[Review] ทริป 2 สาวสะพายเป้จากเชียงใหม่-เกาะล้าน 2 วัน 1 คืน งบไม่เกิน 3,000 บาท

Bellbum PA. (혜성)
Artisan Digital
Published in
5 min readFeb 2, 2018

สำหรับหน้าร้อนที่ใกล้จะมาถึง หลายคนคงนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวหลาย ๆ ที่ทั้งต่างประเทศ หรือในประเทศเอง ซึ่งสถานที่ยอดนิยม คงต้องมี “ทะเล” อยู่ในอันดับต้น ๆ ของซัมเมอร์นี้แน่นอน วันนี้จะมารีวิวการไปเที่ยวทะเลในประเทศไทย สไตล์สาวเหนือ 2 คน ที่แบกเป้ไปทะเลเองครั้งแรกในช่วงปิดเทอมใหญ่ หลังสิ้นสุดชีวิตนักศึกษาปี 3 ในรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยการใช้เงินไม่เกิน 3,000 บาท สถานที่ที่เลือกไปจึงอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ นั่นก็คือ “เกาะล้าน” เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี

เริ่มจากค่าเดินทางแรก เราทำการ “จองตั๋วเครื่องบินข้ามปี” ซึ่งเราจองไว้ล่วงหน้า 1 ปีโดยที่ไม่รู้เลยว่าเวลานั้นในปีหน้าเราจะทำอะไรอยู่ แค่อยากไปเที่ยว และเห็นความถูกของตั๋วเครื่องบิน จึงหาวันที่คิดว่าต้องปิดเทอมแล้วแน่นอนไว้ก่อน แล้วเราก็ได้ตั๋วเครื่องบิน ไปกลับ เชียงใหม่-กรุงเทพ เลือกขาไปเป็นวันพฤหัสฯ ขากลับเป็นวันเสาร์ซึ่งเรากดจองกัน 4 ที่นั่ง 4 คน หารค่าจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์เซอร์วิสแล้ว ตกคนละ 741 บาท ย้ำว่า ทั้งไปและกลับเชียงใหม่-กรุงเทพ รวมแล้วราคา 741 บาท มาไว้ในครอบครอง อิอิ

หลังจากนั้นผ่านไปหนึ่งปี เกือบจะถึงวันเดินทางแล้ว ช่วงนั้นยุ่งกับตัววิจัยจบปี 3 มาก ต่างคนต่างยุ่งจนเกือบลืมวันไปเที่ยว ไม่มีเวลานั่งแพลนที่เที่ยวอะไรเลย สองวันก่อนเดินทางพึ่งมารู้ว่าเพื่อนอีกคนมีเหตุจำเป็นไม่สามารถไปได้แล้ว ส่วนอีกคนจะไปลงแค่ที่กรุงเทพแล้วแยกกลับบ้านเลย ทำให้เหลือกันอยู่แค่ 2 สาว ซึ่งในใจก็แอบหวั่น ๆ ว่าแค่เราสองคนจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ แต่เพื่อนอีกคนนึงก็มีใจมุ่งมั่นสูงมากบอกว่า “ถ้าเธอไม่ไปก็ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็จะไปคนเดียวให้ได้” โอเค จองกันมาข้ามปีขนาดนี้ ต้องไปละแหละ 2 คนก็ 2 คน ตกลงว่ายังไงก็ต้องไป ซึ่งวันที่ออกเดินทางเป็นวันเดียวกับเดดไลน์ส่งงานวิจัยตอน 4 โมงเย็น แต่เครื่องบินออก 11 โมงเช้า!! คืนก่อนออกเดินทางเลยนั่งโต้รุ่งปั่นงานกับเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนอยู่ใต้คณะจนถึงเช้า ขับรถกลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้าตอนเช้า งีบไม่ถึงสองชั่วโมงก็ต้องออกไปสนามบิน รวมตัวกันครบสามคนก็เตรียมตัวไปเช็คอิน และพบกับ เซอร์ไพร์สแรกของทริป คือ เครื่องบินเที่ยวนั้นได้เปลี่ยนเวลาเข้ามาไวขึ้น ซึ่งในช่วงที่กำลังจะเช็คอินเป็นช่วงเวลาที่เครื่องบินออกไปแล้วพอดี … เราที่จองตั๋วเครื่องบินข้ามปีกันมา ไม่ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย แต่ทางสายการบินก็ช่วยรับผิดชอบชีวิตเด็กสาวสามคน ให้ไปขึ้นไฟล์ทบินถัดไปในเวลาบ่ายโมง

ตัดภาพมาที่กรุงเทพมหานครกันเลยจ้า เนื่องจากไฟล์ทบินที่ถูกเลื่อน ทำให้เรามาถึงเป็นเวลาเย็นแล้ว ช่วงนั้นฝนตกเกือบทุกวัน ท้องฟ้ามืดครึ้มไม่ค่อยเป็นใจ ดูพยากรณ์อากาศก็ยังไม่มีทีท่าจะมีแดด ตัดสินใจว่าจะรอดูฟ้าฝนของวันรุ่งขึ้นอีกทีนึง จึงนอนที่กรุงเทพฯ ก่อน 1 คืน พอเช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าก็ยังครึ้ม ไม่มีแดดเลย แต่เราก็คิดว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว ไปเถอะ ไม่อยากอยู่แต่ในกรุงเทพฯ จึงออกไปขนส่งหมอชิตในตอนเช้าวันนั้น ถึงเวลาประมาณ 9 โมง รถที่เราจะนั่งไปพัทยาเป็นรถตู้ ราคาคนละ 140 บาท ขอรีวิวการนั่งรถตู้ กรุงเทพฯ-พัทยา ครั้งแรก แบบสั้น ๆ ว่า “นี่มัน Fast8 ชัด ๆ” หลังจากที่หลังขดหลังแข็งนั่งมาสองชั่วโมง ก็มาถึงจุดสุดท้ายที่รถตู้จอด ซึ่งเราต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์ต่อไปที่ท่าเรือแหลมบาลีฮายเพื่อต่อเรือไปเกาะล้าน จากจุดที่ลงจากรถตู้พี่วินคิดคนละ 50 บาท ซ้อนสามไปเลย ระหว่างทางนั่งวิน บอกเลยตัดสินใจถูกมากที่มาวันนี้ เพราะแดดเปรี้ยงสุด ๆ ถามพี่วินว่าช่วงนี้ฝนตกรึเปล่า พี่บอกว่าตกทุกวัน จนถึงวันนี้แหละที่น้องมาพึ่งมีแดด! พอถึงแหลมบาลีฮาย เซอร์ไพร์สที่สองก็มาถึง

เรามาถึงในช่วงใกล้เที่ยงพอดีทำให้เรือลำใหญ่ (ราคาคนละ 30 บาท) ที่จะไปยังเกาะล้าน มีเที่ยวต่อไปตอนบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งเราต้องรอไปอีก 1 ชั่วโมงครึ่งเลย เราจึงเดินออกไปตรงท่าเรือ ก็จะมีเรือสปีดโบ๊ทอยู่หลายร้อยลำ ถูกชักจูงให้แชร์ขึ้นเรือไปไม่ต้องรอเรือใหญ่ โดยคิดคนละ 150 บาท (แพงกว่า 5 เท่า แต่ถึงไวกว่า) ตอนนั้นแดดร้อนมาก ๆ มองหน้ากันไปมาก็ตัดสินใจไปก็ได้ จะได้ถึงเร็ว ๆ โอเคลงเรือเลย

ในเรือที่เราลงไปมีแต่กรุ๊ปชาวต่างชาติ ตำแหน่งที่เรานั่งก็อยู่หน้าเรือข้าง ๆ คนขับ ตื่นเต้นมาก และรีวิวสั้น ๆ สำหรับการนั่งเรือ speed boat ครั้งแรกก็คือ “นี่มัน Fast 9 ชัด ๆ” เพราะคลื่นทะเลแรงมาก ด้วยความเป็นเรือเร็วลำเล็ก จึงกระแทกคลื่นอย่างแรงตลอดทาง (ถ้าไม่ได้รีบไปไหน แนะนำนั่งเรือลำใหญ่ดีกว่า ปลอดภัยที่สุดแล้ว) พอถึงเกาะล้านเรามาลงที่หน้าหาดตาแหวน ลุยน้ำทะเลตื้น ๆ เดินเข้าฝั่งไปเดินเลียบหาด ซึ่งหาดนี้ใหญ่มาก ๆ และคนเยอะมาก ๆๆๆ โดยเฉพาะคนจีน ร้านค้า ร้านอาหาร เตียงผ้าใบ เรือสปีดโบ๊ท ทุกสิ่งอย่างรวมกันอยู่ที่หาดนี้ เดินออกมาเรื่อย ๆ จนเจอกับวินมอเตอร์ไซค์ เลยให้พี่วินพาไปหาที่พักในหมู่บ้าน พี่วินก็ใจดีมาก ๆ พาไปดูหลาย ๆ ที่ ไม่โอเคก็พาไปที่ใหม่ จนเราได้ที่พักที่ถูกใจ

และเซอร์ไพร์สที่สาม อันยิ่งใหญ่ก็มาเยือน เมื่อเพื่อนสาวกำลังจะควักกระเป๋าเงินจ่ายค่าวินมอเตอร์ไซค์ก็รับรู้ว่า กระเป๋าตังค์หาย!! ภาพตัดสุดท้ายที่จำได้ คือตอนควักเงิน 150 บาทจ่ายค่าเรือสปีดโบ๊ท พี่วินมอเตอร์ไซค์จึงอาสาพาไปแจ้งความที่สถานีตำรวจบนเกาะล้าน พอถึงสถานีตำรวจ (ที่สภาพไม่เหมือนสถานีตำรวจเลย) เจอแค่คุณตำรวจหนึ่งคน นอนชิวมองทะเลอยู่คนเดียว ให้คำแนะนำว่าให้ไปประกาศเสียงตามสายที่อยู่กลางหมู่บ้าน ไปถึงก็เขียนชื่อ และระบุลักษณะกระเป๋าเงินฝากไว้ แล้ววนกลับที่พัก พี่วินมอเตอร์ไซค์ที่ฝ่าฟันพาไปรอบเกาะคิดค่ารถแค่คนละ 40 บาทเท่านั้น เลยให้พี่วินไป 100 บาทถ้วน (พี่ใจดีมาก ๆๆ ซึ้ง) แล้วมานั่งคิดกันว่า กระเป๋าเงินน่าจะหายตั้งแต่อยู่บนเรือสปีดโบ๊ท เพราะเพื่อนใส่กระเป๋าเงินไว้ในกระเป๋ากล้องที่ไม่ได้ปิดสนิท ในนั้นมีฝาเลนส์ และลิปสติกอยู่ ทุกอย่างหายไปหมดเลย คิดว่าน่าจะกระเด็นออกจากกระเป๋าช่วงที่เรือสปีดโบ๊ทกระแทกคลื่นแรง ๆ ซักพัก พี่เจ้าของที่พักก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาอาสาพาเพื่อนไปแจ้งความกับตำรวจท่องเที่ยวที่แขวงท่าเรือหาดตาแหวน บทเรียนสำคัญสำหรับทริปนี้เลยก็คือ เราสองคนลงเรือสปีดโบ๊ทมาตามคำชักชวนโดยไม่ได้ดูหมายเลขประจำเรือ แล้วเรือสปีดโบ๊ทที่เกาะมีเป็นพัน ๆ คันจึงตามหายากมาก ๆ หลักฐานอย่างเดียวที่มีคือคลิปที่ถ่ายลง IG Story ที่ติดหน้าคนขับเรือมาด้วย ตำรวจท่องเที่ยวจึงนำไปใช้เป็นหลักฐานหาเรือต่อไป

หลังจากกลับมาจากแขวง ใกล้เย็นแล้ว จึงออกจากที่พักไปเที่ยวที่ชายหาด ซึ่งที่ที่เราเลือกพักนี้ ราคาคืนละ 1,200 บาท (รวมอาหารเช้าและมอเตอร์ไซค์ 1 คัน) เราอาศัย Google Map นำทางไปตามเกาะ หาดแรกที่เราไปคือ “หาดตายาย” เป็นหาดเล็ก ๆ อยู่ทางเหนือสุดของเกาะ เงียบสงบ ค่อนข้างส่วนตัว นักท่องเที่ยวไม่เยอะ ถ่ายรูปสวย

หาดตายาย

หาดต่อไปเป็น จากเหนือสุดเราก็ขับรถไปใต้สุดของเกาะกันไปเลย “หาดนวล” เป็นหาดใหญ่ ผู้คนประปราย ไม่พลุกพล่านมากนัก แต่มีเศษหินค่อนข้างเยอะหน่อย ๆทรายนุ่มนวล สมชื่อหาดนวล ประทับใจ

หาดนวล

หลังจากถ่ายรูปไปหลายร้อยช็อต ดื่มด่ำกับวิวทะเลเต็มที่แล้ว เราก็ขับมอเตอร์ไซค์กลับเข้าไปในหมู่บ้าน ไปซื้อของกินที่ตลาดกลับมานั่งกินในที่พัก เป็นอันจบวันที่ 1

เช้าวันต่อมา กินอาหารเช้าจากที่พัก ก่อนออกเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์คู่ใจคันเดิมไปเที่ยวหาดต่อไป

อาหารเช้าจากที่พัก

เราไปเที่ยวต่อกันที่ “หาดแสม” ที่อยู่ทางตะวันตกของเกาะล้าน เป็นหาดท่องเที่ยว มีเตียงผ้าใบ บานาน่าโบ๊ท ห่วงยาง ให้บริการ เรียงรายไปตลอดหาด มีอาคารที่หลังคาเป็นแผงโซล่าร์เซลล์ด้วย ช่วงเช้าแทบจะไม่มีคนเลย น้ำใส ถ่ายรูปสวยมาก ๆ

หาดแสม

จากนั้นเราก็ไปต่อหาดที่ 4 ซึ่งเป็นหาดสุดท้ายที่เราจะไป นั่นก็คือ “หาดเทียน” หาดนี้มีสะพานไม้เล็ก ๆ ให้ถ่ายรูปเก๋ ๆ ได้ เป็นอีกหาดนึงที่ทรายนุ่มเท้ามาก น้ำใสแจ๋ว ช่วงเช้าคนยังไม่เยอะมากเช่นกัน เหมาะกับการเล่นน้ำสุด ๆ

หาดเทียน

หลังจากที่ถ่ายรูปกันจนพอใจ เราก็มุ่งหน้าไปหามื้อเที่ยงกินที่ร้านอาหารริมทะเลใกล้กับหมู่บ้าน มาทะเลก็ต้องจัดอาหารทะเลสิ

ระหว่างที่กำลังกินข้าวอยู่ ก็มีสายจากตำรวจท่องเที่ยว (ยังไม่ลืมเรื่องกระเป๋าตังค์หายนะจ๊ะ) บอกว่าตอนนี้คนขับเรือสปีดโบ๊ทที่เราถ่ายรูปไว้ได้เมื่อวาน ตอนนี้อยู่ที่แขวงแล้ว ให้มาดูว่าใช่หรือไม่ ทางเราก็รีบกินข้าว แล้วมุ่งตรงไปที่แขวงที่อยู่หาดตาแหวนทันที พอเข้าไปก็เจอคนขับเรือที่เรานั่งเรือมาด้วย เขาก็จำเราสองคนได้ แต่ก็บอกว่าไม่เห็นกระเป๋าเงินหล่นเลย จากนั้นตำรวจท่องเที่ยวจึงขอให้คนขับเรือ ขับมาจอดที่โป๊ะ เพื่อขอทำการค้นเรือ พี่ตำรวจท่องเที่ยวใจดีมาก ๆ ช่วยอย่างเต็มที่ ให้ลงไปดูที่เรือ เปิดใต้ท้องเรือ ช่วยกันค้นเลยว่าเจอของไหม แต่ก็ไม่มี แม้แต่ลิปสติกและฝาเลนส์กล้องที่ชิ้นเล็ก ๆ ก็ไม่เจอเลย จึงปล่อยคนขับเรือแยกย้ายกันไป ตำรวจท่องเที่ยวบอกว่า ถ้าเจอเรือเร็วกว่านี้ โดยที่ยังไม่ข้ามวันจะดีที่สุด เพราะเจ้าของเรือจะเปิดใต้ท้องเรือก่อนจะหมดวันเสมอ เมื่อข้ามวันมาแล้วเราจึงไม่มีทางรู้ว่าท้องเรือถูกเปิดไปแล้วหรือยัง สุดท้ายก็ไม่เจอกระเป๋าเงิน

จากนั้นเราสองคนก็กลับไปเช็คเอาท์ออกจากที่พัก (มีรถจากที่พักบริการไปส่งถึงท่าเรือ) และเดินทางเข้าฝั่งด้วยเรือลำใหญ่จากท่าเรือหน้าบ้าน ค่าเรือคนละ 30 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ก็ถึงแหลมบาลีฮาย

บนเรือใหญ่เกาะล้าน-พัทยา

เนื่องจาก กระเป๋าเงินเพื่อนหาย บัตรทุกสิ่งอย่างก็หายไปด้วย ทำให้ต้องไปแจ้งความ เพื่อเอาใบแจ้งความไปยืนยันตัวตนขึ้นเครื่องบินกลับเชียงใหม่ เราจึงเรียกวินมอเตอร์ไซค์จากหน้าแหลมบาลีฮาย ไป สน.พัทยา (ติดเซ็นทรัลพัทยา) 150 บาท / 2คน ซ้อนสามอีกแล้ว หลังจากแจ้งความเสร็จ เราจึงเดินไปที่เซ็นทรัลพัทยา เจอรถตู้กลับกรุงเทพสุดทางที่จตุจักร จึงตัดสินใจขึ้นรถที่นั่นเลย ราคาคนละ 160 บาท สำหรับรีวิวรถตู้เที่ยวกลับจากพัทยา-กทม. นี่มัน “นี่มัน Fast 10 ชัด ๆ” ไวยิ่งกว่าขามาอีก แทบจะนั่งสวดมนต์ตลอดทางกลับกรุงเทพฯ ผ่านไปสองชั่วโมงเราก็เลือกลงกลางทางที่เซ็นทรัลลาดพร้าว แบกกระเป๋าเป้เข้าไปหาข้าวเย็นกินในห้าง

ขากลับเชียงใหม่เราเลือกนั่งแท็กซี่ไปลงที่จตุจักร จากนั้นขึ้นรถเมล์ A1 หรือ A2 ไปลงสนามบินดอนเมือง ค่ารถเมล์คนละ 30 บาท ซึ่งเราขึ้นรถเมล์ช้ามาก เนื่องจากเป็นเวลาเลิกงาน รถติดหนักมาก เสี่ยงตกเครื่องสุด ๆ สุดท้ายเราก็มาถึงสนามบินดอนเมือง แต่ดันไปผิดอาคาร ต้องรีบวิ่งข้ามอาคารไปเช็คอินขึ้นเครื่องกลับเชียงใหม่ได้อย่างหวุดหวิดพอดี เป็นอันจบทริปการผจญภัยครั้งแรกของสองสาวจากเชียงใหม่-เกาะล้าน โดยที่ไม่ได้วางแผนใด ๆ ก่อนมาเลย 555555555

สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทางฉบับ 2 วัน 1คืน ที่แท้จริง

ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ เชียงใหม่-กรุงเทพฯ (จองข้ามปี) คนละ 741 บาท

ค่ารถ A1 จากสนามบินดอนเมือง-ขนส่งหมอชิต คนละ 30 บาท

ค่ารถตู้ กทม.(หมอชิต)-พัทยา คนละ 140 บาท

ค่าวินมอเตอร์ไซค์จากพัทยาไปแหลมบาลีฮาย คนละ 50 บาท

ค่าเรือสปีดโบ๊ทจากแหลมบาลีฮาย-หาดตาแหวน คนละ 150 บาท (ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 15 นาที) *ถ้าไม่รีบมาก เรือลำใหญ่จากแหลมบาลีฮาย-ท่าเรือหน้าบ้าน คนละ 30 บาท ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที จะประหยัดกว่าเยอะเลย*

ค่าวินมอเตอร์ไซค์ไปหาที่พัก คนละ 40 บาท

ค่าที่พัก (พร้อมอาหารเช้า + รถมอเตอร์ไซค์ 1 คัน) คืนละ 1,200 บาท (คนละ 600)

ค่าเรือลำใหญ่ ท่าเรือหน้าบ้าน-แหลมบาลีฮาย คนละ 30 บาท

ค่าวินมอเตอร์ไซค์ไปเซ็นทรัลพัทยา คนละ 75 บาท

ค่ารถตู้พัทยา-กทม. (จตุจักร) คนละ 160 บาท

ค่ารถ A1, A2 ไปสนามบินดอนเมือง คนละ 30 บาท

รวมค่าที่พัก + ค่าเดินทางทั้งหมด คนละ 2,046 บาท + ค่าอาหารต่าง ๆ มีงบ 3,000 บาท ก็ตรงจากเชียงใหม่ไปเที่ยวทะเลได้สบาย ๆ แล้ว.

สุดท้าย ทริปนี้ก็ถือเป็นทริปแบคแพคต่างจังหวัดเพื่อเก็บชั่วโมงพักผ่อนหลังจบปี 3 ของเด็กผู้หญิงสองคนครั้งแรก ซึ่งก็เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้รู้ว่าเวลาจะไปทำอะไร หรือไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม ต้องรู้จักวางแผน สังเกต เก็บข้อมูล อย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง โชคดีที่ทริปนี้เราเจอแต่คนดี ๆ ที่คอยเข้ามาช่วยเหลือเสมอ แต่คราวหน้าเราก็อาจจะไม่ได้เจอคนดี ๆ แบบนี้เสมอไปก็ได้ ดังนั้นต้องรู้จักระมัดระวังตัวเองก่อนเป็นอับดับแรก

--

--