Meen Nattha
Artisan Digital
Published in
2 min readJan 29, 2018

--

The Polar Express (2004) ความเชื่อที่ไม่เคยลืมเลือน

ช่วงคริสต์มาสเมื่อปีที่แล้วได้มีโอกาสกลับมาดูภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง The Polar Express จากใน Netflix หลังจากที่ไม่ได้ดูมานานหลายปี โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้ชายคนนึงเฝ้ารอของขวัญจากซานตาคลอส เด็กผู้ชายคนนี้ไม่เคยเชื่อเลยว่าซานตาคลอสมีอยู่จริง เขาเชื่อเสมอว่าทุก ๆ ครั้งที่เขาได้ของขวัญ มันมาจากพ่อแม่ของเขาทั้งนั้น แต่ในคืนก่อนวันคริสต์มาส มีรถไฟสีดำขับมาจอดที่หน้าบ้านของเขา โดยมีเจ้าหน้าที่รถไฟ โบกมือเรียกเขาขึ้นรถไฟ เขาลังเลอยู่สักพักว่าจะขึ้นดีหรือไม่ และเมื่อขึ้นไปเขาพบเด็กอีกจำนวนมากที่อยู่บนรถไฟขบวนนั้น ซึ่งต่างคนต่างไม่รู้จักกัน และไม่มีใครรู้ว่ารถไฟขบวนนี้จะพาไปยังที่แห่งใด รถไฟแล่นไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางนั้นเด็กชายได้เจอทั้งมิตรภาพและเจอทั้งอุปสรรคเรื่องราวมากมายระหว่างทางที่ขั้วโลกเหนือ เช่น ธารน้ำแข็งแตก โบกี้ที่ตนเองและเพื่อนอีก 2 คนนั่งหลุดออกจากโบกี้คันอื่น ๆ ทำให้ต้องหาวิธีไปให้ถึงจุดรวมพล เป็นต้น

จุดสำคัญของเรื่องคือ เมื่อรถไฟขบวนนี้ไปถึงขั้วโลกเหนือ ทุกคนได้พบการซานต้า ทุกคนได้ยินเสียงร้องเพลง ได้ยินเสียงกระพรวน ได้ยินทำนองเพลงคริสต์มาสที่แสนสนุกสนาน แต่เขากลับไม่ได้ยินอะไรเลย ในขณะนั้นเอง มีกระพรวนจากคอกวางหลุดออกมาหล่นที่หน้าเขา ในตอนนั้นเองสิ่งต่าง ๆ ที่เขาพบเจอในเวลานี้ทำให้เขาเชื่อและศรัทธาในวันคริสต์มาสอย่างเต็มใจแล้ว เขาได้ยกกระพรวนนั้นมาเขย่า ๆ ข้าง ๆ หูเขาพร้อมกับพูดว่า “ฉันเชื่อแล้ว ฉันเชื่อแล้ว” หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกระพรวนที่เขาไม่เคยได้ยินเลยตั้งแต่มาที่นี่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขาก็พบว่าซานตาคลอสได้มาอยู่ที่หน้าเขา ซานตาคลอสได้เลือกเขาเป็นเด็กที่ได้เลือกของขวัญชิ้นแรก ซึ่งของขวัญที่เขาเลือกก็คือกระพรวนที่หลุดออกมาจากคอของกวางเรนเดียร์นั้นเอง

หลังจากนั้นเด็กทุก ๆ คนก็ได้รีบนั่งรถไฟกลับไปยังบ้านของพวกเขา ระหว่างทางเด็กคนอื่น ๆ ได้ขอเขาดูกระพรวน ปรากฏว่ากระเป๋าเสื้อที่เขาใส่กระพรวนลงไปนั้นขาด ทุก ๆ คนกลับบ้านพร้อมกับความรู้สึกเสียใจและผิดหวังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กชายผู้ได้กระพรวนจากซานตาคลอสเป็นของขวัญ แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น น้องสาวของเขาได้รีบตะโกนให้ลงมาแกะของขวัญที่อยู่ใต้ต้นคริสต์มาส โดยมีอยู่กล่องนึงเป็นกล่อง ๆเล็ก ๆ พร้อมป้ายชื่อมอบให้เด็กชายคนนี้ติดอยู่ เขาจึงรีบเปิดออกทันใด เขาก็พบว่ากระพรวนที่เขาได้ทำตกไปในคืนนั้น เขาลองเขย่าดูก็พบว่ายังได้ยินเสียง แต่เมื่อพ่อกับแม่เขาได้เขย่ากลับบอกว่า สงสัยมันจะเสีย เพราะไม่ได้ยินเสียงอะไรจากกระพรวนนั้น โดยตอนจบเด็กชายได้ทิ้งท้ายว่า เมื่อน้องสาวและเพื่อน ๆ ของเขาโตขึ้นกลับไม่มีใครได้ยินเสียงกระพรวนนั้นอีกเลย มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังได้ยินมันอยู่จนกระทั่งตอนนี้ จากคนที่ไม่เคยเชื่อในเรื่องคริสต์มาสเลย กลับกลายเป็นคนที่เชื่อจนหมดหัวใจในวันนี้

หลังจากดูหนังจบ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน จะดูหนังเรื่องนี้ซ้ำกี่ครั้งก็ตามมันก็ยังคงตราตรึงในหัวใจ ในวัยเด็กฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อในหนังเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่เมื่อฉันโตขึ้นและได้กลับมาดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งทำให้ฉันได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่หนังเรื่องนี้ต้องการสื่อมากมาย โดยส่วนตัวฉันคิดว่าหนังต้องการจะบอกว่า มนุษย์เรามักจะเชื่อแค่ในสิ่งที่เห็นเสมอ แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น มนุษย์เรามักไม่ค่อยเชื่อหรือศรัทธาในสิ่ง ๆ นั้น แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามันไม่มีอยู่จริง หนังได้สะท้อนเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อ โดยมีเสียงของกระพรวนเป็นตัวเเทนของความเชื่อในหนัง ถ้าเราเชื่อเราจะได้ยินเสียงมัน แต่ถ้าเราไม่เชื่อเราไม่มีทางที่จะได้ยินเสียง เปรียบกับการทำงานงานหนึ่งที่มีความยากและท้าทาย ถ้าเราไม่มีความเชื่อ ความศรัทธาในตัวเองว่า”เราไม่มีทางทำได้” ตั้งแต่เเรก งานนั้นก็ยากที่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จเลย แต่ถ้าเรามีความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง ก็จะทำให้เรามีความเชื่อในตัวเองในการทำงานนั้นและก็จะสามารถทำมันออกมาได้อย่างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และการตัดสินใจว่าจะขึ้นรถไฟดีหรือไม่ดี เปรียบเสมือนทางเลือกว่าเราจะทำตามในสิ่งที่เราเชื่อ เราศรัทธาหรือไม่ ไม่มีอะไรบอกเราได้ว่าดีหรือไม่ดี ประสบความสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่มันอยู่ที่เราได้ตัดสินใจแล้วว่าเราจะลองทำมัน ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยสิ่งสำคัญที่สุดคือเราได้ลองทำตามความเชื่อของเราแล้ว

อีกทั้งหนังยังได้สะท้อนถึงความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่ ว่าในตอนเป็นเด็กเราเคยมีความฝัน มีจินตนาการ มีความเชื่ออะไรบ้าง แต่เมื่อเราเริ่มโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่สิ่งต่าง ๆ นั้นก็เริ่มจะจางหายไปจากความคิดเรา เหลือให้เราสนใจกับโลกความเป็นจริงตรงหน้ามากขึ้นเท่านั้นเอง

--

--