Artist Spotlight — Bryan VectorArtist

Biruoh
Biruoh
Published in
5 min readJun 5, 2020
“Band of Honor” — Bryan VectorArtist
“Band of Honor” — Bryan VectorArtist

เบียร์ได้ติดตามผลงานของอาร์ตติสไทยท่านหนึ่งซึ่งสามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้รู้สึกคล้อยตามไปกับอารมณ์ของภาพแต่ละภาพได้ มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์และการลงรายละเอียดงานได้ Professional มากๆ แล้ววันนี้เบียร์ได้มีโอกาสสัมภาษณ์บุคคลท่านนี้นั่นก็คือคุณ Bryan VectorArtist เพื่อนำมาแชร์ให้ทุกคนได้เรียนรู้ประสบการณ์ดีๆ ในด้านต่างๆ ที่อาจจะสามารถนำไปเป็นแง่คิด เป็นแรงบันดาลใจและนำไปปรับใช้กับการทำงานของคุณให้มีคุณภาพและคุณค่ามากขึ้นได้ค่ะ

1.สวัสดีค่ะคุณ Bryan VectorArtist และขอบคุณที่ได้สละเวลามาคุยกันนะคะ ช่วยแนะนำตัวเองและบอกข้อมูลแบ็คกราวคร่าวๆ ให้กับหลายคนที่อ่านอยู่และยังไม่รู้จักสักหน่อยค่ะ

ผมชื่อ ทัพพ์รวินทร์ ธนสุขะไพศาล ชื่อเล่น อั๋น ครับ จริงๆ ผมชื่อ อั้น แต่คนไทยส่วนมากจะไม่ถนัดเรียกผมแบบนี้เท่าไหร่ และความหมายมันเหมือนจะไม่ค่อยดีด้วยมั้งครับ อั้นนี่เหมือนอั้นอะไรสักอย่าง เรียกมากๆ ก็อยากจะวิ่งเข้าห้องน้ำ (หัวเราะ) ผมทำงานอยู่ในแวดวงด้านกราฟฟิคดีไซน์มา 18 ปีแล้วครับ ซึ่งงานกราฟฟิกของผมจะเข้าไปสนับสนุนงานสัมมนา งานอีเว้นท์ การประชุม ก่อนหน้านั้นก็ทำงานบ้าง หยุดบ้าง แต่งานส่วนมากจะเข้าไปช่วยทีมสถาปนิกวาดภาพ Perspective จนงานสายนี้เริ่มซบเซาลงเพราะถูกแทนที่ด้วย 3D Max ผมจึงกระโดดมาสายงานกราฟฟิกครับ

2. คุณอั๋นเริ่มเข้ามาทำงาน Vector ตอนไหนคะ แล้วนี่คือสิ่งที่คุณอั๋นอยากจะทำแบบ Full-time หรือเป็นแค่งานอดิเรก

ผมเริ่มจับงานด้านเวกเตอร์แบบจริงจังเมื่อเดือนตุลาคมปี 2561 ก่อนหน้านั้นผมก็ใช้ Illustrator ได้อยู่แล้ว แต่เพิ่งจะมาผลักดันศักยภาพทางด้านงานเวกเตอร์จนมาเกือบถึงจุดสูงสุดได้ก็ตั้งแต่ช่วงนั้นเลย การเข้าสู่วงการก็โดยการแนะนำจากคุณตั้วเพื่อนร่วมงานเก่าผม และปรมาจารย์อาวุโสสายไอคอนในแวดวงไมโครสต๊อค ท่านเอกที่ จ. เชียงใหม่ครับ และเพิ่งจะหันมาวาดภาพเล่าเรื่องได้ไม่เกิน 6 เดือนที่ผ่านนี้เอง ในท้ายที่สุดผมต้องการทำงานเวกเตอร์ full-time ครับ ไม่ใช่แค่งานเวกเตอร์นะครับ

แต่ผมต้องการพัฒนาทักษะทางด้านศิลปะในทุกๆ ด้านที่ผมอยากทำและสร้างรายได้ไปจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืองานสายเพ้นท์ในโปรแกรม Photoshop สำหรับการวาดภาพจินตนาการทางวิทยาศาสตร์ที่ผมใฝ่ฝันอยากทำมานานครับ

3. สมัยก่อนคุณอั๋นมีอาร์ตติส/ภาพยนตร์/หรืออะไรที่เป็นแรงบันดาลใจและช่วยขัดเกลาแนวทางทำให้คุณอั๋นได้สร้างสรรค์งานออกมาในรูปแบบปัจจุบันหรือเปล่าคะ

ผมโตมากับหนังแฟนตาซี หนังไซไฟครับ ผมตามดูทุกเรื่องจนหมด ไม่ว่าจะเป็น Star Wars, Star Trek, Jurassic Park, The Lost in Space, Interstellar และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังที่กำกับโดย Steven Spielberg ที่ ผกก. มีพรสวรรค์ในการถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้สึกของฉากและตัวละครได้ดีมากๆ ไม่ฉาบฉวยบู๊ล้างผลาญตีรันฟันแทงอย่างเดียว การที่ผมได้เสพภาพยนต์จากต่างประเทศเหล่านี้ ได้มีส่วนช่วยในการขัดเกลาเรื่องการวางองค์ประกอบและมุมมองของภาพให้ดูน่าสนใจ และเพราะผมโชคดีที่เกิดเป็นเอเชียด้วย จึงได้มีโอกาสเสพการอ่านการ์ตูนมังงะ

ซึ่งการ์ตูนมังงะหรือการ์ตูนญี่ปุ่นนั้น ศิลปินจะมีความสามารถในการถ่ายทอดอารมณ์ของภาพและเหตุการณ์ที่ต้องการได้เหนือกว่าการ์ตูนฝรั่ง เช่น เมื่อศิลปินวาดภาพใบหน้าของนางเอกที่กำลังยืนอยู่บนสันอ่างเก็บน้ำและมองออกไปในเวิ้งน้ำ เขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความหมายของภาพได้อย่างมากมาย ซึ่งจะหาได้ยากในการ์ตูนฝรั่งที่มักจะสื่อเน้นไปในความเท่ห์ของมุมมองและลายเส้นแสงเงามากกว่า การ์ตูนญี่ปุ่นที่ผมชื่นชอบก็จะเป็นของค่าย Ghibli ครับ การ์ตูนเรื่องอื่นๆ ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน

อีกนิดนึงครับ ฝรั่งเขาจะเน้นการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกในภาพยนต์มากกว่าในหนังสือการ์ตูนครับ เราจะพบในหลายๆ ครั้งว่า ในฉากเดียวกัน หากเราอ่านในการ์ตูนของเขา เราจะรู้สึกเฉยๆ แต่ในหนังกลับรู้สึกกินใจและเข้าถึงอารมณ์ได้มากกว่า นี่คือมุมมองส่วนตัวของผมนะครับ

ดังนั้น ภาพพี่ผมวาดจึงเหมือนเอาข้อดีของหนังฝรั่งและการ์ตูนญี่ปุ่นมารวมเข้าไว้ด้วยกัน

“Year 2230 Human Colonization” — Bryan VectorArtist
“Year 2230 Human Colonization” — Bryan VectorArtist

4. เมื่อลองกลับไปดูงานแรกๆ ของคุณอั๋นบน Behance ที่ชื่อว่า “Year 2230 Human Colonization” หลายๆ คนอาจจะคิดว่านี่เป็นระดับของการลงรายละเอียดและเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ แต่พอมาลองดูที่งาน “There is hope” มันทำให้รู้สึกให้ประหลาดใจมากๆ กับการที่ได้เห็นงานของคุณอั๋นอีกขั้นหนึ่งที่ไม่ใช่แค่เรื่องรายละเอียดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการสื่อเรื่องราวออกมาให้ผู้ชมได้เห็น(โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นนี้) อยากทราบว่าคุณอั๋นสามารถปรับสมดุลระหว่างการเป็นอาร์ตติสกับนักเล่าเรื่องยังไง และมันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณอั๋นอย่างไรบ้าง

ผมก็เหมือนศิลปินคนอื่นๆ ครับที่ต้องการวาดภาพออกมาให้สวยที่สุด แต่สำหรับผม มันมีโจทย์เพิ่มเติมขึ้นมานั่นก็คือ ผู้ชมจะต้องรู้สึกเหมือนกับตัวละครในภาพที่กำลังรู้สึก ซึ่งการจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกันได้นั้น มันจะมีเรื่องของมุมมอง เอฟเฟคของแสง เงา และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาในตัวงานด้วย การถ่ายภาพหน้าตรงจะให้อารมณ์แบบหนึ่ง การมองตัวละครจากมุมเงยก็จะให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ดังนั้น ก่อนที่ผมจะวาดภาพๆ หนึ่งที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวในช่วงเวลานั้น ผมจะเน้นไปที่ความรู้สึกของตัวละครเป็นหลัก และจะคิดหาวิธีว่า ทำอย่างไรจึงจะให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกันกับตัวละครในภาพ ตรงนี้ต้องผ่านการฝึกฝนในการมองสิ่งต่างๆ รอบตัวเราครับ

การเป็นศิลปินโดยวาดเพียงเพื่อความสวยตามใจเราเพียงอย่างเดียวมันก็ดีนะครับ แต่การเล่าเรื่องราวมันได้ทำให้ภาพของเรามีคุณค่ามากขึ้นกว่าแค่ความความสวยงาม มันทำให้ผู้ชมคิดและคล้อยตามครับ เมื่อเขาคล้อยตาม เขาก็จะประทับใจ

“There is hope” — Bryan VectorArtist
“There is hope” — Bryan VectorArtist

5. อาร์ตติสทุกคนพยายามที่จะพัฒนาฝีมือตัวเองเพื่อให้ผลิตผลงานออกมาได้ดีขึ้น แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นนั้นและมีความสนใจ หรือคนที่ยังหาแนวทางไม่เจอในการทำงานเวกเตอร์สำหรับ Microstock จากประสบการณ์ที่คุณอั๋นได้เรียนรู้มาอยากจะช่วยแนะแนวทางอะไรให้กับคนเหล่านี้บ้างคะ

จริงๆ ผมก็ไม่ได้ต้องการที่อยากจะแนะนำให้คนรุ่นใหม่ๆ กันมาทำงานละเอียดแบบผมเพื่อป้อนเข้าอุตสาหกรรม Microstock เป็นหลักนะครับ เพราะงานแบบผมมันใช้เวลาและความพยายาม ในขณะที่ในแวดวงนี้นั้นต้องการเน้นในเชิงปริมาณควบคู่กัน ถ้ามาเสียเวลา 3 วันเพื่อสร้างงานชิ้นหนึ่ง มันจะสำเร็จช้าครับ

ผมคิดว่าให้เริ่มจากการค้นหาความชอบของตนก่อนครับว่า เรารู้สึกประทับใจอะไร ให้เราลองวาดสิ่งนั้นดูสักพัก แล้วดูสิครับว่าเราไปได้ไหม ถ้าไม่ได้ให้ถอยออกมาครับและไปทำอย่างอื่นต่อ

บางคนชอบงานจัดเลย์เอ้าท์ ก็จะไปเน้นการสร้างเทมเพลต,โบรชัวร์, Company Profile บางท่านชอบจัดเลย์เอ้าท์จบในภาพเดียวก็จะไปทางด้านออกแบบ Infographic บางคนชอบออกแบบโลโก้ สัญลักษณ์ต่างๆ ก็จะไปเน้นสร้างโลโก้ flaticon หรือบางท่านชอบการวาดเชิงนามธรรมก็จะไปทาง Abstract Background หรือวาดแบบ Doodle ซึ่งตรงนี้เราต้องค้นหาเราก่อนครับ ส่วนตัวผมทำมาหมดเลยเว้น Doodle อันนั้นยากเกินครับ ผมมาค้นพบว่า เรามีความสุขกับการวาดภาพเล่าเรื่องราว ซึ่งผมมองว่า โคตรซวย! (หัวเราะ) เพราะมันใช้ทักษะและเวลาอย่างมากเลยครับกว่าจะได้งานสักชิ้น แล้วผมมาสายเวกเตอร์อีกนะ

เท่านั้นไม่พอ ชิ้นงานที่จะขายบนเว็บไซต์ Microstock นั้นจะต้องเป็นเวกเตอร์ที่เปิดได้ในเวอร์ชั่นต่ำๆ ได้ด้วย มันจึงมีเทคนิคที่ซับซ้อนละเเอียดขึ้นไปอีก ซึ่งผมก็ลองผิดลองถูกจนเจอด้วยตนเอง ไม่ได้ไปถามไถ่จากใคร (จริงๆ เคยถามกูรูในไทยท่านหนึ่ง แต่โดนตอบกลับมาไม่ใคร่จะดีครับ ทำให้ผมหน้าเจื่อนไปเลย) แต่ก็เอาน่า ก็ต้องทำใจยอมรับสภาพกันไปครับ

ผมเชื่อว่าจุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการนำเสนองานให้ดูน่าสนใจ มันคือ “คน” ครับ สิ่งที่ทำให้มนุษย์รับรู้ถึงความรู้สึกร่วมและสัมผัสได้ง่ายที่สุดก็คือคน ดังนั้นจะเห็นได้ว่างานทุกชิ้นของผมนั้น จะมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ถึงแม้ผมจะยังวาดคนไม่เก่งนักหรือสัดส่วนถูกต้องก็ตามครับ ดังนั้น ถ้าท่านใดสนใจ ผมก็อยากให้ฝึกปรือทักษะการวาดคนให้เก่งๆ และมันจะทำให้งานมีความน่าสนใจมากขึ้น ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามครับ งานที่ดีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องวาดคน บางท่านก็จะชอบวาดทิวทัศน์ วาด Landscape ผลงานเหล่านี้ก็สามารถทำให้ดูน่าสนใจและน่าทึ่งได้เช่นกัน

และผมเสริมอีกนึดเรื่องการทำงานเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาด Microstock ครับ อย่ามองว่ารายได้จากการขาย Microstock เป็นรายได้ที่อยู่ยงคงกระพันไปตลอด ถึงมันจะเป็นช่องทางของการสร้างรายได้แบบ passive income อย่างหนึ่งก็ตาม เพราะท้ายที่สุดแล้วนั่นก็ไม่ใช่เว็บไซต์ของเรา เราไม่ใช่เจ้าของที่ดินแปลงนั้น เราเพียงไปขออาศัยเช่าเขาอยู่ เจ้าของแปลงมีอำนาจเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบทุกอย่างได้เต็มที่ ซึ่งคนที่ต้องจำยอมรับผลกระทบเหล่านั้นก็คือพวกเรานี่แหล่ะครับ อย่างล่าสุดทาง Shutterstock มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการจัดสรรรายได้ ทุกคนก็ได้รับผลกระทบกันไปถ้วนหน้า

แต่ผมอยากให้มองว่า Microstock คือสนามที่จะให้เราได้ฝึกฝน ฝึกปรือวรยุทธเพื่อก้าวไปยังโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังไม่เจอนะครับ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันอาจจะเป็นการสร้างเว็บไซต์ที่รวบรวมผลงานศิลปะของเรา และให้แฟนคลับได้สั่งซื้อตรง ดาวน์โหลดจากเราก็เป็นได้ครับ ซึ่งกว่าจะถึงจุดๆ นั้น เราคงต้องพัฒนาฝีมือและสร้างชื่อเสียงอีกมากครับ หรือบางท่านอาจจะฉีกแนวออกไปเลยด้วยการแบ่งรายได้จากงานสต็อคเอาไปลงทุนในหุ้นบริษัทดีๆ ที่ปันผล กองทุนปันผลต่างๆ ตรงนี้ก็น่าสนใจและเป็นการเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้แบบ passive income อีกทางหนึ่ง

ไม่เอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียวครับ

6. จะสังเกตเห็นได้ว่าคุณอั๋นชอบใช้สีโทนม่วงค่อนข้างเยอะในงาน เลยอยากทราบว่าปกติแล้วคุณอั๋นมีเซ็ตสีที่ชอบที่ใช้อยู่ประจำหรือเปล่า หรือว่าเปลี่ยนไปตามงานแต่ละงานคะ

เรื่องนี้ก็เป็นจุดๆ หนึ่งที่ผมอยากก็รู้สึกรำคาญใจและอยากจะแก้ไขเช่นกัน ผมมักจะถามตนเองบ่อยๆ ว่า เราเป็นอะไรกับสีม่วงมากไหมเนี่ย? (หัวเราะ) ผมไม่ได้มีความชอบสีนี้เป็นทุนเดิมครับ ดังนั้นในเมื่อบทสัมภาษณ์นี้ยังทักผมมาในเรื่องนี้ ผมก็จะพยายามปรับปรุงจากนี้เพื่อหลีกเลี่ยงสีนี้และหันไปทดลองการใช้สีอื่นให้ได้ครับ

“AI Technology Art” — Bryan VectorArtist
“AI Technology Art” — Bryan VectorArtist

7. ได้เห็นงานของคุณอั๋นตอนแรกๆ ในกลุ่มต่างชาติบน Facebook (คุณอั๋นใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก) สไตล์งานของคุณอั๋นดึงดูดสายตาตั้งแต่แรกเห็น แล้วไม่คิดด้วยว่าเป็นคนไทยจนมาเห็นคอมเม้น 555 ทำให้รู้สึกประหลาดใจมากเพราะว่าเบียร์ก็ได้แชร์งานทางสื่อออนไลน์เช่นเดียวกัน แต่ว่านี่เหมือนไม่ใช่สิ่งที่หลายๆ คนชอบทำกัน คุณอั๋นคิดว่าตรงนี้มีความสำคัญแค่ไหนที่ได้แชร์งานให้หลายคนได้เห็น และคุณอั๋นคิดว่าการเปิดเผยผลงานบน Social Media นั้นช่วยทำให้ขายงานได้มากขึ้นหรือได้ลูกค้ามากขึ้นหรือเปล่าคะ

อย่างที่ผมเรียนให้ทราบในตอนแรกครับ ผมเพิ่งกระโดดเข้าสู่งานทางด้านเวกเตอร์แบบเต็มตัวมาได้ประมาณปีกว่าๆ นี้เอง และเพิ่งวาดภาพเล่าเรื่องราวได้ไม่เกิน 6 เดือนที่ผ่านมานี้เช่นกัน ผมจึงยังเห็นผลลัพธ์จากการเผยแพร่งานผ่านโซเชียลมีเดียไม่มากเท่าไหร่ครับ ในแง่ของงาน on-demand ผมได้รับการว่าจ้างวาดภาพนั้น มีเพียงแค่ 4 ชิ้นจาก ชาวไทย ชาวต่างชาติ เท่านั้นเองครับ คงต้องใช้เวลาในการขัดเกลาฝีมือและสะสมผลงานให้มากขึ้นกว่านี้อีกสัก 1–2 ปี จึงจะเห็นอะไรชัดเจนมากขึ้น

ส่วนในแง่ของรายได้จาก Microstock ผมถือว่ายังเป็นรองหลายๆ ท่านที่ผมเป็นเพื่อนในเฟสอยู่มากนะครับ ผมยังเป็นรองบางท่านที่เริ่มต้นช้ากว่าผมด้วยซ้ำ เนื่องจากงานของเขาตอบสนองความต้องการของตลาดมากกว่า มีวิธีการทำงานที่ชาญฉลาดกว่าผม แต่งานที่ผมทำค่อนข้างจะอินดี้ครับ รายได้ก็เลยอินดี้ตาม อย่างไรก็ตาม รายได้ผมวันนี้ถือว่าเติบโตตามช่วงเวลาจากช่วงแรกที่ผมเริ่มทำอยู่มากเช่นกันและกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ครับ

ส่วนเรื่องภาษาอังกฤษ ขอบพระคุณที่ชมนะครับ ผมต้องบอกครับว่า ภาษาที่สองนั้นคือสิ่งที่จำเป็นอย่างมากที่จะสร้างสปอตไลท์ฉายมายังตัวเรา ถ้าเราจะผลักดันตัวเราไปสู่ระดับสากล ไม่จำเป็นต้องเป็นอังกฤษก็ได้ ถ้าคุณได้ภาษาญี่ปุ่น และคุณชอบวาดมังงะ ก็จะเป็นการเปิดตลาดตัวคุณสู่ญี่ปุ่น หรือภาษาอื่นๆ คุณก็จะได้ตลาดตรงนั้น และการเรียนรู้ทางด้านภาษานั้น ไม่จำเป็นหรอกครับที่คุณต้องไปซื้อหลักสูตรราคาแพงเพื่อให้ได้พูดเป็น สำคัญที่ว่าคุณเปิดใจกับมันไหม ถ้าเปิดใจ คุณจะทำได้เองจากเรียนรู้ด้วยวิธีต่างๆ ด้วยตนเอง ส่วนตัวผมนั้น สมัยก่อน ผมเคยนั่งแกะไวยกรณ์ คำศัพย์ต่างๆ จากหนังสือเล่มหนา และเขียนตามหลายครั้ง และผมยังพยายามพูดกับฝรั่ง จนใช้เวลาแค่ปีกว่า ผมก็สื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่อง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมยังมีปัญหาด้านการฟังอยู่ครับ

8. รบกวนคุณอั๋นช่วยอธิบายกระบวนการทำงานของคุณอั๋นคร่าวๆ และขั้นตอนการปรับไอเดียให้ออกมาเป็นผลงานให้ได้ทราบกันหน่อยค่ะ

ระหว่างที่ผมนั่งทำงานหลักของผม ผมก็จะนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ เรื่องราวที่ผมกำลังสนใจ หรือโลกกำลังสนใจ และผมจะนึกถึงภาพที่ผมต้องการจะสื่อ โดยภาพที่สื่อผมชอบที่จะเน้นไปในเชิงบวกเป็นหลัก หรือสร้างแรงกระตุ้น ความรัก ความยินดี ความสมานต์สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะสื่อความหมายในเชิงลบในช่วงเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยความรู้สึกในเชิงลบอยู่แล้ว จะบอกว่าผมเป็นคนโลกสวยก็ได้ครับ

เมื่อผมนึกถึงภาพนั้นในใจได้แล้ว ผมก็จะลงมือร่างแบบลงกระดาษ A4 ทันที โดยร่างเป็นช่องเล็กๆ หลายๆ ช่องเพื่อดูการจัดวางองค์ประกอบ ค้นหามุมมองที่ถูกใจ ก่อนที่จะวาดอีกครั้งเต็มพื้นที่ลง A4 อย่างตั้งใจ ขั้นตอนนี้ผมพยายามจะวาดให้ดีที่สุด ลงแสงเงาตรงไหนได้ ใส่รายละเอียดตรงไหนได้ ผมก็จะใส่ให้ครบ ยิ่งผมวาดได้ดีครบถ้วนเท่าไหร่ ผมจะเหนื่อยน้อยลงเท่านั้นในขั้นตอนการวาดลงบนคอมพิวเตอร์ครับ และเป็นการฝึกฝนการวาดของเราให้เฉียบคมยิ่งขึ้นด้วย ผมต้องการพัฒนาทักษะการวาดให้เก่งจนสามารถจบงานลายเส้นขาวดำบนกระดาษและสามารถส่งขายได้เลยครับ เมื่อผมได้ภาพร่างสุดท้ายแล้ว ก็จะสแกนเพื่อไปวาดตามหรือที่เรียกว่าดร๊าฟท์ในโปรแกรม Adobe Illustrator ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย

ในขั้นตอนการวาดในโปรแกรมนั้น ยังสามารถแบ่งแยกย่อยได้อีกคือ ขั้นตอนการลงเส้นขาวดำก่อน จากนั้นผมก็จะเริ่มให้สีแบบ Grey scale ทั้งหมดเพื่อกำหนดทิศทางของแสง และขั้นตอนสุดท้ายคือการใส่สีและแสงให้กับภาพครับ

9. ลองคิดว่างานคุณอั๋นน่าจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานแน่ๆ กว่าจะเสร็จแต่ละชิ้น คุณอั๋นมีวิธีอย่างไรที่ช่วยทำให้ตัวเองรู้สึกตื่นตัวและโฟกัสอยู่กับงานตลอด โดยเฉพาะเวลาที่มีสิ่งรบกวนรอบๆ ด้านในชีวิตประจำวัน และงานของคุณอั๋นใช้เวลทำหลายวันมั้ยคะ

ผมก็เหมือนคนปกติครับ มีทั้งช่วงเวลาที่ขี้เกียจ คิดงานไม่ออกบ้าง ไม่ได้ตื่นตัวตลอดเวลา มันเคยมีการถามคำถามคล้ายๆ กันเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นการพูดคุยกันขำๆ ถ้าอยากให้ตื่นตัวตลอดเวลา ต้องทำตัวเองให้เป็นหนี้เยอะๆ แล้วจะมีกำลังใจ (หัวเราะ) ตรงนี้ผมเคยทำมาเหมือนกันนะ พิสูจน์แล้วครับว่า ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย เพราะมันไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความเครียดตลอดเวลา ซึ่งทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นโรคนอนไม่หลับ ความดัน และมะเร็งได้ครับ ตั้งแต่ปี 2548–2559 ตลอด 11 ปีที่ผมต้องผ่านบ้านเดือนละ 3 หมื่น และหนี้บัตรเครดิต ไม่ดีเลยจริงๆ ครับ เลวร้ายมาก

อย่างไรก็ตาม ผมก็ค้นพบมานานแล้วครับว่า สิ่งสำคัญที่สุดของที่สุดที่จะทำให้เรารู้สึกตื่นตัวและสามารถสร้างสรรค์งานได้มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลาได้นั้น นั่นก็คือ

การรักษาสุขภาพที่ดีครับ

ผมเป็นคนที่ออกกำลังกายวันเว้นวันอย่างสม่ำเสมอในช่วงตลอด 14 ปีที่ผ่านมา เลิกทานเหล้าทานเบียร์ ดื่มน้ำมากขึ้น โดยจิบน้ำอุณหภูมิปกติตลอดทั้งวัน และเลิกการนอนดึก นอนให้เป็นเวลา สามทุ่มครึ่งผมก็เข้านอนแล้วครับ และจะตื่นขึ้นมาประมาณตี 4 ครึ่ง เพื่อไปวิ่งออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายนั้น จะช่วยกระตุ้นร่างกายหลั่งสารที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขหรือเอ็นโดรฟิน ทำให้เราเบิกบาน เมื่อมีความสุขแล้ว เราก็จะเกิดความคิดสร้างสรรค์ เป็นคนคิดบวก มองโลกในแง่ดี เมื่อมองโลกในแง่ดี เราก็จะดึงดูดพลังบวกเข้าสู่ชีวิตเราอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ที่สำคัญเมื่อเรามีร่างกายที่แข็งแรง เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยที่จะทำอะไรเลย เหมือนคนบ้าพลังตลอดเวลา ผมเชื่อว่าหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จในชีวิตในหน้าที่การงาน ต่างก็ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอกันแทบทุกคนครับ ไปถามได้เลย

ที่สำคัญนะครับ ผมขอย้ำอีกเรื่องคือการจิบน้ำตลอดทั้งวัน มันสำคัญมากจริงๆ นะ คนปัจจุบันทานน้ำกันน้อย และไม่เข้าใจว่าทำไมจึงรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรงที่จะทำอะไร ตรงนี้ผมต้องโทษองค์ความรู้ทางด้านสุขภาพของบ้านเราที่มีมาตั้งแต่ในโรงเรียนเลย คือ อาจารย์หลายท่านจะไม่ชอบที่นักเรียนของตนทานน้ำเยอะก่อนเข้าเรียน เพราะเด็กจะต้องขอไปเข้าห้องน้ำในชั่วโมงเรียน และเด็กนักเรียนจะตกเป็นจำเลยถูกคุณครูทำโทษอยู่เป็นประจำด้วยเหตุผลเพียงแค่ขออนุญาติไปเข้าห้องน้ำ เช่น ถูกตีบ้าง ถูกแกล้งให้กลั้นปัสสาวะในเวลาเรียนบ้าง ถูกด่าบ้าง ผมเนี่ยแหล่ะครับ เคยถูกครูทำโทษให้กลั้นปัสสาวะยืนหน้าชั้นจนราดหน้าห้องมาแล้ว แถมยังถูกตีอีกเพราะทำเลอะ นั่นไม่นับรวมที่โดนเพื่อนไม่คบ โดนล้อไปอีกนานแสนนาน ดังนั้นเด็กนักเรียนจึงติดนิสัยการทานน้ำน้อยเพื่อจะได้ไม่ขอครูไปเข้าห้องน้ำ เมื่อทานน้ำน้อย ก็จะทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง เพลียจนเผลอหลับในเวลาเรียน ก็จะถูกตีอีก เป็นวงจรอุบาทเช่นนี้ในระบบการศึกษาไทยเรื่อยมา

10. เบียร์อยากทราบว่างานไหนคืองานที่คุณอั๋นรู้สึกชอบและประทับใจมากที่สุด เหตุผลเพราะอะไรคะ

งานที่ชื่อ “Be Negative” ที่เป็นภาพมือของผู้ป่วยที่กำลังถือหลอดที่มีเลือดของเขาอยู่ภายในและแสดงผลเลือด Negative ที่บอกเขาว่าไม่พบเชื้อไวรัสใดๆ อีกในตัวเขา นั่นคือเขาหายดี 100% และในภาพนี้ยังมีเหล่าทีมแทพย์ที่กำลังสวมชุดป้องกัน ชุด PPE ยืนรายล้อมรอบเตียงและกำลังปรบมือแสดงความยินดีกับเขา เป็นภาพที่ประทับใจที่แสดงถึงความหวังและความสำเร็จที่เกิดขึ้นแก่ทั้งผู้ป่วยและทีมแพทย์ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ผมเชื่อว่าภาพเช่นนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาทั่วทุกมุมโลกอย่างแน่นอนและผมต้องการที่จะถ่ายทอดออกมาให้ทุกคนได้เห็น

Be Negative — Bryan VectorArtist
“Be Negative “ — Bryan VectorArtist

11. มีคำถามที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในช่วงนี้เกี่ยวกับ Microstock Contributors ว่าควรจะโฟกัสที่การเพิ่มปริมาณหรือคุณภาพของงานดี คุณอั๋นมีความคิดเห็นว่าอย่างไรกับตรงนี้บ้างคะ

ผมว่าต้องไปด้วยกันทั้งการเน้นในเชิงปริมาณและคุณภาพ เราต้องมองว่า แน่นอนที่ทางเว็บต้องการงานที่ดี ที่สวยและมีคุณภาพ และมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนไม่เหมือนใคร ถึงแม้เขาจะต้องการงานจำนวนมากๆ ด้วยก็ตาม และแน่นอนเช่นกันที่ลูกค้าที่กำลังมองหางานบนเว็บไซต์ที่สวยและดีที่สุด ตรงความต้องการมากที่สุด แต่ในขณะที่ผู้ผลิตหรือพวกเราเองก็อยากจะสร้างงานที่ดีที่สุดเหมือนกัน แต่ทว่า ถ้าเราทำงานละเอียดใช้เวลามากเกินไปก็จะทำให้ทำงานได้น้อยชิ้น รายได้ของเราก็อาจจะน้อยกว่าคนอื่นที่มีจำนวนงานมากกว่า

ดังนั้นเราควรหาวิธีที่จะสร้างงานที่มีคุณภาพโดยที่ยังเน้นเชิงปริมาณได้ด้วย

เราต้องยอมลดคุณภาพลงมาหน่อยนึง เพื่อที่จะเน้นปริมาณให้มากขึ้นในอีกทาง ซึ่งผมเชื่อว่าทำได้ยากอยู่ เพราะเราเคยทำงานดีๆ ใช่ไหมครับ ถ้าให้ทำงานที่แย่ลง เราก็จะไม่ชอบ แต่ผมคิดว่าตัวเลขที่เหมาะสมสำหรับสายงานคุณภาพคือ 1 ชิ้นต้องใช้เวลาไม่เกิน 1–2 วัน เมื่อเรามีรายได้มากพอจนทำให้เราสบายใจมากขึ้น มีเวลามากขึ้น ชีวิตมีความสมดุลย์มากขึ้น เราค่อยลองหันมาสร้างงานที่มีคุณภาพที่ใช้เวลาหลายวันดูครับ เป็นการยกระดับและพัฒนาทั้งทักษะและพอร์ตของเราให้ดียิ่งขึ้น เพื่อพาเราไปสู่โอกาสบางอย่างที่ดีกว่าในชีวิต

บางท่านมีวิธีการทำงานที่ฉลาดครับ คือ เขาจะสร้างอะไหล่รอไว้มากๆ คือเสียเวลาทำให้มันดีในครั้งเดียว และนำทั้งหมดมาประกอบกันเป็นภาพที่งดงามดูมีคุณภาพในมุมมองที่แตกต่างกันในภายหลัง แต่วิธีนี้ก็จะใช้กับงานบางประเภทไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการสร้างงานแบบนี้นั้นสร้างรายได้ได้ค่อนไวเลยทีเดียวครับ

ส่วนตัวผมยอมรับว่ายังเน้นเชิงคุณภาพมากเกินไปอยู่ และใช้เวลามากเกินไป ทำให้เดือนนึงผมสร้างงานได้ไม่ถึง 4 ชิ้น ตรงจุดนี้ผมเองก็ต้องปรับและแก้ไขครับ

ขอขอบคุณคุณอั๋นมากเป็นอย่างมากที่ช่วยสละเวลาตอนกำลังทำงานยุ่งๆ มาคุยกัน และเบียร์ก็แน่ใจว่าในอนาคตเราจะได้เห็นงานของคุณอั๋นอยู่ตามสถานที่ใหญ่ๆ และมีชื่อเสียง เบียร์หวังว่าความรู้เหล่านี้จะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่ได้เข้ามาอ่าน ช่วยทำให้มีกำลังใจไม่ยอมแพ้ที่จะสร้างสรรค์ผลงานต่อไปและกล้าที่จะแชร์ผลงานออกมาให้ทุกคนได้เห็น

สำหรับท่านใดที่อยากติดตามผลงานอันน่าประทับใจ ติดต่อนำผลงานของคุณอั๋นไปใช้ สามารถติดต่อและติดตามคุณอั๋นได้ที่ช่องทางต่างๆ ตามด้านล่างได้เลยนะคะ

Behance: https://www.behance.net/neutralart
Dribbble: https://dribbble.com/sustainableart
Instagram: https://www.instagram.com/bryanvectorartist

และถ้าหากท่านใดมีคำถามสงสัยนอกเหนือจากบทสัมภาษณ์ก็สามารถคอมเม้นไว้ได้เลย คุณอั๋นจะได้มาตอบข้อสงสัยเพิ่มเติมให้ค่ะ

สามารถติดตามบทความรวมถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ Facebook Fanpage : Biruoh ได้อีกช่องทางนะคะ https://www.facebook.com/biruoh

--

--