[INTERNSHIP] เด็กฝึกงานกับ Artisan Digital ประสบการณ์ทำงานจริงที่มากกว่าถ่ายเอกสารและชงกาแฟ

Snookk
Artisan Digital
Published in
2 min readMay 8, 2018

หลังจากเรียนกันมาหนักหนาสาหัสเป็นเวลาเกือบสี่ปี ถึงเวลาแล้วที่จะต้องนำความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดมาเข้าสู่การทำงานในชีวิตจริง จุดเริ่มต้นแรกในการลองสนามการทำงานจริงคงหนีไม่พ้น “การฝึกงาน” ที่เด็กนักศึกษาจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี เพราะหากไม่ผ่านฝึกงานที่เรียนมาทั้งหมดก็เป็นศูนย์ จึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากนักศึกษาไปเป็นคนทำงานจริงที่ต้องมีทั้งความขยัน ความรับผิดชอบ และการทำงานจริงที่จะต้องมีข้อผิดพลาดให้น้อยที่สุด ซึ่งกับบางบริษัทที่รับเด็กฝึกงานเข้าไปทำงานอาจจะใช้ให้ทำงานเล็ก ๆ ของบริษัท หรือมอบหมายงานให้ทำที่เด็กฝึกงานพอจะทำได้ เช่น พิมพ์เอกสาร หรือถ้าหากแย่กว่านั้นก็คงเป็นอย่างที่เราเคยได้ยิน คือใช้เด็กฝึกงานถ่ายเอกสาร หรือไม่ก็ชงกาแฟให้ผู้จัดการดื่ม แต่กับ ARTISAN DIGITAL เด็กฝึกงานทุกคนที่ทำงานที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้กล้า และบ้าบิ่น เพราะทุกงานที่ทางบริษัทให้เราทำล้วนแต่เป็นงานจริง และส่งมอบให้ลูกค้าจริง ๆ ฉะนั้นการฝึกงานที่นี่จึงกลายเป็นด่านทดสอบความแกร่ง และความสามารถที่เรามีทั้งหมดว่ามันมากพอที่จะสามารถทำงานจริงได้หรือไม่ ?

ด่านแรก ที่ทดสอบความสามารถในการทำงานที่ผมพ่ายแพ้แบบไม่เป็นท่า คือเรื่องของบุคลิกภาพการนำเสนอ หรือพูดยังไงก็ได้ให้ทุกคนสนใจในสิ่งที่เรากำลังพูด ซึ่งสายงานที่ผมทำคือ System Analysis /Business Analysis ฉะนั้นเรื่องการพูดคุยหรือการเจรจาคุยงานรับความต้องการจากลูกค้ามาตีโจทย์ เพื่อให้ได้งานที่ลูกค้าต้องการ เรื่องทักษะการพูด การนำเสนอจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ด้วยความที่พี่เลี้ยงของผมเห็นว่าผมไม่สามารถที่จะพูด หรือทำให้ทุกคนสนใจที่จะฟังได้ จึงให้ผมเพิ่มทักษะนี้โดยการให้หาข่าว หรือเรื่องสั้นที่มีประโยชน์มาเล่าให้เพื่อนฟังทุกเช้า ทำอยู่อย่างนี้ทุกวันเกือบสี่เดือน ซึ่งในช่วงแรกผมก็เบื่อเหมือนกันที่ต้องมานั่งหาข่าวไปเล่าทุกวัน บางวันเราก็ไม่รู้ว่าจะเล่าข่าวอะไรดี ก็ต้องมานั่งหาบทความอะไรที่มันประโยชน์ไปเล่า รู้สึกว่าให้ทำไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่พอทำทุกวันก็รู้สึกเฉย ๆ กับมันเหมือนแค่อ่านข่าวบนหน้าฟีดเฟสบุ๊คแล้วเอามาเล่าให้เพื่อนฟัง และมันทำเราได้รู้อะไรที่มีประโยชน์มากขึ้นด้วย เมื่อพี่เลี้ยงเห็นว่าพวกผมเริ่มพอจะมีความสามารถการพูดคุยขึ้นมาบ้างล่ะ (จากที่ไม่มีเลยสักนิด) พี่แกก็ให้โอกาสในการให้ติดตามไปคุยกับลูกค้าจริง ๆ ดูสักครั้ง มันก็ตื่นเต้นอยู่นิดนึง แต่ด้วยเพราะไปกับพี่เลี้ยงเลยรู้สึกว่าไม่ค่อยกลัว ซึ่งมันก็ผ่านไปได้ด้วยดีนะ แต่พอมาครั้งที่สองที่ต้องไปสอนการใช้งานระบบให้กับลูกค้ามันก็ยากขึ้นอีก ต้องอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจในการทำงาน และสามารถที่จะใช้งานระบบได้ ก็ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่พอสมควรกับลูกค้าที่อายุรุ่นคุณพ่อ คุณแม่ ซึ่งไม่แปลกที่เขาจะไม่เข้าใจเรื่องเทคโนโลยีเท่าไร จึงเป็นหน้าที่เราที่จะต้องสอนพวกเขาให้ค่อย ๆ เข้าใจ ด้วยความที่เราฝึกการพูดมาจากการเล่าข่าวทุกเช้าก็นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ มันอาจจะไม่ได้เป็นการคุยงานที่ผ่านไปได้ด้วยดีแบบเพอร์เฟค 100% แต่ก็พยายามที่จะทำให้ข้อผิดพลาดมันมีน้อยที่สุด

ด่านที่สอง คือเรื่องการวิเคราะห์ ขึ้นชื่อว่า Analysis มันก็วิเคราะห์กันทั้งวันจริง ๆ กับคนที่มีความรู้มีประสบการณ์การวิเคราะห์ด้วยข้อมูล ความรู้ในสมองก็คงไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่กับคนที่ไม่ค่อยจะมีความรู้ และฐานข้อมูลในการวิเคราะห์ไว้ในสมองเนี่ย ก็เรียกได้ว่างานยากเลยล่ะ แต่ของทุกอย่างมันก็ฝึกกันได้ พี่เลี้ยงผมเขาชอบให้ผมลองงานจริงอยู่แล้ว เลยโยนงานวิเคราะห์จากความต้องการของลูกค้าจริง ๆ มาให้วิเคราะห์ และหาทางออกหาทางแก้ไขเป็นการฝึกอยู่เสมอ ผ่านบ้างไม่ผ่านบ้างก็ทำไปเสนอพี่เลี้ยงดู อันไหนดีไม่ดียังไงก็มาปรับมาแก้ไขกัน ซึ่งพี่เลี้ยงแกก็แนะนำและสอนดีนะ อาจจะติดที่ชอบด่าหนักไปบ้าง แต่งานมันไม่ดีจริง ๆ การจะโดนด่าก็คงไม่แปลก ถือเป็นการพัฒนาตัวเองในการทำงานด้วย

ด่านที่สาม การทำงานเป็นทีมหรือทำงานร่วมกับคนอื่น ด่านนี้เอาเข้าจริงมันมีปัญหาอยู่แค่ในช่วงแรกเท่านั้นล่ะ ด้วยความที่ผมเป็นคนที่จะไม่ค่อยอยากเสวนากับคนที่ไม่ค่อยรู้จัก ก็เลยมีผลทำให้เรารู้สึกว่าเวลาต้องไปทำงานร่วมกับคนที่เราไม่เคยทำงานด้วยมันต้องปรับตัว และไม่รู้จะพูดคุยยังไงให้เข้าใจให้งานมันผ่านไปได้ แต่ต้องยอมรับเลยว่าโชคดีที่เพื่อนที่ฝึกงานในบริษัทมันสนิทกันได้โคตรง่าย คุยกันง่ายไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเท่าไร ก็ถือเป็นโชคดีที่ได้เจอเพื่อนร่วมฝึกงานดี จะมีปัญหาในช่วงแรกที่เกรง ๆ กันอยู่ก็อาจจะไม่ค่อยได้พูดกัน แต่พอได้สนิทกันขึ้นมาหน่อย เรียกได้ว่าคุยกันน้ำไหลไฟดับเลยที่เดียว คุยกันจนไม่ทำงานทำการเลยก็มี ซึ่งมันก็ดีนะ รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้องกันในบริษัท อันนี้รวมถึงพี่ที่บริษัทด้วยนะที่ให้ความสนิทสนมกับน้อง ๆ มีอะไรก็ให้คำปรึกษากันได้ตั้งแต่เรื่องงาน ไปจนเรื่องสัปดน ก็ให้คำปรึกษากันมาล่ะ แปลกนะที่คนที่ไม่เคยรู้จักกันจะมาคุยกันได้ทุกเรื่องขนาดนี้ อาจจะมองดูเหมือนว่าไร้สาระแต่จริง ๆ การทำงานร่วมกันมันก็ต้องพูดคุยกัน หรือมีปัญหาอะไรก็คุยกันบอกกัน จะได้ช่วยกันหาทางแก้ไขเป็นสิ่งที่ดีในการช่วยกันหาทางออกในการทำงาน เวลาทำงานร่วมกันมันจะก็ง่ายขึ้น เพราะเราพูดคุยกันได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว หรือการจัดการงาน แบ่งงานหรือช่วยกันทำงานที่สำคัญให้สำเร็จก็สามารถที่จะทำได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ก็ต้องแยกแยะหากคุยเรื่องงานก็ต้องเป็นเรื่องเป็นราวคุยกันจริงจัง ฉะนั้นถ้าเราสามารถที่จะจัดการกับการทำงานแบบเป็นทีม และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงานได้ มันก็จะเป็นสิ่งเสริมทักษะการปรับตัวและทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดีเลยที่เดียว

ทั้งหมดทั้งมวลที่พูดมายังเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งที่หยิบยกขึ้นมาแชร์ประสบการณ์ในการฝึกงาน ซึ่งในการทำงานจริงมันยังมีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป จนถึงใหญ่ ๆ โต ๆ อีกเพียบ ฉะนั้นการเตรียมตัวรับมือกับปัญหาและพร้อมกับการทำงานจึงเป็นทางแก้ไขเดียวที่เราจะทำได้ การฝึกงานถือเป็นการปูพื้นฐานการทำงานจริงให้เรา และเตรียมพร้อมกับการฝึกรับมือกับปัญหาในงานทุกรูปแบบ เมื่อเจอกับปัญหาแล้วสามารถที่จะพอแก้ไขได้ก็ดีไป แต่หากเจอปัญหาที่เกินความสามารถจะแก้ไข ก็ถือเป็นประสบการณ์และจงอย่าปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีก เพราะในโลกการทำงานจริงยังมีสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้อีกมากมาย ประสบการณ์จากการฝึกงานก็นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการทำงานในอนาคต และจงอย่าลืมที่จะตั้งใจทำมันให้เต็มที่ เพราะนี่ไม่ใช่การเรียนในห้องเรียนอีกต่อไปแล้ว แต่นี่คือการเรียนรู้ในการทำงานจริงซึ่งมันจะสำเร็จมากน้อยขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะครับ

--

--