6 ข้อควรรู้ในการเขียนภาษาอังกฤษ และจะเหมาะมากเลย สำหรับคนที่กำลังเขียน Essay หรือ SOP ;D
1. Synonym : คำ Synonym หลายๆคำ บอกความหมายที่ต่างกัน
เป็นเรื่องธรรมดาครับ ที่เราอยากจะโชว์ ความสามารถ โดยหา synonym ของคำง่ายๆมาใส่แทน เรื่องนี้ต้องระวังนะครับ เพราะ synonym มันหมายถึงความหมายคล้ายกัน แต่คำบางคนมันใช้แทนกันไม่ได้ เช่น
- บางคนอยากใช้คำว่า extreme/extraordinary/exceptional แทนคำว่า very คำพวกนี้ความหมายคล้ายกันนะครับ แต่จริงๆแล้วไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น
- I am very good at physics กับ I am exceptionally good at physics
ประโยคแรกหมายถึงเราเก่งวิชาฟิสิกส์มาก แต่ประโยคหลังนี่ คือ เราเก่งแบบเก่งสุดๆ เก่งแบบไม่ธรรมดา (ประมาณว่า เป็นที่หนึ่งของประเทศ หรือไปแข่งฟิสิกส์โอลิมปิกมาอะไรประมาณนั้น) ถ้าเราเขียนประโยคหลังไปเนี่ย แล้วใน CV ไม่ได้โชว์ว่าเรา exceptionally good at physics เนี่ย เค้าก็จะรู้ได้อีกอย่างเลยครับว่า this person is not exceptionally good at English as well.
- คำบางคนมันความหมายคล้ายกันมากๆๆๆๆ แต่ใช้แทนกันไม่ได้ เช่น efficient, effective, efficacious สามคำนี้ ความหมายค่อนข้างคล้ายกันมาก แต่วิธีการใช้ไม่เหมือนกันนะครับ
- effective แปลว่า ได้ผล มีประสิทธิภาพ หรือ บรรลุจุดประสงค์ เช่น the proposed method is very effective to our problem (วิธีที่นำเสนอมา สามารถแก้ปัญหาของพวกเราได้ตรงจุด อะไรแบบนี้)
- efficacious มีความหมายเหมือน effective แต่ใช้ในบริบทเรื่องยา วัคซีน อะไรพวกนี้
- ส่วน efficient ก็คล้ายกับ effective ครับ แต่จะพูดถึงเรื่องทรัพยากร และเวลาที่ใช้ในการบรรลุจุดประสงค์ด้วย ว่าใช้อย่างคุ้มค่ามั๊ย ดังนั้น ถ้าจะเลือก ต้องเลือกดีๆครับ
2. คำหรูหรา : ตรวจเช็คตำแหน่ง ความหมายและ Mood ในการใช้ให้ดี
การใส่คำหรูหราลงใน SOP นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีนะครับ เป็นเรื่องที่ดี มันบ่งบอกว่า เรามีความสามารถด้านภาษาอังกฤษ และ vocabulary ของเราค่อนข้างกว้าง แต่ก่อนจะใส่ลงไป ควรจะคิดเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนนะครับ
- มันจะไม่ดี ถ้าเราใส่คำหรูหราไป แค่คำสองคำ แล้วมันดูเป็นทางการมากเกินไป จนไม่สอดคล้องกับโทนการเขียนในส่วนอื่นๆ
- ใส่แล้ว ใช้ผิด ยิ่งแย่ไปใหญ่เลยครับ ก่อนจะใส่ไป เราควรทำการบ้านมาให้ดีก่อนว่า สิ่งที่เราต้องการจะสื่อเนี่ย ตรงกับความหมายของคำคำนั้นมั๊ย เราสามารถใช้คำง่ายๆ สื่อได้รึเปล่า เวลาเลือกคำ ควรจะเลือกคำที่มีความสอดคล้องกับสิ่งที่เราต้องการจะพูดนะครับ ไม่ใช่ความหรูหราของคำ
- คำหรูหราบางคำ เป็นคำที่โบราณมากๆ เก่าจนไม่ค่อยมีใครนำมาใช้เขียน essay ในปัจจุบันแล้ว ก็ไม่ควรนำมาใช้นะครับ เราควรที่จะหาที่อ้างอิงจาก นิตยสารภาษาอังกฤษ, หนังสือนิยายภาษาอังกฤษ หรือ textbook และดู context การใช้ด้วยว่า เค้าพูดถึงยุคไหน
3. คำเชื่อม และความยาวประโยค : ควรมีอย่างเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป
- การใส่คำเชื่อมนี่เป็นเรื่องดีครับ มันทำให้การเล่าเรื่องของเรา smooth มากขึ้น แต่การใส่มากไป ก็ไม่ดีเหมือนกัน เวลาเขียนภาษาอังกฤษ ให้เราลองนึกกลับไปเป็นภาษาไทยนะครับ สมมติว่า เราอ่านบทความอันนึง และบทความนั้น มีคำว่า “เพราะว่า”, “ดังนั้น”, ”ซึ่ง” ,” ต่อจากนั้น” , “ฉะนั้น” เยอะๆ ทุกๆต้นประโยค และท้ายประโยคเนี่ย มันทำให้เราอ่านและติดๆขัดๆมากกว่า smooth นะครับ ดังนั้นเวลาเขียนเนี่ย ควรจะนึกกลับไปเป็นภาษาไทยก่อนด้วยนะครับ (แต่ก็ระวังนะครับ ลองเปรียบเทียบอารมณ์เฉยๆนะครับ เพราะในภาษาอังกฤษ เราจะไม่สามารถที่จะเขียนเรียงประโยคเป้ะๆเหมือนภาษาไทยได้)
- ความยาวประโยค นี่ก็สำคัญครับ เรามักจะเห็นใน หนังสือภาษาอังกฤษบ่อยๆ ที่เค้าจะเขียนประโยคยาวๆ แล้วฟังดูสละลลวย เราต้องคิดนะครับว่า ประโยคนั้น ถูกคัดกรองมาอย่างดีแล้ว ประโยคยาว ไม่ได้หมายความว่าจะสละสลวยเสมอไป เราไม่สามารถบอกได้หรอกว่า 1 ย่อหน้าต้องมีกี่ประโยค เพราะมันขึ้นอยู่กับเรื่อง และจุดประสงค์ของแต่ละย่อหน้า แต่ที่แน่ๆคือ 1 ย่อหน้าที่ประกอบไปด้วย 1 ประโยคยาวๆ ราวๆ 3 บรรทัดนี่ ไม่น่าจะใช่เรื่องดีนะครับ
(สำหรับใครที่สนใจและอยากได้ตัวช่วยเรื่องนี้ ลองไปอ่านวิธีแนะนำที่ทาง BEARYOUGO เคยแนะนำไว้ดูนะครับ ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีและมีประโยชน์มากๆ http://bit.ly/systemvoiceforEnglish)
4. การแบ่ง paragraph : แบ่งตามใจความสำคัญ และเนื้อหา
เวลาเขียนภาษาอังกฤษ ให้เราลองนึกย้อนกลับไปสมัยเด็กๆครับ ตอนที่เรียนวิชา “จดหมาย และเรียงความ” (เอ๊ะ หรือคนเขียนแก่เกิน สมัยนี้ไม่น่าจะมีวิชานี้แล้ว) ในบทเรียนมักจะสอนว่า เราควรแบ่งย่อหน้าเป็น บทนำ, เนื้อหา และบทสรุป อันนี้เป็นวิธีการแบ่งย่อหน้าแบบทั่วไปครับ แต่ถ้าเขียน SOP หรือเรียงความภาษาอังกฤษ เราควรต้องแบ่งย่อหน้า ตามจุดประสงค์ครับ เราควรคิดว่า เราจะ deliver message อะไรให้กับผู้อ่านในแต่ละย่อหน้า เช่น
- ย่อหน้าแรก key message คือ แนะนำตัวเอง และบ่งบอกเจตจำนงของเรา
- ย่อหน้าสอง เพื่ออธิบาย academic background คร่าวๆ และสิ่งที่เราสนใจ
- ย่อหน้าสาม อธิบาย professional background คร่าวๆ และสิ่งที่เราเรียนรู้มา เป็นต้น
5. Typo : ไม่ควรสะกดคำผิดเด็ดขาด
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งครับ การส่งงานอะไรก็ตามแต่ ไม่ใช่แค่ SOP เราควรที่จะเช็คหาคำที่เราพิมพ์ผิดก่อนส่ง typo อาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในเอกสารที่มีคำทางการเยอะๆ ที่เราเคยอ่าน ใน scientific paper ที่มีความซับซ้อน หรือในหนังสือที่มีเป็น ร้อยๆหน้า แต่ typo ไม่ควรจะเกิดขึ้นในเกิดใน เอกสารที่มีความยาวแค่ 1–2 หน้า ที่อธิบายประวัติของตัวเองนะครับ
6. American English/British English : เลือกเอาว่าจะใช้แบบไหน ไม่ใช้สลับไปมา
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า บางคนเรียนภาษาอังกฤษมาแบบ American English และถนัดในการเขียนแบบนั้น เรื่องนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องผิดอะไรในการสมัครเข้าคณะทั่วๆไป (แต่ก็ไม่ชัวร์ว่า จะเป็นเรื่องผิดรึเปล่า ถ้าไปสมัครพวกคอร์สที่เรียนพวกภาษา) แต่เวลาเลือก American หรือ British English ควรที่จะใช้แนวนั้น ให้ครบทั้งเอกสาร ไม่ควรจะสลับไปสลับมานะครับ (มหาลัยของอังกฤษ ก็ยอมรับการใช้แบบ American ได้ครับ แค่ห้ามสลับไปมา
หวังว่าทั้ง 6 ข้อนี้จะทำให้ทุกคนเขียนภาษาอังกฤษกันได้ดีขึ้นนะครับ :D
บทความดีๆจาก PhD student at UCL — Krittin P.