[LONGDO Movie Review] #2 We are alone in the universe

[LongDo]
Artisan Digital
Published in
3 min readAug 30, 2019

--

“ คุณเคยฟังเพลงวงเฉลียงบ้างไหม? ‘เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ’ ช่วงต้นของเนื้อเพลงที่ว่า ‘ดาวนับล้านที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า จะมีไหมนะ ที่ลอยอยู่เองเฉย ๆ ไม่ยอมโคจรหมุนไปไหนเลย ไม่เคย ไม่เห็นเลยซักดวง’ หากเรามองเป็นภาพของจักรวาลที่เต็มไปด้วยดวงดาว ที่ลอยผ่านและโคจรระหว่างกัน ทำให้จักรวาลที่แสนกว้างเต็มไปด้วยวงโคจรที่หลากหลาย และเราก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของจักรวาลนี้ ไม่ว่าใครจะบอกว่าเขาสามารถอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ แต่อย่าลืมว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกที่กว้างใหญ่ เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด คุณจะปฏิเสธผู้คนนับล้านรอบตัวคุณเพื่อการอยู่คนเดียวได้จริงหรือ? และคนเราสามารถที่จะอยู่โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งใครเลยได้ไหม? ลองมาหาคำตอบของคุณผ่านภาพยนตร์กันอีกครั้ง! ”

Cast Away (2000)
Director: Robert Zemeckis

‘การอยู่คนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร’ ‘อยู่คนเดียวได้ไม่เห็นต้องพึ่งใคร’ คุณเคยคิดแบบนี้บ้างไหม บางทีคุณอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้ ถ้าคุณได้รู้จักกับหนังเรื่องนี้ Cast Away หนังที่ว่าด้วยเรื่องการติดเกาะคนเดียว เริ่มจากชัค โนแลนด์ ( Tom Hanks) พนักงานของ FedEx ขณะที่เขาไปส่งพัสดุ ดันเกิดอุบัติเหตุ เครื่องบินตก ทำให้เขาต้องไปติดเกาะเพียงลำพัง ระหว่างที่เขาติดเกาะ เขาต้องปรับตัวและใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เขาต้องหาวิธีเอาชีวิตรอดจากการอยู่บนเกาะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการหาอาหาร ที่พัก หรือแม้แต่หาวิธีออกจากเกาะ นอกจากเขาบนเกาะแห่งนี้แล้ว ยังมีสิ่งของที่ลอยมากับทะเล คือพัสดุที่เขาต้องไปส่งนั่นแหละ เขาปรับเปลี่ยนพัสดุเหล่านั้นให้เหมาะสมกับการอยู่บนเกาะ การอยู่โดยพึ่งตัวเองทั้งหมดนั้น มันทำให้เขาท้อ รู้สึกแย่ และหัวร้อนกับทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น เพราะบางทีมนุษย์เรา ก็ต้องการที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับใครสักคน เพียงแต่ชัคไม่สามารถทำแบบนั้นได้ จนเขาได้เจอกับลูกบอลลูกหนึ่ง แล้วตั้งชื่อให้กับมันว่า ‘วิลสัน’ แม้ว่าลูกบอลนั้นจะไม่มีการตอบสนองอะไร แต่มันก็คือเพื่อนที่รู้ใจที่สุดของเขา ณ เวลานั้น แน่นอนว่าการอยู่คนเดียวบนเกาะนี้ มันมีสีสันมากขึ้น มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป นอกจากที่เขาต้องเอาชีวิตรอดแล้ว เขายังได้รับรู้ว่าการอยู่คนเดียวมันไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป อย่างน้อยขอแค่เพื่อนที่คอยพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เข้าใจกัน คอยอยู่ข้าง ๆ กันก็ยังดี วิลสันเป็นเหมือนคนคนนึงที่คอยช่วยเขาผ่านเรื่องร้ายได้ แม้ว่าจะไม่มีการตอบสนองใด ๆ แต่ว่ามันก็รับฟังเขาเสมอ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชัค อาจจะทำให้เห็นได้ว่าอยู่คนเดียวมันอึดอัดมากเลยเนาะ ถ้ามีแค่ใครสักคนที่คอยรับฟังเราแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอสำหรับการอยู่ร่วมกันแล้ว คุณว่าไหม?

— เด็กหญิงผ้าไหม —

Lost in Translation (2003)
Director: Sofia Coppola

“โดดเดี่ยว กลางฝูงชน” น่าจะเป็นชื่อไทยของหนังเรื่องนี้ได้เลย หนังเล่าถึง ‘บ็อบ แฮริส’ (Bill Murray) เป็นนักแสดงคนหนึ่งเรียกว่าอยู่ในขาลงเลยก็ว่าได้ และมีปัญหาเบื่อหน่ายกับภรรยา แถมเขายังต้องมาทำงานในประเทศญี่ปุ่นอีก และ ‘ชาล็อตต์’ (Scarlett Johansson) นักศึกษาสาวพึ่งเรียนจบ แต่ต้องตามสามีที่เป็นช่างภาพมาถ่ายงานที่ญี่ปุ่น ความลงล็อคของเรื่องนี้คือ ทั้งสองต่างพูดได้แค่ภาษาอังกฤษ แต่พวกเขามาอยู่ที่ญี่ปุ่นทำให้มีคนพูดด้วยน้อย แถมต่างคนต่างมีปัญหากับชีวิตคู่ตัวเอง สุดท้ายแล้ว ความเหงาเป็นขั้วบวกขั้วลบหนุ่มสาวได้มาพบกันในคืนร้าวราน…. เอ๊ะ! จริง ๆ ผมก็คิดว่าเพลงนี้แอบเข้าอยู่นะ พอมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างเข้ามาทำให้เขาทั้งสองคนได้เจอและรู้จักกันจึงตกลงจะสร้างพื้นที่ขึ้นมาระหว่างเขาสองคน หนังเรื่องนี้สำหรับผมไม่ใช่หนังรักเลย ไม่ใช่หนังอะไรทั้งสิ้น แต่เหมือนเรามองชีวิตจริง ๆของสองบุคคล ซึ่งทำให้ผมรู้ว่า บางทีสิ่งที่น่ากลัวของความโดดเดี่ยว ไม่ใช่การอยู่คนเดียว แต่คือการอยู่กับหลาย ๆ คน แต่เราไม่สามารถคุยกับใครได้เลยต่างหาก หนังเรื่องนี้บ่งบอกถึงความโดดเดี่ยวได้จากลึกสุดของหัวใจ ในช่วงแรกของหนังได้อธิบายความอึดอัดได้ดีมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ยิ่งในด้านฝั่งชาย ความอึดอัด เบื่อ เหงา และโดดเดี่ยว เป็นสิ่งที่เป็นที่สุดของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ หลัง ๆ หนังได้คลายความอึดอัดต่าง ๆ แต่ยังแฝงความอึดอัดในด้านความสัมพันธ์อีกรอบ หนังสอนให้รู้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลานานก็ได้ ทุกคนบนโลกนี้สามารถรู้จักกันได้ และมาช่วยเหลือกันได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างเพื่อมาอยู่คนเดียว เหมาะกับคำว่า โลกมันกว้างคนข้าง ๆ เลยสำคัญมากที่สุด บางทีหนังเรื่องนี้ ถ้าคุณได้ดูด้วยตัวเองจริง ๆ จัง ๆ อาจจะเข้าถึงอารมณ์ของหนังได้มากกว่า เพราะบางความรู้สึกไม่สามารถอธิบายมาเป็นคำพูดได้…

— ZTherday—

Lego: Batman (2017)
Director: Chris McKay

ไม่ว่าคุณจะเคยชมแบทแมนสักภาคหรือไม่ แต่อัศวินรัตติกาลคนนี้เป็นที่จดจำของคนทั้งโลกในภาพลักษณ์ของศาลเตี้ยในชุดค้างคาวสีดำออกไล่ล่าอยุติธรรมในยามค่ำคืนที่สุขุมเยือกเย็น แต่ Lego: Batman เรื่องนี้จะพาคุณออกไปจากความนิ่งเงียบเดิม ๆ ไปสู่มิติใหม่ของแบทแมนที่กวนประสาท หลงตัวเอง และพาเรามาตั้งคำถามกับวลีเด่นของแบทแมนที่ว่า ‘I work alone’ แม้ว่าภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้จะมีพื้นฐานจาก Lego ก็ตาม แต่มันกลับลงลึกถึงตัวตนของแบทแมนได้อย่างละเอียด ฮีโร่ฉายเดี่ยวผู้ที่มีปมเกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เพราะ โศกนาฏกรรมจากวัยเด็กของเขา ทำให้บรูซ เวย์นเลือกที่จะอยู่อย่างเดียวดายและใช้หน้ากากของแบทแมนเป็นข้ออ้างในการหนีจากความจริงนี้ และเลือกที่จะเป็นแบทแมนมากกว่าที่จะเป็นบรูซเสียด้วยซ้ำ แบทแมนผู้ที่สามารถอยู่อย่างสันโดษและปฏิเสธความสัมพันธ์ทุกรูปแบบได้ แม้กระทั่งความสัมพันธ์แบบฮีโร่-วายร้ายของเขากับเดอะ โจ๊กเกอร์ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของบทเรียนใหม่ที่ท้าทายแบทแมน ถึงในจุดที่ทำให้เขาเจ็บปวดที่สุดคือ การยอมรับว่าความกลัวลึก ๆ ของความผูกพันธ์ นอกจากโจ๊กเกอร์แล้ว เขายังได้รับเลี้ยงลูกบุญธรรมมาแบบงง ๆ และต้องรับมือกับผู้บัญชาการคนใหม่ที่ต้องการทำงานร่วมกับแบทแมนอีกด้วย ถึงเวลาสำรวจตัวตนของแบทแมนและบรูซ เวย์น ที่ต้องรับมือความความสัมพันธ์ใหม่ ๆ และต้องก้าวข้ามความกลัวของตนเองไปให้ได้ คุณอาจจะสำรวจตัวของคุณเองไปด้วยก็ได้นะ ว่าคุณซ่อนอะไรไว้ใต้หน้ากากของคุณหรือไม่?

— จิต —

ฟรีแลนซ์.. ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ (2015)
Director: นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์

ฟรีแลนซ์.. ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ จริง ๆ พ่วงคำว่าห้ามตายไปด้วยน่าจะดี เพราะแต่ละงานที่ได้มาหนักหนาพอสมควร… ตัวหนังเป็นหนังที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับฟรีแลนซ์คนหนึ่งชื่อ ยุ่น (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ที่โหมงานหนักหนาสาหัสจนได้เข้าโรงบาลและไปเจอกับหมออิม (ดาวิกา โฮร์เน่) หลังจากนั้น หนังจึงเล่าถึงความสัมพันธ์ของตัวละครต่าง ๆ พ่วงเข้ามาอีกมากมาย ซึ่งคนที่กำลังอ่านอยู่ตอนนี้คงคิดว่า เห้ย หนังเรื่องนี้มันเข้ากับหัวข้อตรงไหน?? แต่พอลองได้ดูและตีความกับตัวหนังจริง ๆ ผมว่ามันเข้านะ เพราะว่าตัวหนังได้กล่าวถึง ฟรีแลนซ์คนหนึ่ง ที่ชีวิตมีแต่ งาน งาน งาน ดูจากตารางเวลาในหนังเขาก็น่าจะรู้ว่า งานเขาเยอะมาก ๆ ซึ่งหนังเล่าถึงอาการป่วยของฟรีแลนซ์อย่างนึงคือ โรคงานไหลย้อน… ล้อเล่นครับ จริง ๆ ในหนังเล่าถึงโรคผื่น ซึ่งหนังดำเนินเรื่อง โดยการนำโรคนี้เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับตัวเอกเรา ซึ่งจริง ๆ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้แหละครับ ทำให้เรารู้สึกว่า การอยู่คนเดียวมันน่ากลัวจริง ๆ จนเจอประโยคเด็ดของหนังเลยคือ “เราเคยเจอคนที่พูดแบบนี้อะ คือคนที่ไม่มีใครในชีวิตให้คิดถึงเลย คุณเป็นคนแบบนั้นป่ะ?” พอถึงท่อนนี้ปุ๊บ.. เชี่ย… อ้างว้างเหี้ย ๆ เป็นประโยคคำพูดที่เฉยฉา แต่มันบาดลึกมาก แล้วยิ่งปลายทางของหนัง เพื่อนร่วมงานคนสนิทของยุ่นจะได้แต่งงานและลาออกจากงาน ยิ่งให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด ถึงอารมณ์ของหนังจะทำให้น่าสนุกชวนติดตาม แต่ทำไมสำหรับผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ เศร้า หดหู่ และจบแบบ Bad End สุดท้ายแล้วผมก็คิดว่า หนังเรื่องนี้เหมาะกับการปิดจบหัวข้อนี้ได้ดีที่สุด ไม่ใช่เพราะว่าเป็นหนังเพื่อนที่ดีที่สุด แต่เป็นหนังไทยเรื่องนึงที่นำเสนอความโดดเดี่ยวได้ดีที่สุด…แล้วคุณหละ ณ ตอนนี้ยังรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่หรือเปล่า

— ZTherday —

หลังจากอ่านแล้ว คุณคิดว่าอย่างไรบ้าง? คุณยังอยากอยู่คนเดียวอยู่ไหม? คุณเริ่มรู้สึกถึงความอ้างว้างในใจบ้างรึเปล่า? ลองมองคนข้าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คนแปลกหน้า เพื่อนหรือครอบครัว คุณได้ให้ความสำคัญกับพวกเขามากแค่ไหน คุณตัดใครออกจากวงโคจรของคุณไปบ้าง ลองสำรวจตัวคุณเองไปพร้อม ๆ กับภาพยนตร์เหล่านี้ไหม? มาทำให้จักรวาลของเราแคบลงด้วยความสัมพันธ์ของพวกเรากันเถอะ

ติดตามบทความของพวกเราแบบนี้ได้ทุกเดือนที่ LongDO

--

--

[LongDo]
Artisan Digital

โปรเจครีวิวภาพยนตร์ที่อยากให้ผู้อ่านได้ลองดูภาพยนตร์ที่อาจจะไม่เคยได้รู้จัก และยังนำเสนอแง่มุมเล็กๆของภาพยนตร์ที่คุณอาจรู้จักอยู่แล้ว แต่ไม่เคยได้สังเกต