แชร์ประสบการณ์การออกแบบ UX กับ Blockchain ฉบับ Band Protocol (Part 1)
หลายคนคงเคยเห็นคำว่า Blockchain หรือ Cryptocurrency (สกุลเงินดิจิตอล) กันมาบ้าง เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวใหญ่ว่า Facebook กำลังจะออกสกุลเงินดิจิตอลที่เรียกว่า Libra ออกมา สื่อหลายสำนักก็ต่างให้ความสนใจกันอย่างแพร่หลาย
Band Protocol เองก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สร้างอยู่บนเทคโนโลยี Blockchain เช่นกัน เป้าหมายของเราคือการทำให้นักพัฒนาแอปพลิเคชั่นบน Blockchain สามารถเข้าถึง ข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ง่าย ซึ่งก่อนหน้านี้ถือเป็นข้อจำกัดใหญ่ที่ทำให้แอปพลิเคชั่นบน Blockchain มีประโยชน์เพียงในวงแคบและเข้าไม่ถึงกลุ่มคนทั่วไป Band Protocol กำลังทำลายข้อจำกัดนี้ลงและทำให้ Decentralized Application นั้นใช้ได้แพร่หลายมากขึ้น
ในบทความนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์ในการออกแบบ User Experience ในผลิตภัณฑ์ของเรา โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. ปัญหา UX ที่พบบ่อยในแอปพลิเคชั่นบน Blockchain
2. กระบวนการแก้ปัญหาที่ใช้ในทีม Band Protocol
สำหรับผู้ที่สนใจ UX ที่ยังไม่รู้จักเทคโนโลยี Blockchain เราขอแนะนำให้อ่าน Blog เหล่านี้ เพื่อความเข้าใจเบื้องต้นกันก่อน
✍🏻 https://nuuneoi.com/blog/blog.php?read_id=900
✍🏻https://techsauce.co/tech-and-biz/understand-blockchain-in-5-minutes/
สำหรับพาร์ทแรกนี้หัวข้อที่เราจะพูดถึงก็คือ ปัญหา UX ที่พบบ่อยในแอปพลิเคชั่นบน Blockchain ในฐานะผู้ให้บริการข้อมูลที่น่าเชื่อถือนั้น โจทย์หลักของเราคือการสร้างประสบการณ์การใช้งานผ่าน API สำหรับนักพัฒนาให้ได้ดีที่สุด และในขณะเดียวกันเราก็ต้องสร้างประสบการณ์การใช้งาน รวมไปถึงหน้าตาของแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งานของผู้ใช้ทั่วไปที่ถือเหรียญของ Band Protocol ด้วยเช่นกัน ในช่วงเวลาหนึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้ปัญหาการใช้งานของผู้ใช้ผ่านทั้งทางการสัมภาษณ์และจากประสบการณ์การใช้งานจริงของทีมเราเอง โดยปัญหาที่พบแบ่งได้เป็น 4 ข้อหลักๆ ดังนี้
- ระบบจัดการผู้ใช้งานที่ไม่เหมือนกับแอปพลิเคชั่นปกติ
- ระบบความปลอดภัยที่ดีจนใช้งานได้ลำบาก
- ความช้าของ Blockchain และความไม่แน่นอนของการเก็บข้อมูล
- ศัพท์เฉพาะและเหตุผลเชิงเศรษฐศาสตร์ที่ซับซ้อน
1.ระบบจัดการผู้ใช้งานที่ไม่เหมือนกับแอปพลิเคชั่นปกติ
ขอยกตัวอย่างจากการทำแอปพลิเคชัน Wallet ซึ่งเป็นเหมือนกระเป๋าที่คอยเก็บเงินสกุลดิจิตอลเอาไว้ ปกติแล้วการเข้าถึงการใช้งานในเว็บหรือแอปพลิเคชันทั่วไปจะมีการ Login ด้วย Username และ Password แต่สำหรับ Blockchain แล้วเราไม่สามารถ Login ได้ด้วย Username และ Password โดยที่การเข้าใช้งานของ Wallet นั้นจะต้องมีทั้ง Public key และ Private key ซึ่งเปรียบเสมือน Username และ Password นั่นเอง นอกจากนั้นยังมีรหัสอีก 12 คำที่ผู้ใช้จำเป็นต้องเก็บเพื่อยืนยันตัวตนและห้ามหายเด็ดขาด ซึ่งใน 12 คำนี้ไม่ได้เกิดจากการสร้างเองได้ แต่เกิดจากการที่ตัวแอปพลิเคชันสุ่มคำสั้นๆ ที่ไม่ซ้ำกัน 12 คำให้เราจดใส่ในที่ๆ ปลอดภัยที่สุด ซึ่งถ้าเราจำ 12 คำนี้ไม่ได้ แอป Wallet ก็ไม่สามารถกู้รหัสผ่านให้เราได้ และเราจะไม่สามารถเข้าถึงกระเป๋าเงินของเราได้อีก
2. ระบบความปลอดภัยที่ดีจนใช้งานได้ลำบาก
จุดมุ่งหมายของเทคโนโลยี Blockchain นอกจากจะทำไปเพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้แล้วนั้น ความปลอดภัยก็เป็นอีกเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นเมื่อผู้ใช้ได้ทำการส่งธุรกรรมบน Blockchain ไปแล้วมันจะไม่ส่งไปอย่างอัตโนมัติเหมือนแอปพลิเคชันปกติ แต่จะมีการขออนุญาตผู้ใช้ให้เซ็นลายเซ็นเพื่อทำการยืนยันเสมอ หมายความว่าทุกครั้งที่เราเข้ามาใช้งานในแอปพลิเคชันและมีการส่ง Transaction เกิดขึ้น ผู้ใช้จะต้องคอยเซ็นลายเซ็นของตนเองเพื่อยืนยัน ซึ่งจุดนี้อาจจะสร้างความหงุดหงิดให้กับผู้ใช้ได้
3. ความช้าของ Blockchain และความไม่แน่นอนของการเก็บข้อมูล
ปัญหาหลักของ Blockchain ตอนนี้คือช้ามากเมื่อเทียบกับระบบธุรกรรมทั่วไป ซึ่งอาจต้องรอการอัพเดตถึง 15 วินาทีขึ้นไปเลยทีเดียวถึงจะได้รับการบันทึกลงใน Blockchain นอกจากจะรอการอัพเดตที่นานกว่าแอปพลิเคชันทั่วไปแล้วในบางกรณีอาจโดนยกเลิกได้กลางคันถ้าสิ่งที่เราทำไม่ตรงตามเงื่อนไข เช่น ส่งเกินเวลาที่กำหนด หรือ ที่อยู่ที่จะส่งไม่ถูกต้อง เป็นต้น ขณะที่ระบบธุรกรรมออนไลน์ของธนาคารปกตินั้นสามารถโอนเงินหากันได้ภายในเสี้ยววินาที หรือถ้าข้อมูลไม่ถูกต้องก็ไม่ต้องรอนานมีการบอกผู้ใช้ถึงจุดที่ผิดพลาดทันที และนั่นทำให้เกิดการเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนถึงความล่าช้าในการรับส่งข้อมูล นอกจากนั้นผู้ใช้เองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าต้องรอนานขนาดไหนถึงจะเสร็จสิ้นขั้นตอน ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีเว็บที่คอยตรวจสอบได้ว่ากำลังทำการอัพเดตอยู่ในขั้นตอนไหน แต่ประสบการณ์การใช้งานก็ยังดูเข้าใจยากอยู่ดี
4. ศัพท์เฉพาะและเหตุผลเชิงเศรษฐศาสตร์ที่ซับซ้อน
เนื่องจากระบบของ Blockchain ถูกออกแบบมาให้ไม่มีคนกลาง จึงมีกระบวนการที่ซับซ้อนเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้งานทุกๆ คนไม่สามารถโกงกันได้ ดังนั้นจะพบว่ายังคงมีศัพท์เฉพาะทาง อยู่ในหลายๆจุดที่ผู้ใช้ต้องเจอ ซึ่งนี่เป็นอีกปัญหาที่ทำให้ผู้ใช้ต้องหยุดประมวลผล และทำความเข้าใจมากขึ้นถึงขั้นตอนต่างๆ และอาจใช้เวลาอยู่พักใหญ่ในการหาข้อมูลว่าคำเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถใช้งานได้ไหลลื่นเหมือนปกติ
สรุป
จากปัญหาทั้ง 4 ข้อที่เราได้เจอระหว่างการทำงาน UX กับ Blockchain จะเห็นได้ว่าปัญหานั้นเกิดจากการที่ระบบของ Blockchain พยายามทำให้ทุกอย่างโปร่งใสและปลอดภัยมากที่สุด โดยไม่มีใครเป็นผู้ควบคุมเพียงคนเดียว ทุกคนล้วนเป็นเจ้าของข้อมูลและต้องคอยช่วยกันตรวจสอบอยู่เสมอ ดังนั้นจึงทำให้มีหลายจุดที่ยังคงสร้างความยุ่งยากให้ผู้ใช้ต้องคอยยืนยันหรือทำความเข้าใจ Blockchain อยู่ค่อนข้างเยอะ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นแรงจูงใจให้ทางทีม Band Protocol อยากจะทำระบบนี้ให้ดีขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึง Decentralized Application ได้ง่ายขึ้น ซึ่งกระบวนการแก้ปัญหาที่ทางทีมเราได้ทำนั้นจะมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง จะเขียนออกมาให้อ่านในครั้งต่อไปค่ะ