่ว ๆ อย่างผมเนี่ยก็ไม่ถนัดทางด้านภาษาเอาซะเลย แต่ก็ดีที่ทุกวันจันทร์ของสัปดาห์ที่นี้ก็จะมีการสอนอังกฤษทุกสัปดาห์พอดี แหม่ดีจริง ๆ

วันแรกก็มาถึงผมก็ได้เจอกับ พี่คนนั้นเลยครับ พี่คนที่สัมภาษณ์ผม แกชื่อเบิร์ดครับ พี่แกเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดของที่นี่ พอมาถึงก็มาเริ่มทำงานกันเลย งานแรกที่ผมได้ประเดิม คือมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าของบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นงานแรกของผมก็ยังเก้ ๆ กัง ๆ อยู่เลยได้ทำงานร่วมกับน้องที่มาฝึกงานด้วยกันที่ชื่อเนม ซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นน้องรักของผมไปซะแล้ว

แล้วผมก็พึ่งมารู้ตัวตอนฝึกงานด้วยว่าน้องรักของผมนั้นมาจากจังหวัดเดียวกันอีกต่างหาก แต่ด้วยความที่ยังใหม่อยู่การทำงานในช่วงแรกก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างยากลำบาก

แต่ก็ได้พี่เบิร์ดคอยช่วย ช่วยให้งงกว่าเดิม อ่ะ อ้าวว ไม่ใช่ ๆ ครับ หยอก ๆ ซึ่งวิธีแกสอนงานนั้น แกก็จะไม่บอกตรง ๆ หรอกน่ะครับว่าให้ทำยังไง แต่พอถามพี่แก แล้วพี่แกก็ถามกลับทำให้ผมกลับไปคิดหลายตลบอยู่เหมือนกัน แต่ก็จะบอกคีย์เวิร์ดอะไรบางอย่าง ให้ผมไปวิเคราะห์ซึ่งมันก็ช่วยในระบบกระบวนการคิด ซึ่งทำให้ผมนั้นได้คิดอย่างลึกซึ้งขึ้น และข้อดีอีกอย่างของบริษัทนี้คือเด็กฝึกงานก็จะได้จับงานจริง ๆ เลย พี่เบิร์ดแกจะบอกตลอดเลยว่า ให้คิดว่าลูกค้าเป็นเหมือนเพื่อนของเรา

เพื่อนของเรานั้นยังขาดสิ่งไหน สิ่งใดที่เราจะมอบให้กับเพื่อนของเราคนนี้ได้บ้าง ?

แล้วงานต่อมาก็เป็นงานของอาจารย์ยอด ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ทำแอปพลิเคชันที่เกี่ยวกับฮวงจุ้ย รอบนี้ผมได้ทำงานกับไอ้หนุ่มเชียงใหม่ที่ชื่อเซน ซึ่งก็กลายเป็นน้องรักของผมอีกแหละ เราก็ได้ร่วมมือกันทำแผนการตลาดออกมา พอทำเสร็จก็ได้เวลาพรีเซนต์

แล้วมันทำให้ผมรู้ว่า การพรีเซนต์ของผมนั้นแย่ มันทำให้ผมรู้จักจุดอ่อนของผม นั่นคือผมนั้นเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง หรือมีการมีการสื่อสารที่บกพร่องนั่นเอง ทำให้การบรีฟงาน การพรีเซนต์อาจะไม่ดีพอเท่าที่ควร แต่หลังจากพรีเซนต์วันนั้น มันก็ทำให้ผมต้องไปฝึกการพรีเซน ฝึกการพูดให้ดีขึ้น แต่จนถึงตอนนี้จวนจะฝึกเสร็จผมก็ยังมีปัญหาในการพูดเหมือนเดิม เห้อ =..=

และเมื่อผมทำงานไปสักพักก็มีเด็กฝึกงานมาเพิ่มเติม ทำให้ที่นั่งทำงานของเราไม่เพียงพอ ทำให้พวกเราคณะฝ่าย DM หรือ Digital Marketing ถึงเวลาที่เราต้องโยกย้าย และที่เราย้ายไปอยู่ใหม่ก็คือ The Brick ซึ่งเป็นออฟฟิศรวม หรือเรียกอีกอย่างว่า Co-working space

เอาละครับ มาว่ากันในเรื่อง สาระ กันบ้างว่าผมได้อะไรจาก Artisan Digital บ้าง

การทำงานกันเป็นทีม

เนื่องจากทางบริษัท Artisan Digital เป็นบริษัทที่มีหลายฝ่ายในการทำงานร่วมกันตั้งแต่ Dev (Developer), Graphic Designer ไปจนถึง ฝั่ง Dm (Digital Marketing ) ของกระผมเอง แต่ละฝ่ายก็จะทำงานประสานกัน เริ่มจากผมเลยแล้วกัน เมื่อผมได้รับงานที่มอบหมายมาแล้ว ผมเองเป็นฝ่ายวางแผน ผมก็จะทำการวางแผนการตลาด ซึ่งหลัก ๆ แล้ว การทำแผนการตลาดดิจิตอลนั่น ก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก จะเป็นในส่วนของการทำ SEO หรือการกำหนดคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้ตรงต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และในส่วนของคอนเทนต์เราก็จะให้ฝ่าย Content Creator นั้นเป็นคนช่วยในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ และในส่วนของกราฟิกก็จะได้ Graphic Designer มาช่วยแนะนำ เช่น การใช้สี องค์ประกอบของสไลด์ต่าง ๆ

มิตรภาพและการตบมุก

เนื่องจากการมาทำงานที่นี้นั้น ทุกคนในที่ทำงานเป็นคนเฮฮากันครับ ผมเลยได้เรียนรู้ว่าเราไม่ควรจะเครียดกับงานจนเกินไปครับ เวลาที่เราเครียดแล้วเราก็จะนึกอะไรไม่ค่อยออก เราเลยต้องมีมุมที่เฮฮากันบ้าง บางครั้งไอเดียดี ๆ ก็เริ่มจากอารมณ์ที่ดีเช่นเดียวกันครับ เมื่อเรามีอารมณ์ที่ดีแล้ว เราก็จะพร้อมกับการทำงานมากขึ้น แล้วเราจะสร้างอารมณ์ที่ดีได้อย่าง ? เมื่อเรามาทำงานกับเพื่อนร่วมงานเราก็ควรจะมีการเล่นมุกใส่กันบ้าง มีการเฮฮากันบ้าง เพื่อให้ชีวิตในการทำงานไม่จืดชืดจนเกินไป การตบมุกจึงเป็นอะไรที่พวกผมทำกันบ่อย ๆ และเป็นวิธีที่ง่ายต่อการสานความสัมพันธ์ต่อเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดี (แต่ถึงเวลาทำงานพวกผมก็ตั้งใจทำงานอยู่นะครับบ)

การพัฒนาฝีมือของตัวเอง

ในการทำแผนการตลาดในแต่ละครั้งหรือในแต่ละงาน มันก็อาจจะเป็นแพทเทิร์นเดิม ๆ แต่ว่ากลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มจะต่างกัน ทำให้แผนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ในการพัฒนาของผมคือ การมองลูกค้าให้ออกว่าควรจะไปเน้นไปที่จุดไหนเป็นสำคัญ การเสาะหาความต้องการต่าง ๆ ของกลุ่มเป้าหมาย และสิ่งสำคัญที่ผมได้รับมาคือ การทำ Mockup ต่าง ๆ ที่เราสามารถนำมาใช้กับงานได้เลย เพราะที่บริษัทนี้จะมีการ Workshop ในการใช้งานต่างๆ เช่น การใช้ Adobe AI และ Adobe Premiere Pro ซึ่งนี่จะเป็นประโยชน์ต่อผมมากสำหรับการทำงานในอนาคต “สไลด์ก็เหมือนงานภาพ การทำงานก็คือศิลปะ” by พี่เบิร์ด

By นิ้ง

ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์การทำงานที่ดีมากครับ พี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่ร่วมงานน่ารักมากครับ เป็นกันเอง ผมได้อะไรเยอะเลย เพราะอย่างที่ผมบอกตอนแรกผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย ตอนที่กดเลือกที่ทำงานมานั้น มันเป็นการเดาสุ่มเอามาก ๆ แต่พอมาได้สัมผัสจริง ๆ แล้ว เป็นความรู้สึกดีเกินขาด มันทำให้ผมรู้สึกว่าโชคดีที่ได้มาฝึกงานที่นี่ มันเหมือนการทำงานที่ได้มาทำอยู่บ้าน เป็นที่ ๆ รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ทุกอย่างที่พี่ ๆ สอนสามารถนำไปปรับใช้กับงานเยอะเลย ผมจะไม่ลืมเลยครับความทรงจำดี ๆ ที่มีร่วมกัน ถ้ามีโอกาสผมก็จะกลับมาเยี่ยมที่นี่อีกครับ

--

--